12 อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด ที่ต้องรีบพบแพทย์ พร้อมวิธีดูแลตัวเอง

หลังผ่าคลอด คุณแม่อาจพบกับอาการต่างๆ ที่ไม่แน่ใจว่าปกติ หรือผิดปกติ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่ต้องรู้เท่าทัน เพื่อที่จะสามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การคลอดลูกด้วยวิธีการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดใหญ่แม้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัย แต่หลังการผ่าตัด ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ซึ่งอาจมี อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด เกิดขึ้นได้ หากคุณแม่สังเกตพบอาการผิดปกติหลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพได้ค่ะ

สำหรับคุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงใกล้คลอด และต้องคลอดลูกด้วยวิธีการผ่าคลอด theAsianparent มีข้อมูลในการเตรียมความพร้อมก่อนคลอด และการดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด พร้อมทั้งการสังเกตอาการผิดปกติหลังผ่าคลอด ที่คุณแม่ควรไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที โดยรวบรวมจากจากโรงพยาบาลชั้นนำและสถาบันด้านสุขภาพที่เชื่อถือได้มาฝากค่ะ

 

ผ่าคลอด คืออะไร ? ทำไมต้องผ่าคลอด ?

การผ่าคลอด หรือที่เรียกว่า Cesarean Section (C-Section) คือ การคลอดบุตรโดยวิธีการผ่าตัด แทนการคลอดธรรมชาติทางช่องคลอด โดยแพทย์จะทำการผ่าเปิดหน้าท้องและมดลูก เพื่อนำทารกออกมา สำหรับสาเหตุที่ต้องผ่าคลอด อาจมาจากคุณแม่ไม่สามารถคลอดลูกแบบธรรมชาติได้ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก มีหลายสาเหตุที่แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าคลอด อาทิเช่น

  • เชิงกรานแคบ ขนาดเชิงกรานของคุณแม่ไม่เหมาะสมกับขนาดศีรษะของทารก ทำให้ทารกไม่สามารถคลอดผ่านช่องคลอดได้
  • ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง หรือท่าก้น ทำให้การคลอดธรรมชาติเป็นไปได้ยากหรือเป็นอันตราย
  • หัวใจทารกเต้นผิดปกติ  อาจจำเป็นต้องผ่าคลอดฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยของทารก
  • ครรภ์แฝด การตั้งครรภ์แฝดบางครั้งอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการตั้งครรภ์เดี่ยว และอาจต้องผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัย
  • ครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของการตั้งครรภ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และทารก
  • รกเกาะต่ำ เป็นภาวะที่รกเกาะอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูก ซึ่งอาจปิดกั้นปากมดลูก ทำให้ต้องผ่าคลอด
  • สายสะดือสั้นเกินไป สายสะดือที่สั้นเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาขณะคลอดธรรมชาติ
  • ปัญหาสุขภาพของแม่ เช่น โรคประจำตัวบางอย่าง หรือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
  • การคลอดในภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะรก detachment (รกที่ลอกตัวก่อนกำหนด) หรือภาวะอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อแม่และทารก

การผ่าคลอดเป็นวิธีการคลอดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ การตัดสินใจว่าจะผ่าคลอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โดยพิจารณาจากสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารก เพื่อให้การคลอดเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุดค่ะ

 

แผลผ่าคลอด การดูแลและการสมานตัว

แผลผ่าคลอดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • แนวนอน: เป็นแผลตามแนวขวางบริเวณขอบกางเกงชั้นใน มีความยาวประมาณ 4-6 นิ้ว หรือ 10-15 เซนติเมตร
  • แนวตั้ง: เป็นแผลตามแนวยาวใต้สะดือ มักใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือการผ่าตัดที่ซับซ้อน

สำหรับระยะเวลาในการสมานตัวของแผลผ่าตัดคลอดโดยทั่วไป แผลผ่าคลอดจะใช้เวลาในการสมานตัว ดังนี้

  • 1 สัปดาห์แรก แผลบริเวณชั้นนอกจะเริ่มสมานตัว
  • 2-4 สัปดาห์ ผิวหนังชั้นในจะเริ่มสมานตัวมากขึ้น
  • หลังจากนั้นแผลจะปิดสนิทและเปลี่ยนสีคล้ำขึ้น เป็นสีแดงอมม่วงประมาณ 6 เดือน จากนั้นจะค่อยๆ จางลงเป็นสีขาวและเรียบในที่สุด

 

การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด เคล็ดลับสำหรับคุณแม่

การผ่าคลอดทางหน้าท้องเป็นการผ่าตัดใหญ่ ดังนั้นการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วและลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แนะนำให้คุณแม่ปฏิบัติตัวหลังผ่าคลอด ดังนี้ค่ะ

