theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
  • COVID-19
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • Project Sidekicks
    • การตั้งครรภ์
    • การคลอดบุตร
    • หลังคลอดบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • การสูญเสียทารก
  • ช่วงวัยของเด็ก
    • ทารก
    • วัยเตาะแตะ
    • เด็กเล็ก
    • เด็กวัยเรียน
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • สุขภาพ
    • อาการป่วย
    • วัคซีน
    • โภชนาการสำหรับครอบครัว
  • ชีวิตครอบครัว
    • ประกันชีวิต
    • โรงเรียนพ่อแม่
    • การเงิน การวางแผนครอบครัว
    • ความปลอดภัย
    • มุมคุณพ่อ
  • การศึกษา
    • ข่าวการศึกษา
    • คลีนิกพัฒนาการ
    • เตรียมความพร้อมก่อนวัยเรียน
    • โรงเรียนอนุบาล
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ไลฟ์สไตล์​
    • ข่าว
    • งานบ้าน
    • การเงิน การวางแผนครอบครัว
    • ดวงและราศี
    • ดารา-แฟชั่น
    • กิจกรรมของครอบครัว
    • ฟิตเนส
    • อีเว้นท์
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • TAP IDOL

100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 5 การดูแลแผลผ่าคลอด ข้อควรระวัง ข้อห้าม

บทความ 5 นาที
•••
100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 5 การดูแลแผลผ่าคลอด ข้อควรระวัง ข้อห้าม100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 5 การดูแลแผลผ่าคลอด ข้อควรระวัง ข้อห้าม

หลังจากการผ่าคลอด คุณแม่ต้องรู้วิธีการดูแลแผลผ่าคลอด เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อหรืออักเสบ มาดูวิธีการดูแลแผลผ่าคลอด ให้หายไวไม่เจ็บแผลกันเลยค่ะ

แผลการผ่าคลอด 

  • ผ่าคลอดแนวตั้ง 

คือการลงแผลในแนวดิ่งที่ผนังหน้าท้องช่วงล่างตรงแนวกลางลำตัว ตั้งแต่ระดับต่ำกว่าสะดือยาวลงมาจนถึงระดับเหนือกระดูกหัวหน่าวเล็กน้อย ความยาว แผลผ่าคลอด แนวตั้ง ประมาณ 10 เซนติเมตร การลงแผลแนวนี้จะผ่านเนื้อเยื่อหลายชั้น จนสามารถเข้าช่องท้องได้ง่าย

  • ผ่าคลอดแนวนอน 

เป็นที่นิยมกว่า สวยงามกว่า กระทำโดยการลงแผลแนวขวางที่ผนังหน้าท้องด้านล่าง ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ตรงตำแหน่งรอยพับของหน้าท้องหรือระดับประมาณ 2 เซนติเมตรสูงจากขอบบนของกระดูกหัวหน่าว ขั้นตอนการผ่าจะซับซ้อนกว่าเล็กน้อย

แผลผ่าคลอดที่เย็บไว้จะหายดีเมื่อไร?

โดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ แผลที่เย็บไว้จึงจะสมานกัน แต่ก็อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน หรือ 2 – 12 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับลักษณะของการเย็บ สิ่งสำคัญคือ ควรดูแลความสะอาดของแผลเป็นอย่างดี ไม่ให้ติดเชื้อ เพื่อให้แผลสมานเข้าด้วยกันโดยไม่มีปัญหา

ปัญหาของแผลผ่าตัด ที่พบบ่อย

  1. แผลเป็นเกิดนูนแดงนั้น กลายเป็น แผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า คีลอยด์
  2. หลังจาก 1 ปีหรือ 1 ปีครี่งไปแล้ว แผลนั้นยังแดงอยู่ แดงอยู่นาน และรอยแดงไม่ลดลง
  3. มีอาการเจ็บหรือคัน
  4. เป็นแผลที่เกิดตรงบริเวณข้อต่อ ทำให้ขยับข้อต่อได้ไม่เต็มที่ หรือนิ้วงอ หรือมีการผิดรูปเกิดขึ้น
  5. แผลที่ไม่มีปัญหา เพียงแต่ดูไม่ดี แต่เป็นสิ่งต้องการและความคาดหวังในการรักษาของคนไข้

บทความที่เกี่ยวข้อง : วิธีดูแลแผลผ่าคลอดอย่างถูกวิธี ให้แผลเป็นเนียนเร็ว

วิธีการดูแลแผลผ่าคลอด 

  • ดูแลแผลให้แห้งและสะอาด

หลังจากการผ่าคลอด คุณหมอจะปิดแผลด้วยสก๊อตเทปกันน้ำ เมื่อครบ 7 วัน คุณหมอถึงจะเปิดแผลผ่าตัด ช่วงนี้ต้องดูแลทำความสะอาดแผลให้ดี เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกและเชื้อโรคเข้าแผล

  • ระวังการกระทบกระเทือน 
การดูแลแผลผ่าคลอด

การดูแลแผลผ่าคลอด

ช่วงสามเดือนแรกต้องไม่ยกของหนัก ขยับตัวได้เท่าที่ไม่รู้สึกเจ็บ ถ้าเจ็บ หรือตึง แสดงว่าแผลยืดเหยียดมากเกินไป และจะทำให้ร่างกายปรับสภาพตัวเอง เนื่องจากกลัวว่าแผลจะหลุด จึงสร้างเส้นใยคอลลาเจนหนาๆ เพื่อทำให้แผลแน่นขึ้น เมื่อเส้นใยคอลลาเจนหนาเกินไปจึงกลายเป็นแผลนูนขึ้นมาเป็นแผลคีลอยด์ในที่สุด ระวังไม่ให้เกิดการเสียดสีที่แผล ไม่ยกของหนัก นอกจากการยกของหนักมีผลต่อมดลูก ทำให้มดลูกเลื่อนต่ำได้ ไม่ขับรถเอง

  • ดูแลแผลเป็น 

การเกิดรอยแผลเป็นที่เป็นรอยดำ หรือ นูนแข็ง การใช้ครีมดูแลแผลเป็นที่มีวิตามินอี หรือ ใช้แผ่นซิลิโคนสำหรับดูแลแผลจะช่วยให้แผลเป็นเรียบเนียนนุ่ม ทำให้หน้าท้องเรียบเนียน

  • ฝืนการเคลื่อนไหว 

หลังการผ่าคลอด 1 วัน คุณแม่ต้องลุกขยับเดิน แม้เจ็บมากก็ต้องฝืน เพราะหากคุณแม่ไม่ยอมเคลื่อนไหว จะทำให้เกิดพังผืด ทำให้เสี่ยงท่อนำไข่อุดตัน การผ่าตัดครั้งต่อไปทำได้ยาก หรือท้องผูกเรื้อรังได้

  • ปรับหัวนอนให้สูง 

การปรับหัวนอนสูง จะช่วยให้แผลผ่าที่หน้าท้องไม่ตึงจนเกินไป ช่วยลดอาการเจ็บแผล

  • เดินบ่อย ๆ 

เนื่องจากการผ่าคลอด เป็นวิธีที่หายช้ากว่าแบบธรรมชาติ เสี่ยงภาวะเลือดอุดตันที่ขา จึงควรเดินบ่อย ๆ

  • นวดบริเวณแผลเป็น 

เป็นการกระตุ้นให้แผลนุ่มขึ้น แต่ควรจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์และโลชั่นมาช่วยนวดและทาด้วยเพื่อให้แผลเป็นชุ่มชื้น จะได้นุ่มได้ไวขึ้น แบนราบได้เร็วขึ้น และทำให้อาการปวดจากแผลเป็นเหล่านี้ลดลงไปได้ด้วย อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการนวดก็คือ นวดในแผลเปิด แผลอาจปริขึ้นมา หรือบวมขึ้นมา หรือแพ้โลชั่นก็ต้องหยุด

บทความที่เกี่ยวข้อง : แผลเป็นหลังผ่าคลอด สวยไม่สวยดูแลยังไง?

ถ้าหากคุณเป็นคุณแม่สายโซเชียล ชอบเล่น Facebook หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต 

มาร่วม join กรุ๊ป เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ต่างๆ ใน คลับแม่ผ่าคลอด (C Section Club) กันได้นะคะ

100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 5 การดูแลแผลผ่าคลอด ข้อควรระวัง ข้อห้าม

เคลียร์ทุกข้อสงสัย เจาะลึกทุกประเด็นของคุณแม่ผ่าคลอด

ค้นหาคำตอบกันได้ที่ “คลับแม่ผ่าคลอด” คลิก!! http://bit.ly/32T4NsU

ข้อควรระวังหลังจากการผ่าคลอด 

  • ซับแผลให้แห้ง เมื่อแผลโดนน้ำต้องซับให้แห้ง หมั่นทายาตามที่หมอสั่ง จนกว่าแผลจะปิดสนิท
  • ระวังการขยับ ลุก นั่ง และ เดิน และงดการขึ้นลงบันได การยกของหนัก
  • ไม่ขับรถเอง
  • มีไข้ หากผ่าคลอดแล้วคุณแม่ครั่นเนื้อครั่นตัว ควรไปพบแพทย์ทันที
  • เจ็บแผลผ่าตัดมากขึ้น แผลมีรอยแดง บวม แถมมีเลือดซึมจากแผลมากขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
  • น้ำคาวปลาเหม็น หรือมีปริมาณเพิ่มขึ้น สีแดงเข้มกว่าเดิมหลังจากที่จางไปแล้ว หากพบว่าเป็นเช่นนี้ละก็ รีบไปพบแพทย์กันเถอะค่ะ เพราะอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณแม่กำลังตกเลือดอยู่ก็เป็นได้
  • ขาบวม ขาของคุณแม่บวมมากขึ้น อาจจะเป็นการบ่งบอกว่าแผลผ่าคลอดของคุณแม่ อาจจะได้รับการติดเชื้อ จนส่งผลให้เท้าบวม และอักเสบได้
  • ปัสสาวะติดขัด อาการที่มักพบได้คือ ปัสสาวะแสบขัด ไข้หนาวสั่น ปวดบริเวณบั้นเอว หากมีอาการดังกล่าวคุณแม่ควรรีบบอกหมอแต่เนิ่น ๆ นะคะ เพราะหากปล่อยไว้นาน ๆ อาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาได้

ข้อห้ามหลังจากผ่าคลอด

การดูแลแผลผ่าคลอด

การดูแลแผลผ่าคลอด

  • ห้ามใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ 

ยาบางตัวมีผลทำให้น้ำนมหยุดไหล เช่น สเตียรอยด์ ยาลดน้ำหนัก ยาลดความอ้วน ยารักษาสิว ยาปฏิชีวะอื่นๆ รวมถึงยากลุ่มสารเสพติด เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวด ชนิดต่างๆ ก่อนใช้ยาคุณแม่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน

  • ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ

เพราะจะทำให้คุณแม่ตกเลือดหลังคลอดได้

  • ห้ามยกของหนัก 

เพราะการยกของหนักจะส่งผลต่อกล้ามเนื้อมดลูก และแผลผ่าคลอดได้

  • ห้ามกินของใช้ไม่มีประโยชน์เป็นประจำ

เช่น ของหมักดอง ฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารที่มีรสหวานจัดๆ เพราะอาหารเหล่านี้จะมีน้ำตาลในปริมาณสูง ไม่มีสารอาหารที่ให้ประโยชน์กับทารกที่กินนมแม่ ซึ่งอาจทำให้ลูกขาดสารอาหารและเป็นโรคอ้วนในเด็กได้

ที่มา : (1),(2)

 

 

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

บทความโดย

nantichaphothatanapongbow

  • หน้าแรก
  • /
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • /
  • 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 5 การดูแลแผลผ่าคลอด ข้อควรระวัง ข้อห้าม
แชร์ :
•••
เมื่อลูกป่วย ในวันที่พ่อแม่ ขาดรายได้  อย่าปล่อยให้ ' เรื่องค่าใช้จ่าย มาเป็นข้อจํากัด
  • การดูแลหลังผ่าท้อง ต่างจากการคลอดธรรมชาติอย่างไร

    การดูแลหลังผ่าท้อง ต่างจากการคลอดธรรมชาติอย่างไร

  • 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 11 การห่อตัว

    100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 11 การห่อตัว

  • การเก็บสเต็มเซลส์จากทารกแรกเกิดมีประโยชน์จริงไหม?

    การเก็บสเต็มเซลส์จากทารกแรกเกิดมีประโยชน์จริงไหม?

  • ลูกในท้องกินอย่างไร จะรู้ได้ไงว่าทารกในครรภ์กินอิ่ม ไม่ขาดสารอาหาร?

    ลูกในท้องกินอย่างไร จะรู้ได้ไงว่าทารกในครรภ์กินอิ่ม ไม่ขาดสารอาหาร?

app info
get app banner
เมื่อลูกป่วย ในวันที่พ่อแม่ ขาดรายได้  อย่าปล่อยให้ ' เรื่องค่าใช้จ่าย มาเป็นข้อจํากัด
  • การดูแลหลังผ่าท้อง ต่างจากการคลอดธรรมชาติอย่างไร

    การดูแลหลังผ่าท้อง ต่างจากการคลอดธรรมชาติอย่างไร

  • 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 11 การห่อตัว

    100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 11 การห่อตัว

  • การเก็บสเต็มเซลส์จากทารกแรกเกิดมีประโยชน์จริงไหม?

    การเก็บสเต็มเซลส์จากทารกแรกเกิดมีประโยชน์จริงไหม?

  • ลูกในท้องกินอย่างไร จะรู้ได้ไงว่าทารกในครรภ์กินอิ่ม ไม่ขาดสารอาหาร?

    ลูกในท้องกินอย่างไร จะรู้ได้ไงว่าทารกในครรภ์กินอิ่ม ไม่ขาดสารอาหาร?

  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • ก่อนตั้งครรภ์
    • การตั้งชื่อลูก
    • โภชนาการระหว่างตั้งครรภ์​
    • การคลอดบุตร
    • หลังคลอดบุตร
  • ช่วงวัยของเด็ก
    • ทารก
    • วัยเตาะแตะ
    • เด็กเล็ก
    • เด็กวัยเรียน
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • การเงิน การวางแผนครอบครัว
    • โรงเรียนพ่อแม่
    • เซ็กส์และความสัมพันธ์
  • การตั้งครรภ์
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • นมแม่และนมผง
  • ไลฟ์สไตล์​
    • ข่าว
    • ดวงและราศี
    • กิจกรรมของครอบครัว
    • ดารา-แฟชั่น
  • เพิ่มเติม
    • TAP สังคมออนไลน์
    • ติดต่อโฆษณา
    • ติดต่อเรา
    • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore
  • Thailand
  • Indonesia
  • Philippines
  • Malaysia
  • Sri Lanka
  • India
  • Vietnam
  • Australia
  • Japan
  • Nigeria
  • Kenya
พันธมิตรของเรา
Mama's Choice Partner Brand Logo
© Copyright theAsianparent 2021. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้
บทความ
  • สังคมออนไลน์
  • COVID-19
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • ช่วงวัยของเด็ก
  • สุขภาพ
  • ชีวิตครอบครัว
  • การศึกษา
  • ไลฟ์สไตล์​
  • วิดีโอ
  • ชอปปิง
  • TAP IDOL
เครื่องมือ
  • ?คอมมูนิตี้สำหรับคุณแม่
  • ติดตามการตั้้งครรภ์
  • ติดตามพััฒนาการของลูกน้อย
  • สูตรอาหาร
  • อาหาร
  • โพล
  • VIP Parents
  • การประกวด
  • โฟโต้บูท

ดาวน์โหลดแอปของเรา

  • ติดต่อโฆษณา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ทีม
  • กฎการใช้งานคอมมูนิตี้
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดการใช้
  • มาเข้าร่วมกับเรา
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ?ฟีด
  • โพล
เปิดในแอป