X
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้าเข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ตั้งครรภ์
    • คำนวณวันคลอด
    • ฉันกำลังตั้งครรภ์
    • ไตรมาสที่ 1
    • ไตรมาสที่ 2
    • ไตรมาสที่ 3
    • Project Sidekicks
    • ตั้งชื่อลูก
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • อีเว้นท์
    • TAP Awards Winners
    • TAP idol
    • TAP x Safari Largest Treasure Hunt
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

วิตกกังวลต่อการแยกจาก คืออะไร ต่างจากโรคแพนิคยังไง ควรรับมืออย่างไรดี?

บทความ 8 นาที
วิตกกังวลต่อการแยกจาก คืออะไร ต่างจากโรคแพนิคยังไง ควรรับมืออย่างไรดี?

วิตกกังวลต่อการแยกจาก การตอบสนองต่อความเครียดตามปกติตามวัยของเด็ก ซึ่งจะเริ่มเกิดเมื่อเด็กอายุ 6 – 8 เดือน ซึ่งในบางครั้งสามารถพัฒนาไปเป็นโรคแพนิคในเด็กก็ได้ อีกทั้งโรคแพนิคนั้นก็เป็นอีกหนึ่งโรค ที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะคาดไม่ถึงเป็นได้ ว่าจะเกิดขึ้นกับลูกน้อยของเรา ทั้งที่เพียงแค่รู้สึกว่าลูกอาจจะขี้กลัวเท่านั้น แต่อย่าลืมนะคะว่าโรคแพนิคนั้นน่ากลัวกว่าที่คุณคิด เรามาดูอาการกันดีกว่าค่ะว่าแตกต่างจากการที่ลูกขี้กลัวอย่างไร

จริงอยู่ที่ความวิตกกังวล เป็นเรื่องปกติของการตอบสนองทางความเครียด และอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งโรคแพนิค หรือ โรควิตกกังวล เป็นภาวะทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลในระดับสูงเป็นประจำซึ่งยากต่อการควบคุม โรควิตกกังวลอาจรบกวนความสามารถของเด็กในการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น ไปโรงเรียน เข้าสังคม หรือรักษาความสัมพันธ์ ในบทความนี้ เราจะพิจารณาประเภทของความวิตกกังวลในเด็ก นอกจากนี้เรายังสำรวจสัญญาณ อาการ และการรักษาที่มีอยู่

 

โรควิตกกังวลต่อการแยกจาก

อาการแพนิค หรือ ความวิตกกังวลจากการแยกกันอยู่เป็นเรื่องปกติในเด็ก ไม่ได้ชี้ไปที่ความผิดปกติ ความวิตกกังวลนี้เป็นความรู้สึกกังวลเมื่อพ่อแม่หรือผู้ปกครองออกจากห้องหรือไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป โดยปกติเป็นไปได้ที่จะหันเหความสนใจของเด็กจากความรู้สึกนี้ ถ้าเด็กโตอารมณ์เสียเมื่อสมาชิกในครอบครัวจากไป และหากพวกเขาใช้เวลานานในการสงบสติอารมณ์ พวกเขาอาจกำลังประสบกับโรควิตกกังวลจากการถูกแยกทาง ความผิดปกตินี้พบได้บ่อยในเด็กอายุ 7-9 ปี และส่งผลกระทบต่อเด็กมากถึง 4% ในการใช้ชีวิต เด็กที่เป็นโรควิตกกังวลจากการพลัดพราก อาจปฏิเสธที่จะไปโรงเรียน แคมป์ หรือบ้านเพื่อน พวกเขาอาจขอให้ใครสักคนอยู่กับพวกเขาขณะนอนหลับ นอกจากนี้อาจมีอาการคิดถึงบ้านอย่างรุนแรงเมื่อไม่ได้อยู่กับครอบครัว

 

วิตกกังวลต่อการแยกจาก คืออะไร ?

