อาหารกระตุ้นสมอง 12 อย่าง กินอะไรให้ลูกฉลาด บำรุงสมองความจําดี

สำหรับเด็ก ๆ แล้ว การดูแลทางด้านโภชนาการถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย การเรียนรู้ และมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง เสริมให้ลูกฉลาดสมวัยได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อาหารกระตุ้นสมอง 12 อย่าง กินอะไรให้ฉลาด บำรุงสมองความจําดี ให้ลูกกินอะไร …ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่สายเข้มหรือพ่อแม่สายชิลกับการเลี้ยงลูกก็ตาม อาหารสำหรับลูกนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับร่างกายและสมองเป็นอย่างมาก อาหารบางอย่างสามารถช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการทำคะแนนที่สูงขึ้น อาหารกระตุ้นสมอง สำหรับลูกมีอะไรบ้าง

12 อาหารกระตุ้นสมอง ให้ตื่นตัว เพิ่มความจำ ช่วยบูสต์สมองลูกให้ปรู๊ดปร๊าด

1. เนยถั่ว

เนยถั่วมีสารอาหารหลายชนิดที่ช่วยบำรุงสมอง ได้แก่

1. โคลีน เนยถั่วอุดมไปด้วยโคลีน สารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาความจำ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์

2. วิตามินบี เนยถั่วมีวิตามินบีหลายชนิด เช่น วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. แมกนีเซียม เนยถั่วมีแมกนีเซียม แร่ธาตุที่ช่วยลดความเครียด และช่วยให้สมองผ่อนคลาย

4. สารต้านอนุมูลอิสระ เนยถั่วมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น วิตามินอี ที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย

5. ใยอาหาร เนยถั่วมีใยอาหาร ที่ช่วยให้อิ่มท้องนาน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

หากวันไหนที่เตรียมมื้อเช้าสำหรับลูกก่อนไปโรงเรียนไม่ทัน ลองใช้ขนมปังทาคู่กับเคยถั่วเพื่อทำเป็นแซนวิชอย่างง่าย ๆ ให้ลูกทาน ก็ทำให้ลูกได้รับโปรตีนและไขมันที่ประโยชน์ในเนยถั่ว ทั้งยังรู้สึกอิ่มท้อง และบำรุงสมองให้พร้อมเรียนรู้อีกด้วย

สำหรับเด็กวัย 3 ขวบขึ้นไป ควรทานเนยถั่วประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะจะช่วยบำรุงสมอง ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เนยถั่วยังมีไขมันและแคลอรี่สูง ควรเลือกทานเนยถั่วที่ไม่หวาน และทานในปริมาณที่พอเหมาะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

2. ปลาที่มีไขมัน

ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และปลาซาดีน นั้นประกอบไปด้วยไขมันโอเมก้า-3 และโปรตีนมากมายซึ่งช่วยในการทำงานของสมอง

 

ประโยชน์ของโอเมก้า-3 ที่มีต่อการพัฒนาสมองของเด็ก

1. เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่เพียงพอ

2. พัฒนาการเรียนรู้ ความจำ และการจดจำ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

3. ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์

4. ลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า

5. ป้องกันโรคทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน

ผู้ใหญ่ควรทานปลาที่มีไขมัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป สามารถทานปลาที่มีไขมันได้ แต่ควรเลือกปลาที่มีก้างน้อย และปรุงสุกให้สุกทั่วถึง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

3. ผักโขม

ผักโขมจัดว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟู้ด”  ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเด็กมากมาย โดยเฉพาะในด้านการบำรุงสมอง อาหารกระตุ้นสมอง ชนิดนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม และอุดมไปด้วยลูทีนที่มีส่วนช่วยการทำงานของสมองด้านความจำได้ดี

ประโยชน์ของผักโขม อาหารสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • ผักโขมมีวิตามินบีรวมสูง โดยเฉพาะโฟเลต (Folate) ซึ่งเป็นวิตามินสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดประสาทพิการ (Neural Tube Defects)
  • มีวิตามินเค (Vitamin K) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  • มีธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง
  • มีไอโอดีน (Iodine) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • ผักโขมมีสารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้

3. บำรุงระบบประสาท

  • ผักโขมมีวิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง

4. ช่วยให้อารมณ์ดี

  • ผักโขมมีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยลดความเครียด วิตกกังวล