  • พลิกตัวบ่อยๆ: หลังผ่าคลอด คุณแม่ควรพลิกตัวบ่อยๆ พยายามลุกเดินเบาๆ ตั้งแต่วันแรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันลิ่มเลือดอุดตันและพังผืดในช่องท้อง ช่วยให้ลำไส้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและลดอาการท้องอืด นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักและการออกกำลังกายที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไปจนกว่าแผลจะหายดี
  • การวัดความดันโลหิต: พยาบาลจะเข้ามาวัดความดันโลหิตของคุณแม่ทุกๆ 30 นาที ในระยะแรกหลังคลอด เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
  • การจัดการความเจ็บปวด: หากคุณแม่รู้สึกเจ็บหรือปวดแผล ควรแจ้งพยาบาลทันที เพื่อให้แพทย์พิจารณาสั่งยาลดปวดที่เหมาะสม
  • การให้นมบุตร: คุณแม่สามารถให้นมบุตรได้เลยเมื่อรู้สึกพร้อม การให้นมแม่มีประโยชน์ทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อย
  • อาการเจ็บมดลูก: คุณแม่อาจรู้สึกเจ็บในมดลูกเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นอาการปกติเนื่องจากมดลูกกำลังหดตัวเข้าสู่ภาวะปกติ อาการเจ็บอาจมากขึ้นในขณะให้นมบุตร
  • การดูแลแผลผ่าตัด: แผลผ่าตัดจะถูกปิดด้วยผ้ากอซ สิ่งสำคัญคือต้องระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ความสะอาด: คุณแม่ควรล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสแผล และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลแผลอย่างเคร่งครัด

การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดทางหน้าท้องอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็วและกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด รวมถึงการพักผ่อนและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

อาการปกติที่พบได้หลังผ่าคลอด (ไม่ต้องกังวล)

หลังการผ่าคลอด ร่างกายของคุณแม่จะเข้าสู่ช่วงพักฟื้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการต่างๆ เกิดขึ้นในระหว่างที่ร่างกายกำลังปรับตัวและฟื้นฟูให้กลับสู่ภาวะปกติ โดยอาการทั่วไปที่สามารถพบได้ มีดังนี้

  • อาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัดและปวดมดลูก

แผลผ่าตัด: คุณแม่อาจรู้สึกเจ็บ มีรอยฟกช้ำ หรือคันบริเวณแผลผ่าตัดที่หน้าท้องได้นานถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานแผล

ปวดมดลูก: เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการปวดท้องคล้ายปวดประจำเดือนอยู่หลายวัน หรือรู้สึกปวดตื้อๆ ในช่วง 2-3 วันแรก อาการเหล่านี้เกิดจากมดลูกกำลังบีบตัวเพื่อกลับเข้าอู่และช่วยป้องกันการตกเลือดมากเกินไป

  • น้ำคาวปลา (เลือดออกทางช่องคลอด)

ในช่วงหลายสัปดาห์แรกหลังคลอด ร่างกายจะขับเลือดและเนื้อเยื่อส่วนเกินออกจากมดลูก ในช่วง 2-3 วันแรกจะเป็นเลือดสีแดงสด จากนั้นจะค่อยๆ จางลงเป็นสีชมพู สีน้ำตาล และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือใสในที่สุดก่อนจะหายไป

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • การเปลี่ยนแปลงของเต้านม

ในช่วง 3-4 วันแรก เต้านมจะผลิตน้ำนมเหลือง (Colostrum) ที่มีสารอาหารสูง หลังจากนั้นเมื่อน้ำนมเริ่มมา เต้านมจะคัดตึง บวม และเจ็บได้ คุณแม่สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการให้ลูกดูดนมหรือปั๊มนมออก และใช้การประคบเย็นเข้าช่วย

  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์

คุณแม่อาจรู้สึกเหนื่อยล้า กังวล หรือมีอารมณ์แปรปรวนได้ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ซึ่งเรียกว่า “ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด” หรือ “Baby Blues” ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่หากอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้นหลังผ่านไป 2-3 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นภาวะซึมเศร้าหลังคลอดที่ต้องการการดูแลรักษา

  • อาการท้องอืดและระบบขับถ่าย

หลังการผ่าตัด คุณอาจมีอาการท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร และระบบขับถ่ายยังทำงานไม่เป็นปกติในช่วง 2-3 วันแรก

  • ผลข้างเคียงจากยา

ในวันแรกหรือสองวันหลังผ่าตัด คุณอาจรู้สึกง่วงซึมหรือคลื่นไส้ ซึ่งเป็นผลมาจากยาที่ได้รับระหว่างการผ่าตัด