ความวิตกกังวลต่อการแยกจาก หรือ separation anxiety ถือเป็นพัฒนาการปกติตามวัยของเด็ก ซึ่งจะเริ่มเกิดเมื่อเด็กอายุ 6 – 8 เดือน เพราะเด็กในวัยนี้เริ่มจะจดจำผู้คนและสถานที่ที่คุ้นเคยได้แล้ว เด็กเล็ก ๆ จะแสดงพฤติกรรมวิตกกังวลต่อการแยกจาก เช่นการร้องตามเมื่อคุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน หรือการร้องไห้เมื่อไม่เห็นพ่อ-แม่ หรือผู้เลี้ยงดู

พฤติกรรมดังกล่าวจะลดลงเมื่อเด็กโตขึ้น และควรหายไปก่อนอายุ 5 ขวบ ความวิตกกังวลต่อการแยกจากในเด็กมีสาเหตุหลัก ๆ คือ การขาดความเข้าใจเรื่องการคงอยู่ของวัตถุ ( object permanent) และปัญหาการพัฒนาความรักความผูกพันกับผู้เลี้ยงดูในขวบปีแรก ทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคงในความรัก

อย่างไรก็ตามความวิตกกังวลต่อการแยกจากแม้จะไม่ใช่ปัญหาที่ติดตัวเด็กไปจนโต แต่ก็ทำให้ผู้ปกครองหลาย ๆ คนเป็นกังวล บางรายอาจเลือกที่จะไม่ส่งลูกมาเรียนหรือเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม ซึ่งจะทำให้เด็กเสียโอกาสในการพัฒนา และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ในเด็กเล็ก ๆ ที่ความสามารถในการปรับตัวยังอยู่ในระยะพัฒนาการ

 

วิธีเตรียมพร้อมก่อนส่งลูกไปเรียน

  1. พูดคุยถึงข้อดีของการไปเรียน : เช่น มีคุณครูใจดีมีเพื่อนมากมาย มีของเล่นให้เลือกเยอะเป็นต้น
  2. ก่อนเปิดเทอมให้ขับรถผ่านหน้าโรงเรียนและชี้ชวนให้ดู : ในวันหลัง ๆ อาจพาลูกเข้าไปเล่นเครื่องเล่นแล้วไปเดินดูห้องเรียน ทำความรู้จักกับคุณครู กับสนามเด็กเล่น เป็นการสร้างความคุ้นเคยแบบค่อยเป็นค่อยไป
  3. พ่อแม่ควรมีท่าทีที่สงบระหว่างการแยกจาก : ไม่แสดงอาการละล้าละลัง อาจจะยิ้มให้ลูกและกระซิบว่า แม่รักลูกนะ เดี๋ยวแม่เลิกงานแล้วค่อยเจอกัน
  4. บอกเวลาที่ชัดเจนในการมารับ : ควรบอกกับลูกว่าจะมารับเวลาไหน จะทำให้เด็กมีความหวังรู้จักรอ ถึงแม้เด็กจะยังไม่เข้าใจเรื่องเวลา พ่อแม่อาจจะให้คุณครูช่วยตอบ และควรมารับให้ตรงเวลา โดยเฉพาะช่วงแรกเพราะการมารับช้าผิดเวลา จะยิ่งทำให้ลูกเกิดความไม่มั่นใจ และไม่ยอมมาในวันต่อ ๆ ไป
  5. เปิดโอกาสให้เด็กมีทางเลือก : เช่น เด็กอาจมีตุ๊กตาตัวโปรด หมอน ผ้าห่ม สิ่งที่เด็กคุ้นเคยและเป็นเสมือนตัวแทนพ่อแม่ ทำให้เขารู้สึกมั่นคงปลอดภัย ในช่วงแรกอาจอนุโลมให้เอาไปด้วย เพื่อให้ซึมซับว่ายังไงก็ต้องไปโรงเรียน
  6. เด็กแต่ละคนอาจมีระยะเวลาในการปรับตัวไม่เท่ากัน : ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางอารมณ์ การเลี้ยงดูและท่าทีของพ่อแม่

 

