X
TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

อาหารกระตุ้นสมอง 12 อย่าง กินอะไรให้ลูกฉลาด บำรุงสมองความจําดี

บทความ 15 นาที
อาหารกระตุ้นสมอง 12 อย่าง กินอะไรให้ลูกฉลาด บำรุงสมองความจําดี

สำหรับเด็ก ๆ แล้ว การดูแลทางด้านโภชนาการถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย การเรียนรู้ และมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง เสริมให้ลูกฉลาดสมวัยได้

อาหารกระตุ้นสมอง 12 อย่าง กินอะไรให้ฉลาด บำรุงสมองความจําดี ให้ลูกกินอะไร …ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่สายเข้มหรือพ่อแม่สายชิลกับการเลี้ยงลูกก็ตาม อาหารสำหรับลูกนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับร่างกายและสมองเป็นอย่างมาก อาหารบางอย่างสามารถช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการทำคะแนนที่สูงขึ้น อาหารกระตุ้นสมอง สำหรับลูกมีอะไรบ้าง

12 อาหารกระตุ้นสมอง ให้ตื่นตัว เพิ่มความจำ ช่วยบูสต์สมองลูกให้ปรู๊ดปร๊าด

อาหารกระตุ้นสมอง

1. เนยถั่ว

เนยถั่วมีสารอาหารหลายชนิดที่ช่วยบำรุงสมอง ได้แก่

1. โคลีน เนยถั่วอุดมไปด้วยโคลีน สารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาความจำ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์

2. วิตามินบี เนยถั่วมีวิตามินบีหลายชนิด เช่น วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. แมกนีเซียม เนยถั่วมีแมกนีเซียม แร่ธาตุที่ช่วยลดความเครียด และช่วยให้สมองผ่อนคลาย

4. สารต้านอนุมูลอิสระ เนยถั่วมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น วิตามินอี ที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย

5. ใยอาหาร เนยถั่วมีใยอาหาร ที่ช่วยให้อิ่มท้องนาน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

หากวันไหนที่เตรียมมื้อเช้าสำหรับลูกก่อนไปโรงเรียนไม่ทัน ลองใช้ขนมปังทาคู่กับเคยถั่วเพื่อทำเป็นแซนวิชอย่างง่าย ๆ ให้ลูกทาน ก็ทำให้ลูกได้รับโปรตีนและไขมันที่ประโยชน์ในเนยถั่ว ทั้งยังรู้สึกอิ่มท้อง และบำรุงสมองให้พร้อมเรียนรู้อีกด้วย

สำหรับเด็กวัย 3 ขวบขึ้นไป ควรทานเนยถั่วประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะจะช่วยบำรุงสมอง ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เนยถั่วยังมีไขมันและแคลอรี่สูง ควรเลือกทานเนยถั่วที่ไม่หวาน และทานในปริมาณที่พอเหมาะ

อาหาร กระตุ้นสมอง

Advertisement

2. ปลาที่มีไขมัน

ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และปลาซาดีน นั้นประกอบไปด้วยไขมันโอเมก้า-3 และโปรตีนมากมายซึ่งช่วยในการทำงานของสมอง

 

ประโยชน์ของโอเมก้า-3 ที่มีต่อการพัฒนาสมองของเด็ก

1. เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่เพียงพอ

2. พัฒนาการเรียนรู้ ความจำ และการจดจำ

3. ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์

4. ลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า

5. ป้องกันโรคทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน

ผู้ใหญ่ควรทานปลาที่มีไขมัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป สามารถทานปลาที่มีไขมันได้ แต่ควรเลือกปลาที่มีก้างน้อย และปรุงสุกให้สุกทั่วถึง

3. ผักโขม

ผักโขมจัดว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟู้ด”  ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเด็กมากมาย โดยเฉพาะในด้านการบำรุงสมอง อาหารกระตุ้นสมอง ชนิดนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม และอุดมไปด้วยลูทีนที่มีส่วนช่วยการทำงานของสมองด้านความจำได้ดี