  • การเปลี่ยนแปลงของเส้นผมและผิวหนัง

คุณแม่อาจสังเกตเห็นผมร่วงมากขึ้นในช่วง 3-4 เดือนแรก และเห็นรอยแตกลายบริเวณหน้าท้องและหน้าอก ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยรอยแตกลายเหล่านี้จะค่อยๆ จางลงเป็นสีที่อ่อนลงตามกาลเวลา

 

12 อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด (สัญญาณอันตราย) ที่ต้องรีบไปพบแพทย์

แม้ว่าการฟื้นตัวหลังผ่าคลอดจะมีอาการเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่มีสัญญาณอันตรายบางอย่างที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หากคุณแม่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัดตรวจครั้งต่อไป

  1. ปวดแผลรุนแรง: มีอาการปวดแผลผ่าตัดอย่างรุนแรง หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะรับประทานยาแก้ปวดแล้วก็ตาม
  2. แผลติดเชื้อ: แผลผ่าตัดมีลักษณะบวม แดง ร้อน มีน้ำเหลืองหรือหนองซึมออกมา
  3. เลือดออกมากผิดปกติ: มีเลือดออกทางช่องคลอดมากจนชุ่มผ้าอนามัยเต็มแผ่นภายใน 1 ชั่วโมง หรือมีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ออกมา
  4. น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น: น้ำคาวปลาที่ขับออกมามีกลิ่นเหม็นรุนแรงผิดปกติ
  5. มีไข้สูง: มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส (100.4 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  6. เจ็บหน้าอกหรือหายใจลำบาก: รู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจถี่
  7. ปวดบวมที่ขา: มีอาการปวด บวม แดง หรือร้อนที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณน่อง
  8. ปวดศีรษะรุนแรงและตาพร่ามัว: มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ร่วมกับการมองเห็นที่ผิดปกติไป เช่น ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
  9. บวมฉับพลัน: มีอาการบวมอย่างกะทันหันบริเวณใบหน้า ดวงตา หรือมือ
  10. เต้านมอักเสบ: เต้านมมีลักษณะบวม แดง ร้อน และเจ็บปวดมากผิดปกติ
  11. มีความคิดหรืออารมณ์ที่น่ากังวล: รู้สึกเศร้า สิ้นหวังอย่างรุนแรง มีความวิตกกังวลตลอดเวลา หรือมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือลูกน้อย
  12. รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ: มีความรู้สึกหรือสัญชาตญาณว่าร่างกายมีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิมอย่างบอกไม่ถูก

สาเหตุของ อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด

อาการผิดปกติหลังผ่าคลอดสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. ดูแลแผลไม่สะอาด หรือปล่อยให้เกิดการหมักหมม การดูแลความสะอาดของแผลผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่ดูแลความสะอาดอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดการติเชื้อที่แผลได้ เช่น การปล่อยให้แผลอับชื้น ไม่ทำความสะอาด หรือสัมผัสแผลด้วยมือที่ไม่สะอาด
  2. เกิดการกระทบกระเทือน การออกแรงมากเกินไป เช่น ยกของหนัก ทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก อาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัด ทำให้แผลปริ แผลแยก หรือเกิดอาการบวมช้ำได้
  3. แผลผ่าคลอดเกิดการติดเชื้อ การติดเชื้อที่แผลผ่าคลอดอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การดูแลความสะอาดไม่เพียงพอ ภาวะแทรกซ้อนระหว่างผ่าตัด หรือร่างกายอ่อนแอ การติดเชื้อจะทำให้อาการปวด บวม แดง ร้อน มีหนอง หรือมีไข้
  4. มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว คุณแม่ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของแผลผ่าตัด ทำให้แผลหายช้า หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  5. เกิดอุบัติเหตุและการกระทบกระเทือนที่แผล การเกิดอุบัติเหตุหรือการกระทบกระเทือนโดยตรงที่แผลผ่าตัด อาจทำให้แผลฉีกขาด เลือดออก หรือเกิดการอักเสบได้
  6. มีเพศสัมพันธ์หลังคลอดโดยที่แผลยังไม่หายดี การมีเพศสัมพันธ์เร็วเกินไปหลังผ่าคลอด ในขณะที่แผลยังไม่หายดี อาจทำให้แผลปริ แผลแยก หรือเกิดการติดเชื้อได้

 

 

วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายเร็วและลดรอยแผลเป็น

การรักษาแผลให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลสมานตัวได้ดี

  • การทำความสะอาด: การทำความสะอาดแผล ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ: ห้ามแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ อ่างน้ำร้อน หรือสระว่ายน้ำ จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากแพทย์
  • สังเกตสัญญาณติดเชื้อ: ควรตรวจดูแผลทุกวัน และรีบแจ้งแพทย์ทันทีหากพบว่าแผลมีอาการบวม แดง ร้อน มีหนองหรือน้ำเหลืองซึมออกมา หรือมีอาการเจ็บแผลมากขึ้น