ปริมาณการบริโภคผักโขมที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 6 เดือน – 1 ปี : แนะนำให้ทานผักโขมบด 1-2 ช้อนชาต่อมื้อ 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานผักโขมสับ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานผักโขมทั้งใบ 2-3 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์

นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มผักโขมลงในเมนูอาหารของเด็กได้หลากหลายวิธี เช่น ผักโขมบดใส่ในซอสหรือโจ๊ก ผักโขมสับใส่ในไข่เจียวหรือผัด ผักโขมต้มหรือผักโขมอบชีส ผักโขมปั่นใส่ในสมูทตี้ เป็นต้น

4. อะโวคาโด

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีไขมันดีสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเด็กมากมาย โดยเฉพาะในด้านการบำรุงสมอง ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมองได้ดี ดังนี้

ประโยชน์ของอะโวคาโด อาหารสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง:

  • อะโวคาโดมีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินอี (Vitamin E) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีโฟเลต (Folate) ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดประสาทพิการ (Neural Tube Defects) ในทารก

2. เพิ่มพลังสมอง:

  • อะโวคาโดมีกลูโคส (Glucose) แหล่งพลังงานหลักของสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

3. บำรุงระบบประสาท:

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • อะโวคาโดมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยลดความเครียด วิตกกังวล

ปริมาณการบริโภคอะโวคาโดที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 6 เดือน – 1 ปี : แนะนำให้ทานอะโวคาโดบด 1-2 ช้อนชาต่อมื้อ 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานอะโวคาโดสับ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานอะโวคาโดทั้งชิ้น 1/4 – 1/2 ผลต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์

5. บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าช่วยป้องกันสมองจากสารอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างการเรียนรู้และการทำงานของกล้ามเนื้อ จัดเป็น 1 ในอาหารที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับสมอง

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • บลูเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน
  • มีวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ
  • มีวิตามินเค (Vitamin K) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • บลูเบอร์รี่มีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้

3. บำรุงระบบประสาท

  • บลูเบอร์รี่มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

ปริมาณการบริโภคบลูเบอร์รี่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานบลูเบอร์รี่ 10-15 ผลต่อมื้อ 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานบลูเบอร์รี่ 15-20 ผลต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 4-5 ปี : แนะนำให้ทานบลูเบอร์รี่ 20-25 ผลต่อมื้อ 3-4 วันต่อสัปดาห์

นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มบลูเบอร์รี่ลงในเมนูอาหารของเด็กได้หลากหลายวิธี เช่น บลูเบอร์รี่สดทานคู่กับโยเกิร์ตหรือซีเรียล บลูเบอร์รี่อบแห้งทานเป็นของว่าง บลูเบอร์รี่ปั่นใส่ในสมูทตี้ บลูเบอร์รี่ใส่ในขนมอบหรือมัฟฟิน เป็นต้น

6. กระเทียม

กระเทียมนั้น สามารถช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งสมองได้ และ ช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น เพียงแค่นำกระเทียมมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเช่น ขนมปังกระเทียม ข้าวผัดกระเทียม สปาเก็ตตี้ผัดเนยกระเทียม หรือทำปีกไก่กระเทียมให้ลูกกิน ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นสมองแบบที่ไม่ทำให้ลูกร้องยี้กับการได้กินกระเทียมแล้วล่ะ

ประโยชน์ของกระเทียม ที่มีต่อการพัฒนาสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • กระเทียมมีสารอัลลีซิน (Allicin) สารประกอบที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูง ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์

2. เพิ่มสมาธิและความจำ:

  • กระเทียมมีสารซัลเฟอร์ (Sulfur) ช่วยเพิ่มการผลิตสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท:

  • กระเทียมมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการของเด็กหลังทานกระเทียม หากมีอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน หายใจลำบาก ควรหยุดทานทันทีและปรึกษาแพทย์

7. ไข่

ไข่นั้นอุดมไปด้วยโคลีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญของมนุษย์ในการพัฒนาสมองและเพิ่มความจำ เตรียมอาหารเช้าด้วยเมนูไข่สุดโปรดสำหรับลูก ซึ่งจะเพิ่มพลังสมองให้เด็ก ๆ สดใส กระปรี้กระเปร่าได้หลากหลายเมนูไข่ ทั้งไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ตุ๋น ไข่ลวก ซุปไข่ ข้าวผัดไข่ บะหมี่ผัดไข่ ขนมปังไข่ดาว แซนด์วิชไข่ เป็นต้น