ประโยชน์ของผักโขม อาหารสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • ผักโขมมีวิตามินบีรวมสูง โดยเฉพาะโฟเลต (Folate) ซึ่งเป็นวิตามินสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดประสาทพิการ (Neural Tube Defects)
  • มีวิตามินเค (Vitamin K) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  • มีธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง
  • มีไอโอดีน (Iodine) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • ผักโขมมีสารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้

3. บำรุงระบบประสาท

  • ผักโขมมีวิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง

4. ช่วยให้อารมณ์ดี

  • ผักโขมมีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยลดความเครียด วิตกกังวล

ปริมาณการบริโภคผักโขมที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 6 เดือน – 1 ปี : แนะนำให้ทานผักโขมบด 1-2 ช้อนชาต่อมื้อ 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานผักโขมสับ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานผักโขมทั้งใบ 2-3 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์

นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มผักโขมลงในเมนูอาหารของเด็กได้หลากหลายวิธี เช่น ผักโขมบดใส่ในซอสหรือโจ๊ก ผักโขมสับใส่ในไข่เจียวหรือผัด ผักโขมต้มหรือผักโขมอบชีส ผักโขมปั่นใส่ในสมูทตี้ เป็นต้น

อาหา รกระตุ้นสมอง

4. อะโวคาโด

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีไขมันดีสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเด็กมากมาย โดยเฉพาะในด้านการบำรุงสมอง ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมองได้ดี ดังนี้

ประโยชน์ของอะโวคาโด อาหารสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง:

  • อะโวคาโดมีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินอี (Vitamin E) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีโฟเลต (Folate) ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดประสาทพิการ (Neural Tube Defects) ในทารก

2. เพิ่มพลังสมอง:

  • อะโวคาโดมีกลูโคส (Glucose) แหล่งพลังงานหลักของสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

3. บำรุงระบบประสาท:

บทความจากพันธมิตร
นมสำหรับเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ สร้างสมองไว เสริมภูมิคุ้มกันแข็งแรง ที่แม่ยุคใหม่เลือก
นมสำหรับเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ สร้างสมองไว เสริมภูมิคุ้มกันแข็งแรง ที่แม่ยุคใหม่เลือก
Dadi International Kindergarten เรียนรู้สนุก เล่นอย่างสร้างสรรค์ ด้วย 3 ภาษา พร้อมเสริมสร้างทักษะ EF
Dadi International Kindergarten เรียนรู้สนุก เล่นอย่างสร้างสรรค์ ด้วย 3 ภาษา พร้อมเสริมสร้างทักษะ EF
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
Easy Life III เครื่องปั๊มนม Hands-Free จากแบรนด์ไทยอย่าง Attitude Mom ออกแบบเพื่อชีวิตการปั๊มนมของคุณแม่ที่ง่ายขึ้นกว่าเดิมพร้อมการควบคุมการทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ
Easy Life III เครื่องปั๊มนม Hands-Free จากแบรนด์ไทยอย่าง Attitude Mom ออกแบบเพื่อชีวิตการปั๊มนมของคุณแม่ที่ง่ายขึ้นกว่าเดิมพร้อมการควบคุมการทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ
  • อะโวคาโดมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยลดความเครียด วิตกกังวล

ปริมาณการบริโภคอะโวคาโดที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 6 เดือน – 1 ปี : แนะนำให้ทานอะโวคาโดบด 1-2 ช้อนชาต่อมื้อ 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานอะโวคาโดสับ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานอะโวคาโดทั้งชิ้น 1/4 – 1/2 ผลต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์

5. บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าช่วยป้องกันสมองจากสารอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างการเรียนรู้และการทำงานของกล้ามเนื้อ จัดเป็น 1 ในอาหารที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับสมอง

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • บลูเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน
  • มีวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ
  • มีวิตามินเค (Vitamin K) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • บลูเบอร์รี่มีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้

3. บำรุงระบบประสาท

  • บลูเบอร์รี่มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

ปริมาณการบริโภคบลูเบอร์รี่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานบลูเบอร์รี่ 10-15 ผลต่อมื้อ 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานบลูเบอร์รี่ 15-20 ผลต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 4-5 ปี : แนะนำให้ทานบลูเบอร์รี่ 20-25 ผลต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์

นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มบลูเบอร์รี่ลงในเมนูอาหารของเด็กได้หลากหลายวิธี เช่น บลูเบอร์รี่สดทานคู่กับโยเกิร์ตหรือซีเรียล บลูเบอร์รี่อบแห้งทานเป็นของว่าง บลูเบอร์รี่ปั่นใส่ในสมูทตี้ บลูเบอร์รี่ใส่ในขนมอบหรือมัฟฟิน เป็นต้น

อาหาร กระตุ้นสมอง

6. กระเทียม

กระเทียมนั้น สามารถช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งสมองได้ และ ช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น เพียงแค่นำกระเทียมมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเช่น ขนมปังกระเทียม ข้าวผัดกระเทียม สปาเก็ตตี้ผัดเนยกระเทียม หรือทำปีกไก่กระเทียมให้ลูกกิน ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นสมองแบบที่ไม่ทำให้ลูกร้องยี้กับการได้กินกระเทียมแล้วล่ะ

ประโยชน์ของกระเทียม ที่มีต่อการพัฒนาสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • กระเทียมมีสารอัลลีซิน (Allicin) สารประกอบที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูง ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์

2. เพิ่มสมาธิและความจำ:

  • กระเทียมมีสารซัลเฟอร์ (Sulfur) ช่วยเพิ่มการผลิตสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท:

  • กระเทียมมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการของเด็กหลังทานกระเทียม หากมีอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน หายใจลำบาก ควรหยุดทานทันทีและปรึกษาแพทย์

อาหารกระตุ้นสมอง

7. ไข่

ไข่นั้นอุดมไปด้วยโคลีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญของมนุษย์ในการพัฒนาสมองและเพิ่มความจำ เตรียมอาหารเช้าด้วยเมนูไข่สุดโปรดสำหรับลูก ซึ่งจะเพิ่มพลังสมองให้เด็ก ๆ สดใส กระปรี้กระเปร่าได้หลากหลายเมนูไข่ ทั้งไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ตุ๋น ไข่ลวก ซุปไข่ ข้าวผัดไข่ บะหมี่ผัดไข่ ขนมปังไข่ดาว แซนด์วิชไข่ เป็นต้น

ประโยชน์ของไข่ ที่มีต่อการพัฒนาสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • ไข่ไก่มีสารโคลีน (Choline) สารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการเรียนรู้
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีโปรตีน (Protein) เป็นสารอาหารหลักที่ช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ประสาท
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง
  • มีไอโอดีน (Iodine) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • ไข่ไก่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท

  • ไข่ไก่มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

ปริมาณการบริโภคไข่ไก่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 6 เดือน – 1 ปี : แนะนำให้ทานไข่แดงต้มสุก 1/4 ฟองต่อวัน 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานไข่ต้มสุก 1/2 ฟองต่อวัน 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานไข่ต้มสุก 1 ฟองต่อวัน 3-4 วันต่อสัปดาห์

ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเด็กเพิ่มเติม เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการของเด็กแต่ละคน

 

อาหารกระตุ้นสมอง

8. โยเกิร์ต

แบคทีเรียที่มีอยู่ในโยเกิร์ตนั้นสามารถช่วยให้สมองผ่อนคลายความวิตกกังวล และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ และสำหรับเด็กที่ธาตุอ่อน การรับประทานโยเกิร์ตจะช่วยให้ท้องไส้หายปั่นป่วน ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเรียนดีขึ้น

ประโยชน์ของโยเกิร์ต ในการบำรุงสมองเด็ก

โยเกิร์ตไม่ได้ช่วยในเรื่องการขับถ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็น อาหารกระตุ้นสมอง ที่มีประโยชน์ในด้านการบำรุงสมอง อีกด้วย

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง:

  • โยเกิร์ตมีโปรไบโอติกส์ (Probiotics) จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการเรียนรู้
  • มีกรดอะมิโนจำเป็น (Essential amino acids) ช่วยสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ส่งผลดีต่อการทำงานของสมอง
  • มีแคลเซียม (Calcium) ช่วยพัฒนาการของกระดูกและฟัน ส่งผลดีต่อระบบประสาท
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีไอโอดีน (Iodine) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ:

