การผ่าคลอด (Caesarean Section) เป็นการคลอดบุตรโดยการผ่าตัดทางหน้าท้องและมดลูก เพื่อเอาทารกออกมาแทนการคลอดธรรมชาติ การผ่าคลอดมีความจำเป็นในบางกรณีที่การคลอดธรรมชาติ อาจมีความเสี่ยงต่อมารดาหรือทารก เราจึงได้รวบรวม คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด คำถามที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตัดสินใจเรื่องของการผ่าคลอดไว้ที่นี่ ไปดูพร้อมกันเลยว่า มีอะไรบ้าง
คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด คุณแม่ผ่าคลอดต้องรู้
1. ผ่าคลอดกับคลอดเอง อันไหนดีกว่ากัน
การผ่าคลอดหรือคลอดธรรมชาติแบบไหนดีกว่านั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สุขภาพของแม่ ทารก ความพร้อมของร่างกาย ประวัติการคลอดบุตร และความต้องการส่วนตัว ทั้งนี้การตัดสินใจว่าจะคลอดแบบไหน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะแพทย์จะต้องประเมินสุขภาพของคุณแม่และสุขภาพของทารก อธิบายข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี และช่วยคุณตัดสินใจเลือกวิธีคลอดที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: คลอดธรรมชาติ vs ผ่าคลอด คุณแม่อยากเลือก วิธีคลอดลูก แบบไหน?
2.ผ่าคลอดกี่วันเดินได้
จริงๆ แล้วการพยายามขยับตัวตั้งแต่วันแรกถือเป็นเรื่องดีค่ะ วันแรกอาจจะลองค่อยๆ ลุกนั่งบนเตียง หรือยืนข้างๆ เตียงดูก่อน การทำแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวไวขึ้น ช่วยขับลม ลดอาการท้องอืด และป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นลิ่ม พอเริ่มเดินเบาๆ ได้ ลำไส้ก็จะกลับมาทำงานดีขึ้น ช่วยเรื่องขับถ่ายได้อีกด้วยค่ะ แค่ค่อยๆ ทำช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน และคอยระวังแผลเสมอ แต่ถ้าเจ็บแผลมากจนไม่ไหว ควรแจ้งพยาบาลทันที
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ผ่าคลอดกี่วันเดินได้ เคล็ดลับการเดินหลังผ่าคลอด ฟื้นตัวเร็ว แผลหายไว
3. ผ่าคลอดกี่เดือนถึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้
หลังการผ่าคลอด แนะนำให้รอประมาณ 6 สัปดาห์ (หรือประมาณ 1 เดือนครึ่ง) ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัวและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม แต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายและรับคำแนะนำเฉพาะบุคคลจะเป็นการดีที่สุด
4. ผ่าคลอดกี่ปีถึงจะมีลูกได้
หลังจากการผ่าคลอด ระยะเวลาที่เหมาะสมในการตั้งครรภ์หลังผ่าคลอด โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ รออย่างน้อย 18-24 เดือน หรือ 2 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลานี้ช่วยให้มดลูกของคุณมีเวลาฟื้นฟูเต็มที่และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์และคลอดบุตร อย่างไรก็ตาม ระยะเวลารอที่เหมาะสมที่สุดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติกรรมและนรีเวชกรรม เพื่อประเมินความเสี่ยงและรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

5. ผ่าคลอดครั้งที่ 3 อันตรายไหม ผ่าคลอด 4 ครั้งได้ไหม
โดยทั่วไปแล้ว การผ่าคลอดครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ถือว่ามีความเสี่ยงสูง หากเทียบเปรียบเทียบกับการผ่าคลอดครั้งที่ 1 หรือ 2 เพราะว่าการผ่าตัดแต่ละครั้ง จะมีการสร้างพังผืดและแผลเป็นที่อวัยวะภายใน พังผืดเหล่านี้จะดึงรั้งอวัยวะใกล้เคียงกับมดลูก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะผ่าตัดโดนอวัยวะอื่นมากขึ้น ดังนั้นแพทย์ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำ ให้ผ่าคลอดเกิน 3 ครั้ง แต่ในบางกรณีอาจมีจำเป็นต้องผ่าคลอด 4 ครั้งขึ้นไป ซึ่งแพทย์จะพิจารณาอย่างละเอียด โดยคำนึงถึงความเสี่ยง ประโยชน์ และทางเลือกอื่น ๆ ร่วมกับคุณแม่เพิ่มเติม