ประโยชน์ของไข่ ที่มีต่อการพัฒนาสมองของเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • ไข่ไก่มีสารโคลีน (Choline) สารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการเรียนรู้
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีโปรตีน (Protein) เป็นสารอาหารหลักที่ช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ประสาท
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง
  • มีไอโอดีน (Iodine) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • ไข่ไก่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท

  • ไข่ไก่มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

ปริมาณการบริโภคไข่ไก่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละวัย

  • เด็กอายุ 6 เดือน – 1 ปี : แนะนำให้ทานไข่แดงต้มสุก 1/4 ฟองต่อวัน 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 1-2 ปี : แนะนำให้ทานไข่ต้มสุก 1/2 ฟองต่อวัน 3-4 วันต่อสัปดาห์
  • เด็กอายุ 2-3 ปี : แนะนำให้ทานไข่ต้มสุก 1 ฟองต่อวัน 3-4 วันต่อสัปดาห์

ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเด็กเพิ่มเติม เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการของเด็กแต่ละคน

 

8. โยเกิร์ต

แบคทีเรียที่มีอยู่ในโยเกิร์ตนั้นสามารถช่วยให้สมองผ่อนคลายความวิตกกังวล และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ และสำหรับเด็กที่ธาตุอ่อน การรับประทานโยเกิร์ตจะช่วยให้ท้องไส้หายปั่นป่วน ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเรียนดีขึ้น

ประโยชน์ของโยเกิร์ต ในการบำรุงสมองเด็ก

โยเกิร์ตไม่ได้ช่วยในเรื่องการขับถ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็น อาหารกระตุ้นสมอง ที่มีประโยชน์ในด้านการบำรุงสมอง อีกด้วย

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง:

  • โยเกิร์ตมีโปรไบโอติกส์ (Probiotics) จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการเรียนรู้
  • มีกรดอะมิโนจำเป็น (Essential amino acids) ช่วยสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ส่งผลดีต่อการทำงานของสมอง
  • มีแคลเซียม (Calcium) ช่วยพัฒนาการของกระดูกและฟัน ส่งผลดีต่อระบบประสาท
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีไอโอดีน (Iodine) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ:

  • โยเกิร์ตมีโปรไบโอติกส์ (Probiotics) ช่วยลดความเครียด วิตกกังวล ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล

3. บำรุงระบบประสาท:

  • โยเกิร์ตมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง

อย่างไรก็ตาม ควรเลือกโยเกิร์ตธรรมชาติ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีสารแต่งสี และไม่มีสารกันบูด เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อย และยังสามารถเพิ่มผลไม้สด กราโนล่า หรือถั่ว ลงในโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการให้กับลูกน้อยอีกด้วย

 

9. น้ำ

การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งสมองของเด็กนั้นประกอบไปด้วยน้ำประมาณ 80% การดื่มน้ำจึงส่งผลต่อการทำงานของสมองโดยตรง

เวลาที่เด็ก ๆ ได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้พวกเขาเกิดความรู้สีกเหนื่อยอ่อน และพบว่าการขาดน้ำจะทำให้สมองยากที่จะจดจำและคิดอะไรได้เร็ว ดังนั้นควรกระตุ้นให้ลูกได้ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายในแต่ละวัน เพื่อที่จะทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยและเฉื่อยชา

การดื่มน้ำ มีประโยชน์ต่อสมองของเด็กอย่างไร

1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

  • สมองที่ได้รับน้ำเพียงพอ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เด็กมีความคิดเฉียบแหลม จดจ่อ มีสมาธิ และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • การดื่มน้ำช่วยลดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน ปวดหัว ซึ่งล้วนส่งผลต่อการเรียนรู้และการจดจำของเด็ก

2. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของสมอง:

  • สมองของเด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว การดื่มน้ำจึงช่วยส่งเสริมกระบวนการเหล่านี้ ทำให้เซลล์สมองทำงานได้อย่างถูกต้อง
  • น้ำช่วยลำเลียงสารอาหาร ออกซิเจน และฮอร์โมนต่างๆ ไปยังสมอง ช่วยให้สมองได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต

3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย:

  • สมองเป็นอวัยวะที่ไวต่ออุณหภูมิ การดื่มน้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ไม่ให้สมองร้อนจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง

4. ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย:

  • น้ำช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย รวมไปถึงสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างสะดวก ไม่มีสิ่งรบกวน

10. เม็ดมะม่วงหิมพานต์

ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ประกอบไปด้วยแมงกานีส ซึ่งดีสำหรับช่วยในด้านความจำและชะลอการหลงลืม โดยสามารถเพิ่มเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงในอาหารของเด็กได้หลากหลายเมนู เช่น โรยหน้าซีเรียล ใส่ในสลัด บดใส่ในโยเกิร์ต ผสมในสมูทตี้ หรือจะทานเป็นของว่างก็ได้

ประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์ ในการบำรุงสมองเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) สูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีแมกนีเซียม (Magnesium) ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีธาตุเหล็ก (Iron) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง
  • มีฟอสฟอรัส (Phosphorus) ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท

  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

11. ธัญพืช

ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวไรซ์เบอร์รี ควินัว เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ซีด งา ถั่วต่างๆ ขนมปังธัญพืช และซีเรียลธัญพืช อาหารเหล่านี้ จะปลดปล่อยพลังงานในรูปของน้ำตาลกลูโคส ซึ่งช้ากว่าพลังงานจากแหล่งคาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ ซึ่งหมายความว่า จะทำให้ลูก ๆ มีพลังงานและสามารถใช้สมองในการคิดได้นานขึ้น โดยไม่เหนื่อยเกินไป

ประโยชน์ของธัญพืช ที่มีต่อการบำรุงสมองเด็ก

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง:

  • ธัญพืชมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) สูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบีรวม (B Vitamins) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • มีแร่ธาตุต่างๆ เช่น แมกนีเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส สังกะสี ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ:

  • ธัญพืชมีกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • มีวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ ส่งผลดีต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์

3. บำรุงระบบประสาท:

  • ธัญพืชมีโพแทสเซียม (Potassium) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • มีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

 

12. นม

นม ประกอบไปด้วยแคลเซียม ซึ่งช่วยให้สมองผลิตฮอร์โมนสำหรับการนอนหลับ และมีโปรตีนที่ช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกอิ่ม การให้ลูกได้ดื่มนมก่อนนอนนั้นจึงช่วยให้เขาได้หลับสนิทไปตลอดทั้งคืน ซึ่งจะทำให้ลูกได้ตื่นนอนในตอนเช้าอย่างสดชื่น มีสมองที่ปลอดโปร่ง สดชื่น

ประโยชน์ของนม อาหารกระตุ้นสมอง สำหรับเด็กทุกวัย

1. เสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง

  • นมมีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง
  • นมมีดีเอชเอ (DHA) และเออาร์เอ (ARA) กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์สมอง ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • นมมีโคลีน (Choline) สารอาหารสำคัญที่ช่วยพัฒนาความจำ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์
  • นมมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี ช่วยพัฒนาการของกระดูกและฟัน ส่งผลดีต่อระบบประสาท
  • นมมีวิตามินบีรวม ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
  • นมมีไอโอดีน ช่วยพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท

2. เพิ่มสมาธิและความจำ

  • นมมีกรดอะมิโนจำเป็น (Essential amino acids) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ช่วยสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ส่งผลดีต่อการทำงานของสมอง เพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้
  • นมมีแมกนีเซียม ช่วยให้ความจำดี ลดความเครียด วิตกกังวล

3. บำรุงระบบประสาท

  • นมมีโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • นมมีใยอาหาร (Fiber) ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยให้สมองมีพลังงานคงที่

การกระตุ้นสมองลูก ด้วยโภชนาการที่มีประโยชน์แล้ว การให้ลูกได้ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่สนุกอย่างสมวัย เพื่อผ่อนคลายความเครียด ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยบูสต์สมองลูกให้ปรู๊ดปร๊าดได้ เรียนได้ดี ทำข้อสอบออกมาดีนะคะ

 

สุดยอดอาหารเสริมพัฒนาการด้านสมองลูก

ด้วยความรักลูก แน่นอนว่า คุณพ่อคุณแม่ทุกคน ย่อมต้องค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ และของกิน เช่นเดียวกับวันนี้ ที่เราจะขอนำเสนอ 10 สุดยอดอาหารที่เป็นตัวช่วยในการเสริมพัฒนาการด้านสมองของลูกกันค่ะ

1. กรีกโยเกิร์ต

โยเกิร์ต ก็คือนมเปรี้ยวชนิดหนึ่ง ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากน้ำนมของสัตว์ ที่นำมาบริโภคได้ หรือส่วนประกอบของน้ำนมที่ผ่านการทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคแล้ว โยเกิร์ต ถือเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ยกตัวอย่างเช่น วิตามินบีเชิงซ้อน วิตามินเอ  วิตามินอี โพแทสเซียม และแคลเซียม ที่จะมาช่วยบำรุงด้านการเจริญเติบโตขอเนื้อเยื่อสมอง และระบบประสาท รวมถึงเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงได้อีกด้วย

2. ผักนานาชนิด

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พืชผักต่าง ๆ นั้น อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และวิตามินมากมาย โดยเฉพาะผักที่มีโทนสีเข้ม จัดได้ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ดีของสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระนั้น จะช่วยให้เซลล์สมองของลูกมีสุขภาพดี ซึ่งผักที่จัดได้ว่าดีที่สุดสำหรับการเสริมพัฒนาการด้านสมองของลูกก็คือ มันเทศ ฟักทอง และแครอท สำหรับผักใบเขียวเช่นคะน้า ผักขมและกระหล่ำปลีนั้น อุดมไปด้วยโฟเลต ที่จะช่วยในด้านการเจริญเติบโตของเซลล์สมองของลูก

3. บล็อคโคลี่

บล็อคโคลี่ถือเป็นอีกสุดยอดอาหารที่ช่วยเสริมพัฒนาการด้านสมองให้กับลูก เพราะบล็อคโคลี่อุดมไปด้วยดีเอชเอ ที่ช่วยในให้เซลล์ประสาทเชื่อมต่อกัน ทั้งยังมีสารที่ช่วยในการต้านมะเร็งอีกด้วย

4. อะโวคาโด

อะโวคาโดถือได้ว่ามีประโยชน์สำหรับพัฒนาการด้านสมองของลูกเป็นอย่างมาก เพราะเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง นอกจากนี้ยังมีมีวิตามีบีเชิงซ้อนมากที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงในเด็กได้อีกด้วย

5. ปลาแซลมอน

ปลาแซลมอนเป็นปลาที่มีโอเมก้า 3 ที่ทำหน้าที่ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อสมองของลูก ช่วยในการเจริญเติบโตและส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมองของทารกให้ดี นอกจากนั้นการบริโภคปลาจะยังช่วยเสริมทักษาทางด้านจิตใจให้กับทารกได้อีกด้วยนะคะ

6. ไข่

ไข่จัดได้ว่าเป็นคลังโภชนการที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กรดไขมันโอเมก้า 3 สังกะสี ลูทีน และโคลีน ที่ต่างก็ทำหน้าที่ในการช่วยเสริมพัฒนาการทางด้วนสมองและช่วยเพิ่มหน่วยความจำให้กับลูก ๆ

7. โฮลเกรน

คุณแม่ทราบไหมคะว่า ธัญพืชจำพวกโฮลเกรนนั้น ช่วยเสริมพัฒนาการสมองของลูก ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยพลังงาน และโฟเลตที่จะช่วยให้ระบบขับถ่ายของลูกนั้นเป็นปกติได้

8. ข้าวโอ๊ต

จากการศึกษาพบว่า ข้าวโอ๊ตนั้น มีส่วนช่วยในการเพิ่มพื้นที่ความจำให้กับลูก เพราะ ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยวิตามินอี สังกะสี และวิตามินบีเชิงซ้อน นั่นเอง

9. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทัฟ พบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น มีปริมาณวิตามินซีสูง ที่สามารถช่วยเพิ่มหน่วยความจำของลูก ๆ และ ยังสามารถช่วยในการลดความเครียดของเด็ก ๆ ได้

10. ถั่ว

เพราะ ถั่วต่าง ๆ นั้นจัดได้ว่าเป็นอาหารสมอง ที่มีวิตามินอีสูง นอกจาก จะช่วยเพิ่มความจำแล้ว ยังช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองด้านต่าง ๆ ให้กับลูกได้


 

ที่มา : sg.theasianparent.com , nautilusonlineshop ,  ,  ,

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาสมองของทารก

10 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด สมองดีและมีความมั่นคงทางอารมณ์ในยุค 4.0

อยากรู้ว่าลูกฉลาดแค่ไหน แม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกหัวไว ส่อแววอัจฉริยะ เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

บทความโดย

Napatsakorn .R