  • โยเกิร์ตมีโปรไบโอติกส์ (Probiotics) ช่วยลดความเครียด วิตกกังวล ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล

3. บำรุงระบบประสาท:

  • โยเกิร์ตมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง

อย่างไรก็ตาม ควรเลือกโยเกิร์ตธรรมชาติ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีสารแต่งสี และไม่มีสารกันบูด เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย และยังสามารถเพิ่มผลไม้สด กราโนล่า หรือถั่ว ลงในโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการให้กับลูกน้อยอีกด้วย

 

อาหารกระตุ้นสมอง

9. น้ำ

การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งสมองของเด็กนั้นประกอบไปด้วยน้ำประมาณ 80% การดื่มน้ำจึงส่งผลต่อการทำงานของสมองโดยตรง

เวลาที่เด็ก ๆ ได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้พวกเขาเกิดความรู้สีกเหนื่อยอ่อน และพบว่าการขาดน้ำจะทำให้สมองยากที่จะจดจำและคิดอะไรได้เร็ว ดังนั้นควรกระตุ้นให้ลูกได้ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายในแต่ละวัน เพื่อที่จะทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยและเฉื่อยชา

การดื่มน้ำ มีประโยชน์ต่อสมองของเด็กอย่างไร

1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

  • สมองที่ได้รับน้ำเพียงพอ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เด็กมีความคิดเฉียบแหลม จดจ่อ มีสมาธิ และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • การดื่มน้ำช่วยลดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน ปวดหัว ซึ่งล้วนส่งผลต่อการเรียนรู้และการจดจำของเด็ก

2. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของสมอง:

  • สมองของเด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว การดื่มน้ำจึงช่วยส่งเสริมกระบวนการเหล่านี้ ทำให้เซลล์สมองทำงานได้อย่างถูกต้อง
  • น้ำช่วยลำเลียงสารอาหาร ออกซิเจน และฮอร์โมนต่างๆ ไปยังสมอง ช่วยให้สมองได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต

3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย:

  • สมองเป็นอวัยวะที่ไวต่ออุณหภูมิ การดื่มน้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ไม่ให้สมองร้อนจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง

4. ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย:

  • น้ำช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย รวมไปถึงสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างสะดวก ไม่มีสิ่งรบกวน

10. เม็ดมะม่วงหิมพานต์

ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ประกอบไปด้วยแมงกานีส ซึ่งดีสำหรับช่วยในด้านความจำและชะลอการหลงลืม โดยสามารถเพิ่มเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงในอาหารของเด็กได้หลากหลายเมนู เช่น โรยหน้าซีเรียล ใส่ในสลัด บดใส่ในโยเกิร์ต ผสมในสมูทตี้ หรือจะทานเป็นของว่างก็ได้

ประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์ ในการบำรุงสมองเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) สูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง
  • มีฟอสฟอรัส (Phosphorus) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

11. ธัญพืช

ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวไรซ์เบอร์รี ควินัว เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ซีด งา ถั่วต่างๆ ขนมปังธัญพืช และซีเรียลธัญพืช อาหารเหล่านี้ จะปลดปล่อยพลังงานในรูปของน้ำตาลกลูโคส ซึ่งช้ากว่าพลังงานจากแหล่งคาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ ซึ่งหมายความว่า จะทำให้ลูก ๆ มีพลังงานและสามารถใช้สมองในการคิดได้นานขึ้น โดยไม่เหนื่อยเกินไป

ประโยชน์ของธัญพืช ที่มีต่อการบำรุงสมองเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง:

  • ธัญพืชมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) สูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีแร่ธาตุต่างๆ เช่น แมกนีเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส สังกะสี ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ:

  • ธัญพืชมีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท:

  • ธัญพืชมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

 

อาหารกระตุ้นสมอง

12. นม

นม ประกอบไปด้วยแคลเซียม ซึ่งช่วยให้สมองผลิตฮอร์โมนสำหรับการนอนหลับ และมีโปรตีนที่ช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกอิ่ม การให้ลูกได้ดื่มนมก่อนนอนนั้นจึงช่วยให้เขาได้หลับสนิทไปตลอดทั้งคืน ซึ่งจะทำให้ลูกได้ตื่นนอนในตอนเช้าอย่างสดชื่น มีสมองที่ปลอดโปร่ง สดชื่น