วิตกกังวลต่อการแยกจาก

 

โรคตื่นตระหนก หรือ โรคแพนิค

โรคแพนิค เป็นความผิดปกติที่พบบ่อยในมนุษย์ช่วงอายุตั้งแต่ 17 ปีเป็นต้นไป และยังไม่มีประวัติการพบโรคแพนิคในเด็กที่ประเทศไทยมาก่อน โดยส่วนใหญ่จิตแพทย์มักจะจำแนกโรคแพนิคในเด็กให้เป็นโรค 3 โรค ดังนี้ โรคกลัวการแยกจาก (separation anxiety disorder), โรควิตกกังวลทั่วไป (generalized anxiety disorder) และโรคกลัวสังคม (social phobia) ซึ่งการที่อาการของเด็ก ๆ นำไปสู่ทั้ง 3 โรคนี้จึงทำให้การรักษานั้นไม่ระบุว่าเด็กสามารถเป็นโรคแพนิคได้นั่นเอง มีการวิจัยหนึ่งกล่าวว่าโรคแพนิคในเด็กนั้นมีผลช่วยลดอัตราการเกิดโรคแพนิคในผู้ใหญ่ได้ เมื่อพวกเขาโตขึ้น ซึ่งโรคแพนิคสามารถรักษาให้หายได้โดย คุณต้องปรึกษาแพทย์ให้ถูกต้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง : ลูกขี้กลัว ทำอย่างไรดี? วิธีช่วยลูกจัดการ และก้าวข้ามความกลัว

 

อาการของโรคแพนิค

แพนิคอาการ มีลักษณะอย่างไรบ้าง เนื่องจากการอาการในเด็กนั้นมักถูกวินิจฉัยให้เป็นโรคอื่น แต่อาการที่เด็ก ๆ ได้แสดงออก หรือการที่โรคกำเริบนั้นมักมีอาการเหมือนกับผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีอายุเกิน 17 ปีขึ้นไป โดยมีอาการดังต่อไปนี้

  • เกิดอาการกลัวอย่างรุนแรง รู้สึกว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวเกิดขึ้น กระวนกระวายใจ โดยอาการเหล่านี้จะถูกแสดงออกมาโดยที่เราไม่อาจทราบสาเหตุได้
  • วิงเวียนศีรษะ รู้สึกเหมือนหน้ามืด หรือรู้สึกไม่สบายท้อง อยากอาเจียน
  • รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนจะเป็นลม มีเหงื่อออก ตัวสั่น และรู้สึกชาบริเวณมือ และเท้า
  • หายใจถี่ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เจ็บที่หน้าอก หัวใจเต้นแรง และเร็วกว่าปกติ หรือมีความคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย หรือกำลังจะหัวใจวายในไม่ช้า
  • พวกเขาอาจดูหวาดกลัวในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การพบปะสังสรรค์ หรือพวกเขาอาจปฏิเสธที่จะพูดกับผู้อื่นหรือทำกิจกรรมประจำวัน

อาการทางกายของความวิตกกังวลอาจรวมถึง :

  • สั่น
  • หายใจถี่
  • ผีเสื้อในท้อง (มวลท้อง)
  • หน้าร้อน
  • มือชื้น
  • ปากแห้ง
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • เด็กอาจพบว่ามันยากที่จะนอนหลับ ฝันร้าย มีสมาธิจดจ่อ และโกรธหรือหงุดหงิดเร็ว

โดยอาการแพนิคทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาไม่นานนัก เพียง 10-20 นาทีเท่านั้น พวกเขาก็จะมีอาการที่เบาลง กลายเป็นปกติ แต่สามารถเกิดซ้ำได้อีกเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างไรก็ตามในบางครั้งอาจทำให้ผู้ช่วยเหลือนั้นเข้าใจว่าเป็นอาการของคนที่กำลังหัวใจวายได้

 

อะไรที่ทำให้เกิดโรคแพนิคในเด็ก?