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การจัดการความเจ็บปวดหลังผ่าคลอด

อาการปวดแผลและปวดท้องเป็นเรื่องปกติในช่วงแรก การจัดการความเจ็บปวดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายตัวและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

  • ใช้ยาแก้ปวด: ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ เช่น พาราเซตามอล (Acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ซึ่งยาส่วนใหญ่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร
  • ใช้ความร้อนช่วย: การวางแผ่นประคบร้อน (ตั้งไฟอ่อนๆ) หรือผ้าชุบน้ำอุ่นบริเวณหน้าท้อง สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

 

โภชนาการสำหรับคุณแม่หลังผ่าคลอด

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นตัว ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมแผลผ่าตัดได้ดี ป้องกันอาการท้องผูกซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อย และช่วยให้คุณแม่มีพลังงานในการดูแลลูกน้อย โดยมีคำแนะนำดังนี้

ช่วงแรกหลังการผ่าตัด (ตามคำแนะนำของแพทย์)

โดยทั่วไป หลังฟื้นตัวจากการผ่าตัด แพทย์จะให้คุณแม่งดน้ำและอาหารก่อน จากนั้นจะค่อยๆ แนะนำให้ปฏิบัติตามลำดับขั้นต่อไปนี้:

  • ขั้นที่ 1: เริ่มจากการจิบน้ำเปล่าทีละนิด
  • ขั้นที่ 2: เมื่อไม่มีปัญหา จึงเริ่มรับประทานอาหารใสๆ เช่น น้ำซุป หรือน้ำแกงใสๆ
  • ขั้นที่ 3: ลำดับถัดมาคืออาหารเหลวหรืออาหารอ่อน เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม
  • ขั้นที่ 4: หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารปกติที่ย่อยง่ายและมีรสจืด

 

คำแนะนำทั่วไปสำหรับช่วงพักฟื้น

เมื่อเริ่มรับประทานอาหารได้ปกติแล้ว ควรใส่ใจกับอาหารและเครื่องดื่มเป็นพิเศษ

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อชดเชยของเหลวที่ร่างกายสูญเสียไป และมีความสำคัญอย่างยิ่งหากคุณแม่กำลังให้นมบุตร
  • เน้นอาหารที่มีกากใยสูง: รับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และป้องกันอาการท้องผูก อาจแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ แต่ทานให้บ่อยขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
  • อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง:
    • อาหารที่ทำให้ท้องอืด: เช่น นม และน้ำอัดลม เพราะอาจทำให้แน่นท้องและไม่สบายตัวได้
    • อาหารรสจัดและของหมักดอง: เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้
    • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน: ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลมบางชนิด

 

การใช้ชีวิตประจำวันและข้อควรระวัง

ในช่วงพักฟื้น ร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มที่ จึงมีข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนแผลและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เต็มที่

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การผ่าคลอดถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ ควรหาเวลาพักผ่อนให้มากที่สุด อาจเป็นการงีบหลับสั้นๆ 10-15 นาที หลายๆ ครั้งตลอดวัน
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก: ในช่วงที่แผลกำลังสมานตัว ห้ามยกของที่หนักกว่าน้ำหนักตัวของลูกน้อยเด็ดขาด
  • พยุงหน้าท้องเสมอ: ใช้มือหรือหมอนช่วยประคองหน้าท้องและแผลไว้เสมอ เมื่อต้องไอ จาม หรือหัวเราะ เพื่อลดแรงกดทับและอาการเจ็บ
  • เคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เริ่มต้นออกกำลังกายด้วยการเดินช้าๆ เบาๆ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ซิทอัพ แพลงก์ หรือวิดพื้น อย่างน้อย 12 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
  • งดการขับรถ: ควรหลีกเลี่ยงการขับรถเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด

การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดอย่างเหมาะสมนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของคุณแม่และการมีสุขภาพที่ดีของทั้งคุณแม่และลูกน้อย หากคุณแม่มี อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด เช่น แผลผ่าตัดบวมแดง มีหนอง น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น มีไข้สูง หรือมีอาการซึมเศร้า ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทันทีเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม การดูแลอย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่ค่ะ

 

อ้างอิง : 

โรงพยาบาลนครธน , โรงพยาบาลสมิติเวช , โรงพยาบาลวิมุต , The University of New Mexico , WebMD , Parents

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด คีลอยด์ รักษายังไง? วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายเร็ว

10 แผ่นแปะลดรอยแผลเป็น ไอเท็มเด็ดที่ แม่ผ่าคลอด ต้องมี!

10 เมนูอาหารคุณแม่หลังผ่าคลอด หลังผ่าคลอดกินอะไรได้บ้าง อะไรควรหลีกเลี่ยง

บทความโดย

อภิญญา คำเอก