ประโยชน์ของนม อาหารกระตุ้นสมอง สำหรับเด็กทุกวัย

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • นมมีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง
  • นมมีดีเอชเอ (DHA) และเออาร์เอ (ARA) กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์สมอง ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • นมมีโคลีน (Choline) สารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาความจำ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์
  • นมมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี ช่วยพัฒนาการของกระดูกและฟัน ส่งผลดีต่อระบบประสาท
  • นมมีวิตามินบีรวม ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • นมมีไอโอดีน ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • นมมีกรดอะมิโนจำเป็น (Essential amino acids) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ช่วยสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ส่งผลดีต่อการทำงานของสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • นมมีแมกนีเซียม ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล

3. บำรุงระบบประสาท

  • นมมีโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • นมมีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

การกระตุ้นสมองลูก ด้วยโภชนาการที่มีประโยชน์แล้ว การให้ลูกได้ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่สนุกอย่างสมวัย เพื่อผ่อนคลายความเครียด ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยบูสต์สมองลูกให้ปรู๊ดปร๊าดได้ เรียนได้ดี ทำข้อสอบออกมาดีนะคะ

 

สุดยอดอาหารเสริมพัฒนาการด้านสมองลูก

ด้วยความรักลูก แน่นอนว่า คุณพ่อคุณแม่ทุกคน ย่อมต้องค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ และของกิน เช่นเดียวกับวันนี้ ที่เราจะขอนำเสนอ 10 สุดยอดอาหารที่เป็นตัวช่วยในการเสริมพัฒนาการด้านสมองของลูกกันค่ะ

1. กรีกโยเกิร์ต

โยเกิร์ต ก็คือนมเปรี้ยวชนิดหนึ่ง ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากน้ำนมของสัตว์ ที่นำมาบริโภคได้ หรือส่วนประกอบของน้ำนมที่ผ่านการทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคแล้ว โยเกิร์ต ถือเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ยกตัวอย่างเช่น วิตามินบีเชิงซ้อน วิตามินเอ  วิตามินอี โพแทสเซียม และแคลเซียม ที่จะมาช่วยบำรุงด้านการเจริญเติบโตขอเนื้อเยื่อสมอง และระบบประสาท รวมถึงเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงได้อีกด้วย

2. ผักนานาชนิด

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พืชผักต่าง ๆ นั้น อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และวิตามินมากมาย โดยเฉพาะผักที่มีโทนสีเข้ม จัดได้ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ดีของสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระนั้น จะช่วยให้เซลล์สมองของลูกมีสุขภาพดี ซึ่งผักที่จัดได้ว่าดีที่สุดสำหรับการเสริมพัฒนาการด้านสมองของลูกก็คือ มันเทศ ฟักทอง และแครอท สำหรับผักใบเขียวเช่นคะน้า ผักขมและกระหล่ำปลีนั้น อุดมไปด้วยโฟเลต ที่จะช่วยในด้านการเจริญเติบโตของเซลล์สมองของลูก

3. บล็อคโคลี่

บล็อคโคลี่ถือเป็นอีกสุดยอดอาหารที่ช่วยเสริมพัฒนาการด้านสมองให้กับลูก เพราะบล็อคโคลี่อุดมไปด้วยดีเอชเอ ที่ช่วยในให้เซลล์ประสาทเชื่อมต่อกัน ทั้งยังมีสารที่ช่วยในการต้านมะเร็งอีกด้วย

4. อะโวคาโด

อะโวคาโดถือได้ว่ามีประโยชน์สำหรับพัฒนาการด้านสมองของลูกเป็นอย่างมาก เพราะเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง นอกจากนี้ยังมีมีวิตามีบีเชิงซ้อนมากที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงในเด็กได้อีกด้วย