อาการแพนิคในเด็ก แพนิค เป็นเหมือนอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะทางจิตทั่วไป โดยส่วนใหญ่มักพบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นเหตุทำให้พวกเขาเกิดโรค หรือสามารถเพิ่มโอกาสในการเป็นได้มากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ หรือพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอาการโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมีดังต่อไปนี้

  • ปัจจัยทางพันธุกรรม การวิจัยแสดงให้เห็นว่า หากในครอบครัว หรือผู้ร่วมสายเลือดเดียวกัน (พ่อ แม่ พี่น้อง) ที่กำลังประสบกับโรคแพนิค หรือเคยมีประวัติอาการแพนิคมาก่อน มีแนวโน้มว่าเด็ก ๆ ในบ้านนั้นสามารถเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
  • โรคกลัวน้ำ โดยโรคดังกล่าวทำให้เกิดอาการแพนิค ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งที่พวกเขากลัวนั่นเอง
  • มีภาวะทางสุขภาพจิตอื่น ๆ อยู่ก่อน อาทิ ภาวะซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) หรือโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-Traumatic Stress Disorder : PTSD)
  • สิ่งที่กระตุ้นทางอารมณ์ระยะสั้น หรือความคิดชั่ววูบ อาทิ การวางแผนการปลิดชีพตนเอง แต่ทำไม่สำเร็จ
  • ความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
  • สารบางชนิดที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิค เช่น คาเฟอีน เป็นต้น
  • โรคตื่นตระหนก

บทความที่เกี่ยวข้อง : ลูกกลัวการอาบน้ำ จะทำอย่างไรดีเมื่อเด็ก ๆ ไม่ชอบที่อาบน้ำ งอแงทุกครั้งที่อาบน้ำ

 

โรคตื่นตระหนก

เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตื่นตระหนกจะมีอาการตื่นตระหนกโดยไม่คาดคิดสองครั้งหรือมากกว่านั้น

 

โรควิตกกังวลทางสังคม

เด็กที่เป็นโรควิตกกังวลทางสังคมจะกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

 

วิตกกังวลต่อการแยกจาก

 

บทความจากพันธมิตร
สารพัด ปัญหาของลูกน้อย ที่คุณแม่กังวลใจ ลูกงอแง ไม่สบายท้อง ท้องอืด มีผื่นคัน แก้ด้วย Little Shield
สารพัด ปัญหาของลูกน้อย ที่คุณแม่กังวลใจ ลูกงอแง ไม่สบายท้อง ท้องอืด มีผื่นคัน แก้ด้วย Little Shield
โลกใบใหม่ที่ไม่ได้มีแต่ความเงียบงัน ขั้นตอนการฟื้นฟูหลัง ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม
โลกใบใหม่ที่ไม่ได้มีแต่ความเงียบงัน ขั้นตอนการฟื้นฟูหลัง ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม
น้องนดลต์ และน้องนภนต์ ฝาแฝดที่สูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง กับโอกาสสำคัญที่พลิกชีวิตสมาชิกทั้งครอบครัว
น้องนดลต์ และน้องนภนต์ ฝาแฝดที่สูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง กับโอกาสสำคัญที่พลิกชีวิตสมาชิกทั้งครอบครัว
การสูญเสียการได้ยิน ปัญหาเร่งด่วน ที่รับมือได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่เด็กไทย อาจได้รู้เมื่อสายเกินไป
การสูญเสียการได้ยิน ปัญหาเร่งด่วน ที่รับมือได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่เด็กไทย อาจได้รู้เมื่อสายเกินไป

ขั้นตอนการรับมือกับโรคแพนิคในเด็ก

เนื่องจากอาการแพนิคนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และอาจมีอาการ panic attack คือ การเกิดอาการแพนิคกะทันหัน ได้เช่นกัน โดยไม่คุณไม่สามารถรู้ หรือป้องกันได้ ดังนั้นคุณควรเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการรับมือสำหรับเด็กที่เป็นโรคนี้ เพื่อให้มั่นใจในสถานการณ์จริงคุณจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ โดยมีวิธีดังต่อไปนี้

 

1. พยายามควบคุมอารมณ์ของพวกเขา

เด็กที่ตกอยู่ในอาการแพนิคนั้น พวกเขาจะแสดงอาการหายใจถี่ เหมือนเหนื่อยหอบ เนื่องจากพวกเขาอาจได้รับแรงกระตุ้นจากบางอย่าง หรืออารมณ์ความคิดของเขาขณะนั้นทำให้เขาเกิดอาการ โดยคุณจะต้องพยายามทำให้เขารู้สึกสงบลง ด้วยการพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และผ่อนคลาย บอกให้พวกเขาหายใจเข้าออกลึก ๆ จนกว่าอาการของเขาจะบรรเทาลง

 

2. ฝึกการหายใจ

การเตรียมตัวก่อนเกิดสถานการณ์จริงนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ ในบางครั้งการที่พวกเกิดอาการเขาอาจไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ แต่หากเขา และคุณเตรียมการเรื่องนี้ไว้ก่อน อาจส่งผลทำให้อาการของเขาบรรเทาลงได้อย่างรวดเร็ว คุณควรฝึกเรื่องของการหายใจให้แก่พวกเขา เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยพวกเขาได้ในสถานการณ์จริง โดยให้เขาหายใจเข้า และกักลมไว้ในปอดเป็นเวลา 2-3 วินาที และค่อยปล่อยออกอย่างช้า ๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง : ประโยชน์ของการนั่งสมาธิของเด็ก สอนให้ลูกนั่งสมาธิ สอนให้ลูกน้อยนั่งสมาธิ

 

3. สอนให้พวกเขาเข้าใจถึงโรค

อาการแพนิคนั้นอาจเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับเด็ก และผู้ปกครอง เพราะว่าพวกเขาสามารถเริ่มแสดงอาการได้ตลอดเวลาจากสภาพแวดล้อมตัวของเขา ที่อาจทำให้เขาเกิดอาการวิตกกังวล หรือว่าทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายได้ตลอดเวลา โดยคุณเองจะต้องอธิบายให้พวกเขาเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งพวกนี้ว่ามันเป็นเพียงแค่อาการชั่วคราวเท่านั้น หากผ่านเวลาไปเพียงไม่นานพวกเขาก็จะสามารถกลับมาหายใจเป็นปกติได้

 

4. กระตุ้นให้พวกเขาเผชิญหน้ากับความกลัว

ความกลัวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พวกเขาเกิดอาการแพนิค หรือสถานการณ์บางอย่างที่เป็นแผลบาดลึกภายในใจของพวกเขา คุณควรอยู่ข้าง ๆ เขา และคอยสนับสนุนให้พวกเขาเอาชนะความกลัวเหล่านั้น หรือแสดงให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เขากลัวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อาทิ เด็กกลัวที่แคบ พวกเขาไม่สามารถอยู่ในที่แคบอย่างลิฟต์ หรือห้องที่มีขนาดเล็กปิดทึบได้ อาการแพนิค อาจลดลง โดยคุณอาจเริ่มต้นจากการพาพวกเขาเข้าไปอยู่ในนั้นพร้อมกับที่คุณคอยอยู่ข้าง ๆ เขา และทำให้พวกเขารู้สึกว่าการอยู่ที่แคบโดยมีคุณอยู่นั้นปลอดภัย และไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ซึ่งอาจส่งผลทำให้เขาลดความกลัว และโอกาสที่จะเกิดอาการแพนิคลงได้

 

วิตกกังวลต่อการแยกจาก

 

5. เบี่ยงเบนความสนใจ หรือเปลี่ยนโฟกัส

หากพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดอาการแพนิคขึ้นได้ คุณควรรีบเบี่ยงเบนความสนใจ หรือให้เขาเปลี่ยนไปโฟกัสกับสิ่งอื่นแทน ไม่ว่าจะเป็นของเล่นที่เขาชอบ อาการที่เขาอยากทาน หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวที่เขาอยากไป ซึ่งจะทำให้พวกเขาไม่นึกถึง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองไม่ได้นั่นเอง

 

6. สร้างความมั่นใจให้กับเขาว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

การรับฟังความคิดเห็นของเด็ก ๆ หรือการคอยช่วยเหลือกันภายในครอบครัว หรือระหว่างบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับเขาอย่างคุณครูเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าคุณเองก็ไม่สามารถอยู่กับพวกเขาได้ตลอดเวลา คุณควรกระตุ้นให้เขาพูดความรู้สึก หรือระบายความในใจกับใครสักคนที่เขาไว้ใจ เพื่อลดอาการแพนิคที่อาจเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ และสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้เขารู้สึกว่า เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่ยังคงมีคนคอยช่วยเหลือ และห่วงใยเขาอยู่

 

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์

ถ้าหากว่าบุตรหลานมี อาการแพนิค ข้างต้น อาจเป็นความคิดที่ดีที่จะขอคำแนะนำจากแพทย์หากเด็กแสดงอาการวิตกกังวลที่ไม่บรรเทาลงด้วยเทคนิคการจัดการความวิตกกังวลที่บ้านหากความวิตกกังวลส่งผลต่อชีวิตในโรงเรียนหรือความสัมพันธ์ของเด็ก แพทย์หรือนักบำบัดสามารถช่วยได้

 

วิธีการรักษา โรคแพนิคในเด็ก

อย่างที่กล่าวมาในตอนแรกว่าโรคแพนิคนั้นสามารถรักษาให้หายได้นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะว่าโรคนี้เกิดจากการวิตกกังวล กระวนกระวายใจ และทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ โดยวิธีที่นำมาใช้ในการรักษา และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้แก่

  • การรักษาด้วยจิตบำบัด : จิตแพทย์นั้นจะเริ่มด้วยการทำความเข้าใจความวิตกกังวลของเด็ก เพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น และจะเริ่มทำการบำบัดพฤติกรรมทางความคิดเป็นอย่างแรก เพื่อลดรูปแบบชุดความคิดที่มีทัศนคติเชิงลบที่เกิดขึ้น และยังมีการบำบัดอีกอย่างหนึ่งคือการบำบัดด้วยการลงมือปฏิบัติ และเผชิญหน้ากับความวิตกกังวลโดยตรง เพราะเชื่อว่าการทำเช่นนั้นสามารถทำให้การแสดงอาการของโรคนั้นเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น
  • เภสัชวิทยา : นอกจากการรักษาด้วยการบำบัดแล้ว การใช้ยานั้นก็สามารถช่วยลดอาการของโรคแพนิคได้ ซึ่งจิตแพทย์อาจมีการกำหนดยาหลายประเภท เพื่อให้ผลการรักษานั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการจ่ายยาเพื่อรักษาภาวะซึมเศร้า ซึ่งมีผลพิสูจน์ได้ว่าอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคแพนิค นอกจากนี้ยังมีการใช้ Benzodiazepines หรือยากลุ่มยานอนหลับ เพื่อให้เด็ก ๆ รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามการจ่ายนั้นก็ถือว่ายังมีความเสี่ยงต่อร่างกายมากกว่าการบำบัด จะต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์เท่านั้น

 

วิตกกังวลต่อการแยกจาก

 

สังเกตได้ว่าโรคแพนิคในเด็ก หรือแม้แต่อาการ วิตกกังวลต่อการแยกจาก สามารถเกิดขึ้นกับเด็กคนไหนก็ได้ หากพวกเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจ หรือเกิดความกลัวมากจนเกินไป  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการดูแลของผู้ปกครองนั้นอาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขามีทัศนคติเชิงบวกมากกว่าทัศนคติเชิงลบ ทางที่ดีที่สุดผู้ปกครองควรใส่ใจลูกหลานของท่านให้มากยิ่งขึ้น และหมั่นหาเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคแพนิคในเด็กได้

