ในช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ง่ายกว่าปกติค่ะ เนื่องจากร่างกายของแม่ท้องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคที่มากับหน้าร้อนมากขึ้น มาดูกันว่า 7 โรคหน้าร้อนที่แม่ท้องต้องระวัง ! มีอะไรบ้าง แล้วจะดูแลครรภ์ยังไง? ให้แข็งแรงและปลอดภัยในฤดูร้อนนี้
หน้าร้อน “คนท้อง” ยิ่งร้อน!
โดยปกติแล้วร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะร้อนกว่าคนทั่วไปนะคะ เนื่องจากภาวะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ อาทิ ต่อมไทรอยด์ทำงานเพิ่มขึ้น ร่างกายต้องเผาผลาญพลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ ภายในร่างกายของคนท้องจะมีปริมาณเลือดที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว ร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จึงเกิดความร้อนมากกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งอาการโดยทั่วไปที่คุณแม่จะสังเกตตัวเองได้คือ ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก หงุดหงิด อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบายตัว ยิ่งในช่วงฤดูร้อนอาการจะยิ่งมากขึ้น และอาจเป็นปัจจัยให้เกิดอันตรายต่อคุณแม่รวมถึงอาจมีผลกระทบถึงลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วยค่ะ

7 โรคหน้าร้อนที่แม่ท้องต้องระวัง !
เนื่องจากร่างกายของคนท้องนั้นร้อนกว่าปกติอยู่แล้ว ในฤดูร้อนจึงยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่แม่ท้องจะเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะ 7 โรคหน้าร้อนที่แม่ท้องต้องระวัง ! ดังต่อไปนี้ค่ะ
-
โรคลมแดด (Heat Stroke)
หรือที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่า “ฮีทสโตรก” เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ได้แก่ ตัวร้อนจัด ไม่มีเหงื่อออก สับสน มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ความดันต่ำ และอาจหมดสติได้ ซึ่งสำหรับคนท้องจะยิ่งมีความเสี่ยงมากเนื่องจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการไหลเวียนเลือด ทำให้ควบคุมอุณหภูมิได้ยากขึ้น ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอาการฮีทสโตรกอย่างทันท่วงที อาการจะหนักขึ้นถึงขั้นเพ้อ ชัก ไตล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ช็อก และเกิดลิ่มเลือดอุดตันจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
วิธีป้องกันและดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นโรคลมแดด
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด หรือกลางแดดจ้า
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยก่อนอากจากบ้านควรดื่มน้ำประมาณ 1-2 แก้ว และควรพกน้ำติดตัวเพื่อจิบบ่อยๆ ระหว่างวัน
- สวมเสื้อผ้าที่บางเบา สบาย ระบายอากาศได้ดี
- หากมีอาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณของโรคลมแดด ควรรีบเข้าที่ร่ม นอนราบ และยกเท้าสูง คลายเสื้อผ้าให้หลวม แล้วใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามศีรษะ ซอกคอ รักแร้ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงควรรีบพบแพทย์

-
ภาวะร่างกายขาดน้ำ (Dehydration)
เป็นหนึ่งใน โรคหน้าร้อนที่แม่ท้องต้องระวัง ซึ่งมักมาพร้อมโรคลมแดด เกิดจากการสูญเสียน้ำในร่างกายมากเกินไป เนื่องจากเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ร่างกายจะขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ทำให้เลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น อาการที่สังเกตได้ เช่น
- กระหายน้ำมาก ปากแห้ง
- เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เป็นลม
- การระบายลมหายใจเกิน หรือหายใจติดขัด
- กล้ามเนื้อหดตัวหรือเป็นตะคริว
- ของเหลวที่ออกจากร่างกายลดลง เช่น เหงื่อ และปัสสาวะ
- มีปัสสาวะสีเข้ม
- อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นโดยไม่มีสัญญาณของการเจ็บป่วยอื่นๆ