5. ปลาแซลมอน

ปลาแซลมอนเป็นปลาที่มีโอเมก้า 3 ที่ทำหน้าที่ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อสมองของลูก ช่วยในการเจริญเติบโตและส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมองของทารกให้ดี นอกจากนั้นการบริโภคปลาจะยังช่วยเสริมทักษาทางด้านจิตใจให้กับทารกได้อีกด้วยนะคะ

6. ไข่

ไข่จัดได้ว่าเป็นคลังโภชนการที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กรดไขมันโอเมก้า 3 สังกะสี ลูทีน และโคลีน ที่ต่างก็ทำหน้าที่ในการช่วยเสริมพัฒนาการทางด้วนสมองและช่วยเพิ่มหน่วยความจำให้กับลูก ๆ

7. โฮลเกรน

คุณแม่ทราบไหมคะว่า ธัญพืชจำพวกโฮลเกรนนั้น ช่วยเสริมพัฒนาการสมองของลูก ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยพลังงาน และโฟเลตที่จะช่วยให้ระบบขับถ่ายของลูกนั้นเป็นปกติได้

8. ข้าวโอ๊ต

จากการศึกษาพบว่า ข้าวโอ๊ตนั้น มีส่วนช่วยในการเพิ่มพื้นที่ความจำให้กับลูก เพราะ ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยวิตามินอี สังกะสี และวิตามินบีเชิงซ้อน นั่นเอง

9. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทัฟ พบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น มีปริมาณวิตามินซีสูง ที่สามารถช่วยเพิ่มหน่วยความจำของลูก ๆ และ ยังสามารถช่วยในการลดความเครียดของเด็ก ๆ ได้

10. ถั่ว

เพราะ ถั่วต่าง ๆ นั้นจัดได้ว่าเป็นอาหารสมอง ที่มีวิตามินอีสูง นอกจาก จะช่วยเพิ่มความจำแล้ว ยังช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองด้านต่าง ๆ ให้กับลูกได้


 

ที่มา : sg.theasianparent.com , nautilusonlineshop ,  ,  ,

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาสมองของทารก

10 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด สมองดีและมีความมั่นคงทางอารมณ์ในยุค 4.0

อยากรู้ว่าลูกฉลาดแค่ไหน แม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกหัวไว ส่อแววอัจฉริยะ เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

Napatsakorn .R

  • หน้าแรก
  • /
  • พัฒนาการลูก
  • /
  • อาหารกระตุ้นสมอง 12 อย่าง กินอะไรให้ลูกฉลาด บำรุงสมองความจําดี
แชร์ :
  • ห่อตัวลูกนอน จำเป็นไหม ลูกติดห่อตัว ไม่ห่อ ไม่ยอมนอน แก้ยังไง?

    ห่อตัวลูกนอน จำเป็นไหม ลูกติดห่อตัว ไม่ห่อ ไม่ยอมนอน แก้ยังไง?

  • เตือนแม่! อย่ากินอาหารที่ใช้ปากกาเมจิกเขียนบนถุง เสี่ยงมะเร็ง

    เตือนแม่! อย่ากินอาหารที่ใช้ปากกาเมจิกเขียนบนถุง เสี่ยงมะเร็ง

  • ริดสีดวงหลังคลอด สาเหตุ อาการ และวิธีรับมือสำหรับคุณแม่

    ริดสีดวงหลังคลอด สาเหตุ อาการ และวิธีรับมือสำหรับคุณแม่

  • ห่อตัวลูกนอน จำเป็นไหม ลูกติดห่อตัว ไม่ห่อ ไม่ยอมนอน แก้ยังไง?

    ห่อตัวลูกนอน จำเป็นไหม ลูกติดห่อตัว ไม่ห่อ ไม่ยอมนอน แก้ยังไง?

  • เตือนแม่! อย่ากินอาหารที่ใช้ปากกาเมจิกเขียนบนถุง เสี่ยงมะเร็ง

    เตือนแม่! อย่ากินอาหารที่ใช้ปากกาเมจิกเขียนบนถุง เสี่ยงมะเร็ง

  • ริดสีดวงหลังคลอด สาเหตุ อาการ และวิธีรับมือสำหรับคุณแม่

    ริดสีดวงหลังคลอด สาเหตุ อาการ และวิธีรับมือสำหรับคุณแม่

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว