การผ่าตัดคลอด เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์สำคัญในชีวิตของผู้หญิง แม้จะผ่านพ้นช่วงเวลาตื่นเต้นและดีใจกับการได้พบลูกน้อยแล้ว แต่ยังมีอีกหนึ่ง “ภัยเงียบ” ที่ผู้หญิงหลังคลอดควรตระหนัก นั่นคือ “พังผืด” โดยบทความนี้ จะพาคุณไปรู้จักกับ ” พังผืดในช่องท้อง หลังผ่าคลอด ” ให้ละเอียดมากขึ้น เริ่มต้นจากสาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และแนวทางป้องกัน เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนได้ดูแลสุขภาพหลังคลอดอย่างมั่นใจ ปลอดภัย และห่างไกลจากปัญหาพังผืด
พังผืดในช่องท้อง หลังผ่าคลอด
อุ้งเชิงกราน เปรียบเสมือนบ้านของอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง ตั้งอยู่บริเวณท้องน้อย เมื่อร่างกายเผชิญการบาดเจ็บ อักเสบ หรือระคายเคือง กลไกการซ่อมแซมตามธรรมชาติจะสร้าง “พังผืด” ขึ้นมา เปรียบเสมือนแผลเป็นที่เหนียวแน่น ทำหน้าที่ประสานอวัยวะให้คงที่ พังผืดในอุ้งเชิงกราน พบได้บริเวณรอบ ๆ อวัยวะต่าง ๆ ภายในอุ้งเชิงกราน เช่น ท่อนำไข่ ปีกมดลูก ด้านหลังมดลูก หรือแม้กระทั่งลำไส้ตรง มักเกิดจาก
- การอักเสบหรือติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ โรคหนองในท่อรำไล่
- การผ่าตัด เช่น ผ่าตัดคลอดบุตร ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก ผ่าตัดไส้ติ่ง
- โรคบางชนิด เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โรคท้องน้อยอักเสบเรื้อรัง
ดังนั้นพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด หรือ พังผืดในอุ้งเชิงกราน จึงเกิดจากรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดคลอดบุตร ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อคอลาเจนขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมรอยแผล แต่เนื้อเยื่อคอลาเจนเหล่านี้บางครั้งอาจเติบโตมากเกินไปจนกลายเป็นพังผืด พังผืดเหล่านี้สามารถยึดติดกับอวัยวะในช่องท้อง เช่น มดลูก รังไข่ ลำไส้ใหญ่ ท่อปัสสาวะ เป็นต้น
บทความที่น่าสนใจ: ฤกษ์มงคล ฤกษ์ผ่าคลอด ครึ่งปีหลัง 2567 : คู่มือสำหรับคุณแม่
สาเหตุของพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด
การผ่าตัดคลอดบุตรเป็นสาเหตุหลักของการเกิดพังผืดในช่องท้อง โดยแผลที่เกิดจากการผ่าตัดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หรือพังผืดขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย พังผืดเหล่านี้สามารถยึดติดกับอวัยวะในช่องท้อง เช่น มดลูก ไข่แดง ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดอาการปวด ท้องอืด ปัญหาการย่อยอาหาร ปัญหาการขับถ่าย และภาวะมีบุตรยาก โดยปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด ได้แก่
- การติดเชื้อหลังผ่าตัด
- การผ่าตัดซ้ำในช่องท้อง
- พันธุกรรม
- ภาวะอักเสบเรื้อรังในอุ้งเชิงกราน
- โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
อาการของพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด
พังผืดในช่องท้อง หรือที่เรียกว่า พังผืดอุ้งเชิงกราน เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เกิดขึ้นระหว่างอวัยวะภายในช่องท้อง พังผืดเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัด เช่น การผ่าคลอดเป็นต้น และมักปรากฏหลังจากการผ่าตัดประมาณ 6-8 สัปดาห์ ซึ่งอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ปวดท้อง: อาการปวดมักเป็นแบบเสียว ๆ ตื้อ ๆ หรือจี๊ด ๆ บริเวณท้องน้อยหรือข้างท้อง อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวทำกิจกรรม หรือมีเพศสัมพันธ์
- ปวดท้องประจำเดือน: อาการปวดท้องประจำเดือนอาจรุนแรงกว่าปกติ
- ท้องอืด: รู้สึกแน่นท้อง อึดอัด
- ท้องผูก: ถ่ายอุจจาระลำบาก
- ปัสสาวะบ่อย: รู้สึกอยากปัสสาวะบ่อย
- มีเพศสัมพันธ์เจ็บปวด: รู้สึกเจ็บหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์
- ภาวะมีบุตรยาก: พังผืดอาจรบกวนการทำงานของท่อนำไข่ ส่งผลต่อการตกไข่และการปฏิสนธิ
- อาการอื่น ๆ : เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณเตือนอื่น ๆ ที่บ่งบอกถึงพังผืดในช่องท้อง เช่น
- ปวดท้องเรื้อรัง
- ปวดท้องรุนแรงเฉียบพลัน
- ท้องบวม
- มีไข้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา แพทย์จะวินิจฉัยพังผืดในช่องท้องโดยอาศัยประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวด์ CT Scan หรือ MRI
บทความที่น่าสนใจ: ปวดหลัง หลังผ่าคลอด ปกติหรือไม่ มีวิธีแก้ไขอย่างไร
พังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด หายเองได้ไหม
พังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด หรือที่เรียกว่า พังผืดอุ้งเชิงกรานนั้น โดยทั่วไปแล้ว ไม่สามารถหายเองได้ พังผืดเหล่านี้เกิดจากรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย พังผืดเหล่านี้สามารถยึดอวัยวะในช่องท้องเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง ปัญหาการย่อยอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ และปัญหาอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีการรักษาพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอดอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
การรักษาพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด
การรักษาพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 วิธีหลักๆ ดังนี้
1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- ยาแก้ปวด: แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง
- ยาฮอร์โมน: ยาฮอร์โมนเพศหญิงชนิดรับประทาน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือยาฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจช่วยลดอาการปวดท้องและอาการอื่นๆ ของพังผืดได้ในบางราย
- การกายภาพบำบัด: การทำกายภาพบำบัด เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การนวดท้อง และการฝังเข็ม อาจช่วยคลายพังผืด ลดอาการปวด และเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- การเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร: การทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ ทานอาหารช้าๆ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ดื่มน้ำให้เพียงพอ และทานใยอาหาร อาจช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และอาการอื่นๆ ของพังผืด
2. การรักษาแบบผ่าตัด
การผ่าตัดเพื่อรักษาพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด มักเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล หรือพังผืดรุนแรงจนส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต โดยวิธีการผ่าตัดมีดังนี้
- การผ่าตัดแบบส่องกล้อง: เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด แพทย์จะสอดกล้องขนาดเล็กผ่านหน้าท้อง เพื่อเข้าไปผ่าตัดพังผืด วิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้ป่วยเสียเลือดน้อย แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็ว
- การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง: เป็นวิธีที่ใช้ในกรณีพังผืดมีขนาดใหญ่ หรือมีการผ่าตัดอื่นๆ ร่วมด้วย แพทย์จะผ่าหน้าท้องเพื่อเข้าไปผ่าตัดพังผืด วิธีนี้ผู้ป่วยเสียเลือดมากกว่า แผลใหญ่ ใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าการผ่าตัดแบบส่องกล้อง
บทความที่น่าสนใจ: วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด แม่ผ่าคลอดควรปฎิบัติตัวอย่างไร ทำอย่างไรให้ฟื้นตัวเร็ว
ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาพังผืด
- ระยะเวลาที่เกิดพังผืด: พังผืดที่เกิดใหม่มักรักษาได้ง่ายกว่าพังผืดที่เกิดมานาน
- ความรุนแรงของพังผืด: พังผืดที่มีขนาดเล็ก มักรักษาได้ง่ายกว่าพังผืดที่มีขนาดใหญ่
- สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง มักฟื้นตัวจากการผ่าตัดได้เร็วกว่าผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว
วิธีป้องกันพังผืดในช่องท้องหลังผ่าคลอด
การผ่าคลอดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดพังผืดในช่องท้อง พังผืดเหล่านี้เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เกิดขึ้นระหว่างอวัยวะ ส่งผลให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง มีบุตรยาก และปัญหาอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่คุณสามารถป้องกันการเกิดพังผืดหลังผ่าคลอดได้ ดังนี้
ก่อนการผ่าตัด
- ปรึกษาแพทย์: พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดพังผืดและวิธีป้องกัน
- สอบถามเกี่ยวกับเทคนิคการผ่าตัด: การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (laparoscopic surgery) มักทำให้เกิดพังผืดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคลำไส้แปรปรวน มีความเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดเพิ่มขึ้น
หลังการผ่าตัด
- ลุกเดินโดยเร็ว: พยายามลุกเดินโดยเร็วที่สุดหลังการผ่าตัด การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดพังผืด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: แพทย์ของคุณจะแนะนำวิธีดูแลแผลผ่าตัดอย่างเหมาะสม การดูแลแผลที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดพังผืด
- ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง: ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดพังผืด
- นวดบริเวณแผลผ่าตัด: การนวดเบา ๆ บริเวณแผลผ่าตัดอาจช่วยลดการเกิดพังผืด
- ประคบร้อนหรือเย็น: การประคบร้อนหรือเย็นบริเวณแผลผ่าตัดอาจช่วยลดอาการปวดและอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดพังผืด
- ทานอาหารที่มีประโยชน์: ทานอาหารที่มีวิตามินซีและสังกะสีสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างการสมานแผล
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของคุณชุ่มชื้นและส่งเสริมการสมานแผล
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่อาจทำให้แผลหายช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดพังผืด
- จัดการความเครียด: ความเครียดอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดพังผืด หาวิธีจัดการความเครียด เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการโยคะ
ทั้งนี้หากคุณกังวลเกี่ยวกับพังผืดหลังผ่าคลอด โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณ พวกเขาสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงและวิธีป้องกันพังผืดได้
ที่มา: samitivejhospitals.com, bangkokhospital.com, vejthani.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่
ผ่าคลอด กินน้ำเย็นได้ไหม ข้อห้ามหลังผ่าคลอดที่ควรรู้!
วิธีทำให้แผลแห้ง ตกสะเก็ดเร็ว แม่ผ่าคลอดควรรู้ ลดรอยแผลเป็น
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!