6. ผ่าคลอดน้ำคาวปลาหมดตอนกี่เดือน
น้ำคาวปลา (lochia) คือของเหลวที่ถูกขับออกจากช่องคลอดหลังคลอดบุตร ประกอบด้วยเลือด เนื้อเยื่อที่หลุดลอกจากผนังมดลูก และเมือกต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วน้ำคาวปลาหลังผ่าคลอดจะหมดภายในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์หลังคลอด แต่อาจมีความแตกต่างไปในแต่ละบุคคลได้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: น้ำคาวปลา หลังคลอดกี่วันถึงจะหมด ทำไมน้ำคาวปลามีหลายสี สีไหนผิดปกติ
7. ผ่าคลอด เบ่งอุจจาระได้ไหม
คุณแม่หลังคลอดสามารถเบ่งอุจจาระได้ตามปกติค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะไม่อยากออกแรงเบ่งมาก เพราะอาจรู้สึกเจ็บแผลผ่าคลอดได้ และควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้แผลผ่าตัดเกิดการฉีกขาด โดยปกติแล้วแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการผ่าคลอด ซึ่งอาจรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยป้องกันอาการท้องผูกและลดความจำเป็นในการเบ่งอุจจาระแรง ๆ
8. ผ่าคลอดกี่วันถึงจะขับรถได้
คำถามที่ว่า ผ่าคลอดกี่วันถึงจะขับรถได้นั้น ทางการแพทย์ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สุขภาพร่างกายโดยรวมของแม่หลังคลอด สภาพแผลผ่าตัด ระดับความเจ็บปวด และความสามารถในการควบคุมร่างกาย โดยทั่วไป แพทย์มักแนะนำให้รออย่างน้อย 4-6 สัปดาห์หลังคลอด จึงจะสามารถกลับไปขับรถได้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ผ่าคลอดกี่วันถึงจะขับรถได้ คำแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

9. ผ่าคลอดได้ 5 เดือน ท้องได้ ไหม
การท้องใหม่หลังจากผ่าคลอดเพียง 5 เดือน อาจเสี่ยงมากกว่าปกติ ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์หลังผ่าคลอด 5 เดือน และควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายและรับคำแนะนำที่เหมาะสมในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
10. ผ่าคลอด ออกกำลังกายได้ตอนไหน
การออกกำลังกายหลังการผ่าคลอดเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูร่างกายของแม่หลังคลอด แต่ต้องทราบว่าไม่ใช่ทุกกรณีที่สามารถเริ่มการออกกำลังกายได้ทันทีหลังจากการผ่าคลอด เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา เช่น สุขภาพของแม่หลังคลอด การเข้ารับการรักษาหลังการผ่าคลอด และปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการผ่าคลอด เช่น แผลผ่าตัด หรือการเจ็บป่วยหรืออักเสบต่าง ๆ โดยทั่วไปแนะนำให้รออย่างน้อย 6-8 สัปดาห์หลังการคลอดก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกายที่มีความหนักมากขึ้น
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ผ่าคลอด กี่เดือนออกกำลังกายได้ ต้องพักกี่เดือนก่อนที่ร่างกายจะเหมือนเดิม
11. ผ่าคลอดมีโอกาสตกเลือดไหม
การผ่าคลอดมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะตกเลือดหลังคลอดมากกว่าการคลอดธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้ว มารดาที่ผ่าคลอดจะเสียเลือดประมาณ 500-1000 มิลลิลิตร แต่ในบางรายอาจเสียเลือดมากถึง 2000 มิลลิลิตร หรือมากกว่านั้น ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ
สาเหตุของการตกเลือดหลังคลอดจากการผ่าคลอด ได้แก่
- การเสียเลือดระหว่างผ่าตัด การผ่าคลอดเป็นการผ่าตัดใหญ่ ร่างกายจะเสียเลือดมากกว่าการคลอดธรรมชาติ
- รกเกาะต่ำหรือรกติดแน่น รกเกาะต่ำคือรกเกาะอยู่ต่ำในมดลูก รกติดแน่นคือรกเกาะติดกับผนังมดลูกแน่นเกินไป ทำให้การผ่าตัดคลอดบุตรยากขึ้นและมีโอกาสเสียเลือดมากขึ้น
- ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น การติดเชื้อในมดลูก การหดรัดตัวของมดลูกหลังคลอดไม่ดี หรือมีโรคประจำตัวบางชนิด

12. จะรู้ได้ยังไงว่าแผลผ่าคลอดอักเสบ
การรู้ว่าแผลผ่าคลอดมีอาการอักเสบหรือไม่สามารถทำได้โดยการสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ แผลผ่าคลอด อาการที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงร่วมด้วย เช่น
- อาการบวม: หากมีการบวมขึ้นรอบแผลผ่าคลอดอาจเป็นสัญญาณของการอักเสบ
- อาการแดง: แผลที่อักเสบมักจะมีสีแดงเข้มหรือแดงสด โดยมักเกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นในบริเวณนั้น
- อาการร้อน: บางครั้งอาจมีความร้อนร่างกายเพิ่มขึ้นในบริเวณแผลที่อักเสบ
- อาการเจ็บปวด: การเจ็บปวดหรือรู้สึกระคายเคืองในบริเวณแผลก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการอักเสบ
หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากการผ่าคลอด ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การรักษาแผลผ่าคลอดอักเสบอาจต้องใช้การรักษา เช่น การใช้ยาและการดูแลแผลอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและสุขภาพที่ดีของแม่และทารกในช่วงหลังคลอด
13. ผ่าคลอดทำไมต้องสวนอุจจาระ
การสวนอุจจาระก่อนผ่าคลอดเป็นการเตรียมตัวอย่างหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระหว่างและหลังการผ่าตัด โดยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้
- ลดโอกาสการติดเชื้อ: อุจจาระในลำไส้ใหญ่มีแบคทีเรียจำนวนมาก การสวนอุจจาระจะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียเหล่านี้ ซึ่งอาจปนเปื้อนแผลผ่าตัดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ลดความเสี่ยงของลำไส้อุดตัน: ยาแก้ปวดและยาอื่น ๆ ที่ใช้หลังการผ่าตัดอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก การสวนอุจจาระก่อนผ่าคลอดจะช่วยลดโอกาสของภาวะลำไส้อุดตัน
- เพิ่มความสะดวกสบาย: การสวนอุจจาระจะช่วยลดโอกาสของการขับถ่ายอุจจาระระหว่างการผ่าตัด ซึ่งอาจสร้างความอึดอัดและรบกวนการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม การสวนอุจจาระก่อนผ่าคลอด ไม่ได้จำเป็นเสมอไป แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความจำเป็นเป็นรายบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ประวัติการผ่าตัด และชนิดของการผ่าตัด
14. กี่เดือนแผลผ่าคลอดถึงจะหาย
โดยทั่วไปแล้ว แผลผ่าคลอดจะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ แผลที่เย็บไว้จึงจะสมานกัน แต่ก็อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น:
- ตำแหน่งของแผล: แผลผ่าคลอดแบบแนวนอน (บิกินี่) มักหายเร็วกว่าแบบแนวตั้ง
- สุขภาพโดยรวม: คนที่มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง แผลมักหายเร็วกว่า
- การดูแลแผล: การดูแลแผลให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการแกะเกาแผล ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- ภาวะแทรกซ้อน: กรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลติดเชื้อ แผลอักเสบ แผลจะหายช้าลง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: แผลผ่าคลอด กี่วันหาย วิธีดูแลแผลผ่าคลอด แผลนูนคัน แผลปริ แผลอักเสบ
15. แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน ป้องกันและดูแลอย่างไร
แผลผ่าคลอดที่อักเสบอยู่ข้างใน เราจะมองไม่เห็นจากด้านนอก แต่ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนออกมาเองค่ะ ให้ลองเช็คดูว่ามีอาการเหล่านี้ไหม เช่น รู้สึกปวดท้องมากแบบทนไม่ค่อยไหว, คลำดูแล้วแผลตรงที่ผ่ามีลักษณะนูนๆ หรือปูดขึ้นมาผิดปกติ และที่สำคัญคือมักจะมีไข้ตัวร้อนร่วมด้วย อาการแบบนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นเพราะเราดูแลตัวเองได้ไม่เต็มที่พอในช่วงพักฟื้นค่ะ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: แผลผ่าคลอดอักเสบข้างใน ป้องกันและดูแลอย่างไร ให้แผลผ่าคลอดหายสนิท

16. ผ่าคลอด นอนโรงพยาบาลกี่วัน
ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลหลังผ่าคลอดโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3-4 วัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาที่แน่นอนอาจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
- สภาพสุขภาพของคุณแม่:
- หากคุณแม่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ร่างกายฟื้นตัวได้ดี ก็อาจจะกลับบ้านได้เร็วขึ้น
- แต่หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เสียเลือดมาก ติดเชื้อ อาการปวดรุนแรง อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น
- นโยบายของโรงพยาบาล:
- แต่ละโรงพยาบาลอาจมีนโยบายการให้นอนโรงพยาบาลหลังผ่าคลอดที่แตกต่างกัน
- ความพร้อมของคุณแม่:
- คุณแม่บางท่านอาจจะรู้สึกพร้อมกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด
- แต่บางท่านอาจจะรู้สึกยังไม่มั่นใจและต้องการพักฟื้นต่อในโรงพยาบาล
ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าคุณแม่พร้อมกลับบ้านหรือไม่ โดยจะดูจากสภาพความแข็งแรงของร่างกาย อาการต่างๆ ของคุณแม่ และผลการตรวจร่างกาย รวมถึคุณแม่สามารถสอบถาม แพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลหลังผ่าคลอดได้ค่ะ
17. ผ่าคลอด เอาไส้ติ่งออกไหม
การผ่าคลอดพร้อมเอาไส้ติ่งออกนั้นสามารถเป็นไปได้ แต่ปกติแล้วในกระบวนการผ่าคลอดจะมีการใช้ยาช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัว เพื่อช่วยให้เกิดการคลอดได้สะดวกและปลอดภัยมากที่สุด การนำไส้ติ่งออกในขณะที่ทำการผ่าคลอดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและอันตรายต่อชีวิตของแม่และเด็กได้ ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และหากมีข้อสงสัยหรือคำถามใด ๆ ควรพูดคุยกับแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพื่อการตัดสินใจ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ผ่าคลอด ตัดไส้ติ่ง เลยดีไหม ทำพร้อมกันไป แม่จะได้เจ็บแค่ครั้งเดียว
18. ผ่าคลอด กินน้ำเย็นได้ไหม
คุณแม่ท่านไหนที่กำลังสงสัยว่าหลังผ่าคลอดจะดื่มน้ำเย็นได้ไหม สบายใจได้เลยค่ะว่าสามารถดื่มได้ เพราะยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าน้ำเย็นเป็นอันตรายต่อคุณแม่หรือจะทำให้น้ำนมหด แต่ร่างกายของคุณแม่แต่ละคนไม่เหมือนกัน ลองสังเกตตัวเองดูนะคะ หากดื่มแล้วสดชื่นก็ดื่มได้เลย แต่ถ้ารู้สึกไม่สบายตัว ก็แค่เปลี่ยนมาดื่มน้ำอุ่นๆ แทน และอย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้เยอะๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ไวยิ่งขึ้นนะคะ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ผ่าคลอด กินน้ำเย็นได้ไหม ข้อห้ามหลังผ่าคลอดที่ควรรู้!
19. หลังผ่าตัดห้ามกินอะไร
เพื่อให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้นและลดอาการไม่สบายตัวต่างๆ คุณแม่ควรระมัดระวังอาหารที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ดังนี้
- กลุ่มอาหารที่ทำให้ท้องอืด: ควรเลี่ยง เครื่องดื่มโซดาและน้ำอัดลม, ขนุน และ ผักบางชนิด เพราะอาจทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้รู้สึกแน่นท้องและเจ็บแผลมากขึ้นได้
- กลุ่มอาหารที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและท้องเสีย: ควรหลีกเลี่ยง อาหารหมักดอง และ อาหารที่ปรุงไม่สุก เพราะร่างกายคุณแม่ยังอ่อนแอ หากเกิดอาการท้องร่วงอาจกระทบกระเทือนแผลผ่าตัดได้
- กลุ่มอาหารที่อาจระคายเคือง: อาหารรสเผ็ด ควรจะงดไปก่อน เพราะอาจทำให้คุณแม่ปวดท้องหรือไม่สบายตัวได้ง่าย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: หลังผ่าตัดห้ามกินอะไร อาหารแสลง แม่ผ่าคลอดควรรู้
20. ผ่าคลอดกินอะไรได้บ้าง กินอะไรให้แผลหายเร็ว
ระยะแรก (1-3 วันหลังผ่าตัด): เริ่มต้นอย่างอ่อนโยน ในช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัวหลังการผ่าตัด ควรเริ่มต้นด้วยอาหารที่ย่อยง่ายและไม่สร้างภาระให้ลำไส้ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปใส แนะนำให้เริ่มทานทีละน้อยๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณเมื่อรู้สึกสบายท้องขึ้น
ระยะฟื้นฟู (หลัง 3 วันเป็นต้นไป): เสริมทัพด้วยอาหารมีประโยชน์ เมื่อระบบย่อยอาหารเริ่มทำงานปกติ ควรเน้นทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อเร่งกระบวนการซ่อมแซมร่างกายและสร้างความแข็งแรง โดยเน้นกลุ่มอาหารสำคัญดังนี้:
- โปรตีนสูง: ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและทำให้แผลสมานตัวเร็วขึ้น (เช่น เนื้อปลา, ไข่, เนื้อไก่, เต้าหู้)
- ผักและผลไม้สด: อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (เช่น ผักใบเขียว, ส้ม, เบอร์รี่)
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน: เป็นแหล่งพลังงานชั้นดี ทำให้คุณแม่มีแรงฟื้นตัวและดูแลลูกน้อย (เช่น ข้าวกล้อง, ธัญพืช, ขนมปังโฮลวีท)
- ไขมันดี: ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ลดการอักเสบ (เช่น อะโวคาโด, ปลาแซลมอน, ถั่วต่างๆ)
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ผ่าคลอดกินอะไรได้บ้าง กินอะไรให้แผลหายเร็ว และเพิ่มน้ำนมแม่
การผ่าคลอดเป็นทางเลือกที่สำคัญและบางครั้งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของทั้งมารดาและทารก การเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าคลอดและการเตรียมตัวอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณแม่มีความมั่นใจและพร้อมสำหรับการคลอดอย่างมีประสิทธิภาพ theAsianparent ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ที่กำลังเตรียมตัวผ่าคลอดทุกท่านนะคะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
คุณแม่ผ่าคลอด ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง ถ้าเคยผ่าคลอดแล้วจะคลอดธรรมชาติได้หรือไม่
เพราะ “สมองของเด็กผ่าคลอด” สำคัญเท่ากับ “ภูมิต้านทาน” เรื่องต้องรู้ ที่ แม่เตรียมผ่าคลอด อาจไม่เคยรู้!!
แม่ท้องมาดูกัน ความเสี่ยงของการ ผ่าคลอดกับโรคภูมิแพ้ในเด็กทารก
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!