คาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารที่พบได้ในขนมเค้ก ไอศกรีม รสช็อกโกแลต โกโก้ ชาเขียว ไปจนถึงน้ำอัดลม พออ่านรายชื่ออาหารเหล่านี้แล้ว คงนึกขึ้นได้ทันทีว่า อาหารที่กล่าวไปนั้นมักอยู่ในงานเลี้ยงฉลองต่าง ๆ และเป็นของโปรดของเหล่าเด็ก ๆ อีกด้วย จนเราอาจลืมไปว่าหากปล่อยให้เด็กบริโภคมากเกินไปจะส่งผลต่อพัฒนาการของพวกเขาได้
ทำไมจึงควรระวัง คาเฟอีน ในเด็ก
ปกติแล้วเรามักจะระวังให้ร่างกายไม่ได้รับสารนี้มากจนเกินไปซึ่งมักจะมาจากกาแฟ แต่สำหรับเด็กแล้วถึงแม้เขาจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทานกาแฟก็ยากที่จะหนีพ้น เนื่องจากอาหารชนิดอื่น ๆ รอบตัวของเด็กนั้นมักมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่ด้วยนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม หรือขนม ที่อาจจะเป็นเมนูโปรดของเด็ก ๆ ตัวน้อยของเรา
สถิติของเด็กกับคาเฟอีนที่น่ากลัว
จากข้อมูลการวิจัยการทานอาหารในเด็กพบว่าในเด็กเล็กอายุ 6-11 ปี มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการทานอาหารกลุ่มเวเฟอร์ คุกกี้ ช็อกโกแลต เค้ก และไอศกรีมเป็นจำนวนมาก ถือเป็นของทานเล่นที่ได้รับความนิยม ซึ่งอาหารที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของสารที่เรากำลังกล่าวถึงทั้งหมด หรืออาจกล่าวได้ว่าอันตรายมาพร้อมกับความอร่อยในอาหารของเด็ก
คาเฟอีนอยู่รอบตัวเด็ก
ในยุคสมัยใหม่การหาอาหาร หรือเครื่องดื่มเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในอดีตมาก เนื่องจากมีบริการส่งอาหารถึงที่พักอาศัย เมื่อสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทำให้มีโอกาสให้คนในครอบครัวได้ลองทานอาหารหลากหลายชนิด แน่นอนว่าอาหารหลายอย่างนั้นมีส่วนผสมของสารที่มีชื่อว่า “คาเฟอีน” สารที่เมื่อทานมากเกินไปจะเป็นอันตรายกับผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงอันตรายมากขึ้นสำหรับร่างกายของเด็กด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
- ขนมส่วนมากมีคาเฟอีน : ขนมรสชาติยอดฮิตคงหนีไม่พ้นช็อกโกแลต ชาเขียว หรือโกโก้ เป็นต้น โดยเราอาจไม่รู้ตัวว่าการบริโภคสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับการดื่มกาแฟ ยิ่งรสชาติเข้มข้นมากเท่าไหร่นั่นหมายถึงปริมาณของสารดังกล่าวก็จะมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
- น้ำอัดลมยอดฮิต : น้ำอัดลมเป็นทางเลือกของคนทั่วไปเมื่อไปเที่ยว หรือทานเล่นอยู่ในบ้าน สำหรับเด็กควรหลีกเลี่ยงน้ำอัดลมให้มากที่สุดอยู่แล้ว เนื่องจากส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพราะนอกจากจะมีคาเฟอีนผสมอยู่ ปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลมยังสูงมากอีกด้วย
- ชาแฝงไปด้วยคาเฟอีน : ชาเขียว, ชาผสมโกโก้ ไปจนถึงชาไทย เครื่องดื่มเหล่านี้มีรสหวาน และแน่นอนว่าแฝงไปด้วยสารตัวร้ายอย่างคาเฟอีน การดื่มชาเป็นประจำจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับเด็กควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
- ไอศกรีมแสนหวาน : ทานไอศกรีมอยู่บ้านก็รับสารอันตรายตัวนี้ได้เช่นกัน โดยจะพบในรสจำพวกโกโก้ หรือช็อกโกแลต ซึ่งเป็นรสชาติที่ได้รับความนิยมสูงอยู่แล้วในอาหารประเภทนี้ การทานไอศกรีมจึงควรระมัดระวังไม่ให้เด็กทานมากจนเกินไปใน 1 วัน
อาหารที่พบสารคาเฟอีนจากที่กล่าวไปส่วนมากจะเป็นกลุ่มอาหารทานเล่นเสียมากกว่า หากเด็กต้องการทานขนมเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณการทานให้เหมาะสม ประกอบกับสอนให้เด็กทานผักผลไม้ เพื่อให้สารอาหารที่ครบถ้วน ในส่วนของเครื่องดื่มควรให้เด็กเลี่ยงการดื่มน้ำหวานและเพิ่มการดื่มนม, น้ำผลไม้ หรือน้ำเปล่าทดแทนจึงจะเหมาะสมที่สุด
บทความที่เกี่ยวข้อง : 5 ชาเพื่อสุขภาพ รสชาติอร่อย ดีต่อใจมาก ๆ
หากปล่อยให้เด็กทาน คาเฟอีน พัฒนาการอาจแย่ลง
ถึงแม้การทานอาหารเหล่านี้จะไม่ทำให้เด็กเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต นอกจากการทานในปริมาณมาก และทานทุกวัน อย่างไรก็ตามหากปล่อยให้เด็กทานอาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนจนเป็นปกติ จะเป็นการฝึกนิสัยให้เด็กติดการทานอาหารเหล่านั้น ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมการทานอาหาร และสุขภาพของเด็กในอนาคตด้วย ได้แก่