พ่อแม่และผู้ดูแลสามารถมองหาสัญญาณทางร่างกายและอารมณ์และถามคำถามปลายเปิดกับเด็กเพื่อดูว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะมีความวิตกกังวลหรือไม่ เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ที่จะจัดการกับความวิตกกังวลด้วยการสนับสนุนจากคนที่คุณรักและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต การบำบัดด้วยการพูดคุยและการใช้ยาอาจเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิผล หากกลยุทธ์การดูแลที่บ้านไม่ช่วย

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

อาการชัก และ โรคลมชักในเด็ก ส่งผลอย่างไรกับสมองของลูก

เลี้ยงลูกแบบนี้ไง ลูกถึงเป็น โรคพฤติกรรมเกเรก้าวร้าว เด็กเกเร ไม่ใช่เรื่องเล็ก

โรคเด็กโตก่อนวัย เป็นอย่างไร? เมื่อลูกเป็นแบบนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องทำอย่างไร

ที่มา : 1, 2, 3, 4 

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

Siriluck Chanakit

  • หน้าแรก
  • /
  • ช่วงวัยของเด็ก
  • /
  • วิตกกังวลต่อการแยกจาก คืออะไร ต่างจากโรคแพนิคยังไง ควรรับมืออย่างไรดี?
แชร์ :
  • อย่านิ่งนอนใจ! หากพบว่ามีอาการคันตามตัวอย่างรุนแรง เพราะนั่นอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์

    อย่านิ่งนอนใจ! หากพบว่ามีอาการคันตามตัวอย่างรุนแรง เพราะนั่นอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์

  • ฟันผุในเด็ก ฝันร้ายของเด็ก ๆ ที่ไม่อยากไปหาหมอฟันอีกเลย

    ฟันผุในเด็ก ฝันร้ายของเด็ก ๆ ที่ไม่อยากไปหาหมอฟันอีกเลย

  • 8 วิธีง่าย ๆ อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ พ่อแม่ไม่เก่งก็ฝึกลูกได้

    8 วิธีง่าย ๆ อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ พ่อแม่ไม่เก่งก็ฝึกลูกได้

  • ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

    ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

  • อย่านิ่งนอนใจ! หากพบว่ามีอาการคันตามตัวอย่างรุนแรง เพราะนั่นอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์

    อย่านิ่งนอนใจ! หากพบว่ามีอาการคันตามตัวอย่างรุนแรง เพราะนั่นอาจส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์

  • ฟันผุในเด็ก ฝันร้ายของเด็ก ๆ ที่ไม่อยากไปหาหมอฟันอีกเลย

    ฟันผุในเด็ก ฝันร้ายของเด็ก ๆ ที่ไม่อยากไปหาหมอฟันอีกเลย

  • 8 วิธีง่าย ๆ อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ พ่อแม่ไม่เก่งก็ฝึกลูกได้

    8 วิธีง่าย ๆ อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ พ่อแม่ไม่เก่งก็ฝึกลูกได้

  • ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

    ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • ก่อนตั้งครรภ์
    • การคลอด
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • การคลอด
  • พัฒนาการลูก
    • ทารก
    • เด็กก่อนเข้าเรียน
    • ช่วงวัยของเด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • การวางแผนการเงิน
    • การเลี้ยงลูก
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • นมแม่และนมผง
  • โภชนาการ
    • สินค้าเด็ก
    • นมผง
    • เมนูอาหาร
    • สินค้าแม่
  • เพิ่มเติม
    • TAP สังคมออนไลน์
    • ติดต่อโฆษณา
    • ติดต่อเรา
    • Influencer Marketing (KOL)
    • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Sri-Lanka flag Sri Lanka
  • India flag India
  • Vietnam flag Vietnam
  • Australia flag Australia
  • Japan flag Japan
  • Nigeria flag Nigeria
  • Kenya flag Kenya
© Copyright theAsianparent 2023. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

theAsianparent heart icon
เราต้องการส่งแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดูแลทารกและสุขภาพไปให้กับคุณ