สำหรับคนท้อง ร่างกายต้องการน้ำมากขึ้นเพื่อสร้างน้ำคร่ำและรองรับการไหลเวียนเลือดที่เพิ่มขึ้น ภาวะร่างกายขาดน้ำนี้อาจกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอ็อกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ ดังนั้น นอกจากจะหลีกเลี่ยงการออกแดดจ้าหรืออยู่ในที่ที่อากาศร้อน คุณแม่ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-12 แก้วต่อวัน และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ทั้งชา กาแฟ น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ รวมทั้งควรออกกำลังกายแบบพอเหมาะและพักผ่อนให้เพียงพอด้วยค่ะ
ทั้งนี้ หากมีอาการกล้ามเนื้อช่องท้องหดรัดตัว หรือเป็นตะคริวมากกว่า 5-6 ครั้งใน 1 ชั่วโมง มีเลือดออกทางช่องคลอด มีอาการบวมตามใบหน้าและมือ หรืออาการอื่นๆ คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีนะคะ
-
ไข้หวัด
ในช่วงที่อากาศร้อนมากๆ คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงในการป่วยเป็นไข้หวัดได้ โดยอาจมีอาการไอ จาม มีน้ำมูก ซึ่งแม้จะไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่หากคุณแม่ไอแรงๆ ความดันในท้องจะเพิ่มขึ้น จนไปกดเบียดมดลูกให้บีบตัว รู้สึกเหมือนท้องตึงขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งหากมีอาการไข้สูงเกินกว่า 38 องศา ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากระดับไข้ที่สูงเกินกว่า 40 องศาอาจทำให้เกิดความพิการในทารกได้ค่ะ โดยวิธีป้องกันและดูแลตัวเองไม่ให้หน้าร้อนนี้มีอาการไข้หวัด คุณแม่ท้องควรปฏิบัติดังนี้
- หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนมากๆ หรือที่แออัด การระบายอากาศไม่ดี รวมถึงสถานที่มีอากาศร้อน หรือมีคนเป็นหวัดซึ่งเชื้อจะกระจายอยู่ในอากาศ หากเลี่ยงไม่ได้ควรใส่หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก
- พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ เปิดเครื่องปรับอากาศพอประมาณ
- กินผักและผลไม้เพื่อเพิ่มวิตามินซี
- หากมีอาการไอ สามารถกินยาแก้ไอที่มีส่วนผสมเป็นยาละลายเสมหะได้ แต่ก่อนที่จะกินยาอะไรก็ตาม แม่ท้องควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้งนะคะ
- ถ้ามีไข้ ควรเช็ดตัวและดื่มน้ำสะอาดมากๆ สามารถกินยาแก้ไข้พาราเซตามอลได้ แต่ไม่ควรกินยาในกลุ่มยาแก้แพ้และยาแก้อักเสบประเภทแอสไพริน และไม่ควรซื้อยากินเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนค่ะ
-
อาหารเป็นพิษ หรือ อหิวาตกโรค (Cholera)
เป็นอีกหนึ่ง โรคหน้าร้อนที่แม่ท้องต้องระวัง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียภายในลำไส้ ที่อาจปนเปื้อนมากับอาหารและน้ำดื่ม ยิ่งในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายมากขึ้น โดยคุณแม่ที่มีภาวะอาหารป็นพิษจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำมาก ปวดท้อง เซื่องซึม ตาโหล ริมฝีปากแห้ง กระหายน้ำมาก ผิวเหี่ยวและแห้ง ปัสสาวะน้อยมาก ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำ ทำให้เกิดอาการช็อกได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรทำในช่วงหน้าร้อนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงอาการอาหารเป็นพิษ หรืออหิวาตกโรค คือ
- กินอาหารที่ปรุงสุก และมั่นใจว่าสะอาด หลีกเลี่ยงอาหารดิบและอาหารที่เก็บไว้นาน
- ล้างมือบ่อยๆ ทั้งก่อนและหลังกินอาหาร รวมถึงในการขับถ่ายด้วย
- กินผักผลไม้ที่ปอกเปลือกได้ และควรปอกเปลือกผลไม้ด้วยตนเอง หลีกเลี่ยงการกินทั้งเปลือก
- ระมัดระวังในการกิน ดื่ม ผลิตภัณฑ์จากนม
- เมื่อมีอาการถ่ายเหลวควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป
-
โรคผิวหนัง
ในช่วงตั้งครรภ์นั้นคุณแม่จะมีความเสี่ยงการเกิดโรคผิวหนังอยู่แล้วเป็นปกติค่ะ โดยเฉพาะโรคผิวหนัง 3 ประเภทหลักๆ คือ โรคผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน โรคผิวหนังที่เป็นก่อนตั้งครรภ์ และโรคผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์โดยเฉพาะ พบได้บ่อยทั้งผื่นลมพิษขณะตั้งครรภ์ ผื่นตั้งครรภ์ ผื่นภูมิแพ้ขณะตั้งครรภ์
ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจว่าในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนังของคุณแม่ย่อมเพิ่มมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ผิวหนังไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น อาจเกิดผดร้อน กลากเกลื้อน ผื่นแดง คัน มีการระคายเคืองจากเหงื่อและความร้อน ดังนั้น คุณแม่จึงควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี อาบน้ำบ่อยๆ หรือใช้แป้งเด็กเพื่อลดความอับชื้นให้ร่างกายได้ค่ะ

-
โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของมดลูกที่ขยายขนาดมีการกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณแม่ท้องต้องฉี่บ่อย หากอั้นไว้หรือดื่มน้ำน้อยจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ หากคุณแม่มีอาการปัสสาวะ แสบขัด ปวดท้องน้อย แต่ไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้ออาจลุกลามเกิดเป็นกรวยไตอักเสบ มีไข้สูง ปวดเอว นําไปสู่การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ ในช่วงหน้าร้อนนี้คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่อั้นฉี่ และรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศให้ดีด้วยค่ะ
-
โรคเครียดจากอากาศร้อนจัด
อากาศที่ร้อนจัดของประเทศไทยใครก็รู้ว่าบางวันเสี่ยงมีอุณหภูมิสูงมากถึง 40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้คนท้องที่มักมีอารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่ายอยู่แล้ว ยิ่งหงุดหงิดและเครียดได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกน้อยในครรภ์ ทำให้ตัวเล็ก และดิ้นมากขึ้น ทั้งนี้ มีการวิจัยของ National Institute of Health พบว่า อากาศร้อนจัดทำให้เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น 6% เมื่ออายุครรภ์ 34 สัปดาห์ และความเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 21% ในสัปดาห์ที่ 36-38 ซึ่งเชื่อว่าภาวะเครียดจากอากาศที่ร้อนจัดอาจขัดขวางการพัฒนาของรก หรือเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของเลือดไปยังมดลูก นำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดได้
ในช่วงหน้าร้อนนี้เพื่อหลีกหนี โรคหน้าร้อนที่แม่ท้องต้องระวัง อย่างโรคเครียด คุณแม่จึงควรอยู่ในสถานที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก สวมใส่เสื้อผ้าให้พอเหมาะขนาดท้อง และเลือกผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย รวมถึงอย่าลืมทำตัวเองให้สดชื่น ด้วยการอาบน้ำคลายร้อน หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น ดูหนัง หรือฟังเพลงที่ชอบ

หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอก ควรมีร่มหรือหมวก และทาครีมกันแดด พักผ่อนให้เพียงพอ และงดกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากเกินไป สังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย และรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการน่าสงสัย
เพื่อป้องกันอันตรายจาก โรคหน้าร้อนที่แม่ท้องต้องระวัง ทั้ง 7 โรคเหล่านี้ คุณแม่ควรใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง หลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัด พกร่มหรือหมวก และทาครีมกันแดด ดื่มน้ำให้เพียงพอ สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายตัวเอง เพราะเมื่อมีอาการน่าสงสัยจะได้ปรึกษาแพทย์อย่างทันท่วงที เพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ
ที่มา : www.patrangsit.com , hellokhunmor.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
คนท้องไอกินอะไรถึงหาย คนท้องไอบ่อย อันตรายมั้ย แก้ไขยังไงดี?
โฟลิก ห้ามกินพร้อมอะไร ? วิตามินบำรุงครรภ์ที่แม่ท้องต้อง “กินเป็น”
ปวดฟันคุดตอนท้อง ผ่าได้ไหม? คนท้องทำฟันช่วงไหนปลอดภัย
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!