- ทำให้เด็กหลับได้น้อยลง หรือหลับไม่สนิท ส่งผลให้เด็กง่วงในตอนกลางวัน
- เมื่อเด็กหลับได้น้อย ทำให้ร่างกายได้นอนน้อย ส่งผลให้มีพัฒนาการที่เติบโตช้ากว่าปกติ นอกจากนี้จะสามารถส่งผลทางอ้อมกับการเรียนได้เช่นกัน
- เสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงในอนาคต เพราะสารคาเฟอีนจะทำหน้าที่กระตุ้นหัวใจ เมื่อเด็กรับสารนี้เข้าไปจะมีผลยิ่งขึ้นมากกว่าวัยผู้ใหญ่
ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้เด็กเป็นโรคร้ายในทันทีแต่การที่สารนี้ไปขัดขวางการพักผ่อนของเด็ก ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ “Growth hormone” ในร่างกายของเด็กทำงานผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการของเด็ก
เด็กอายุเท่าไหร่กินกาแฟได้
สำหรับการดื่มกาแฟซึ่งเป็นเครื่องดื่มทั่วไปของคนวัยทำงานที่อาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้วบริโภคกาแฟที่มีสารดังกล่าวค่อนข้างมากนั้นไม่เหมาะสมกับเด็ก เนื่องจากที่กล่าวไปข้างต้นว่าสารคาเฟอีนอันตรายกับเด็กหลายอย่าง จึงควรให้เด็กหลีกเลี่ยงไว้ ส่วนอายุที่เหมาะสมกับการดื่มกาแฟนั้นคือช่วงอายุของคนวัยทำงานหรืออายุ 20 ปีขึ้นไป
บทความที่เกี่ยวข้อง : คาเฟอีน เช็คอาการติดกาแฟ ดื่มกาแฟทุกวัน เรียกว่าเสพติดหรือยัง ?
ทำอย่างไรให้ลูกปลอดภัยจากคาเฟอีน
การห้ามให้ลูกทานกาแฟอาจเป็นเรื่องง่ายกว่า เพราะเด็กไม่จำเป็นต้องดื่มอยู่แล้ว แต่หากเป็นขนมเค้ก หรือน้ำอัดลม อาจเป็นเรื่องยากที่จะห้ามเด็ก เนื่องจากเป็นอาหารที่พบได้ทั่วไป และถือเป็นของทานเล่นสำหรับเด็ก หรือคนทั่วไป ดังนั้นจึงควรให้เด็กทานในปริมาณที่เหมาะสม เช่น เค้กให้ทาน 1 ชิ้น และไม่ควรให้ทานทุกวัน เป็นต้น นอกจากนี้การสอน หรือพูดคุยกับลูกเกี่ยวกับโทษของสารคาเฟอีนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย หรือเปรียบเทียบให้ลูกเห็นภาพก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเช่นกัน
ของทานเล่นที่มีรสหวานแต่ไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก
จะทำอย่างไรได้เมื่อของหวานก็ยังเป็นสิ่งที่เด็กโหยหา และมีความต้องการ แต่ของหวานทุกชนิดไม่ได้จะมีอันตราย หรือมีส่วนผสมของคาเฟอีนเสมอไป ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถหามาให้ลูกทานเล่นได้เช่นกัน ได้แก่
- น้ำรสหวานทางเลือก : ไม่เพียงแค่น้ำอัดลม และชาเท่านั้นที่มีรสหวาน น้ำผลไม้สดหลายชนิดเองก็มีรสหวานเช่นกัน เพราะมีส่วนผสมของ “ฟรุกโตส (Fructose)” ทำให้หวานโดยธรรมชาติ แต่การเลือกน้ำผลไม้ให้ลูกต้องคำนึงถึงส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตทุกครั้งว่ามีน้ำตาลมากเกินไปด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ในปัจจุบันนมยังถูกผลิตออกมาหลายรสชาติไม่ใช่แค่เพียงรสจืดเท่านั้น หากให้ลูกลองทานนมรสหวานที่ไม่เคยทาน ลูกอาจชอบก็ได้เช่นกัน
- ขนมหวานที่ดีต่อสุขภาพ : คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างทางเลือกให้เด็กได้ด้วยการหาร้านขนมที่ดีต่อสุขภาพของเด็ก เนื่องจากในปัจจุบันอาหารจำพวกเค้กขนมมีการนำสารที่มีชื่อว่า “มอลทิทอล (Maltitol)” มาใช้ในกระบวนการผลิตที่ให้ความหวานได้เหมือนกัน หรือให้ลูกกินขนมที่ทำจากผลไม้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการให้ลูกได้ทานอาหารรสหวานเหล่านี้มากเกินไปก็สามารถส่งผลข้างเคียงได้เช่นกัน ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดให้ลูกปลอดภัยจากสารคาเฟอีนคือการให้เขาได้ทานอาหารที่หลากหลายทั้งเนื้อ ขนม และผลไม้ในปริมาณที่พอดีในแต่ละวัน ร่วมกับการฝึกให้ลูกได้ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมอื่น และพูดคุยเกี่ยวกับการทานอาหาร ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ควรทำ
ที่มาข้อมูล : matichonacademy estevia-herb lifestyleissue facebook sdtc
บทความที่น่าสนใจ
ท้องกินชานมไข่มุกได้ไหม คนท้องกินชานมไข่มุกได้ไหม คนท้องกินชานม ชาเย็น กาแฟ ได้แค่ไหน ใจไม่สั่น?
ประโยชน์กาแฟ ดื่มแล้วดียังไง ดื่มมาก ๆ ก่อให้เกิดโทษหรือไม่ ?
คนท้องกินกาแฟได้ไหม ? การดื่มกาแฟเป็นอันตรายต่อคนท้องและทารกอย่างไร?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!