น้ำคาวปลามีกลิ่น น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าน้ำคาวปลาคืออะไร ซึ่งน้ำคาวปลา (Lochia) คือ อาการเลือดออกหลังจากที่คลอดลูก ไม่ว่าคุณแม่จะคลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอดก็ต้องเจอเหมือนกัน โดยน้ำคาวปลานั้นจะออกมาจากช่องคลอดที่เกิดจากรกที่หลุดลอกจากผนังมดลูก แต่ก็สามารถเป็นเลือดจากส่วนที่ฉีกขาดหรือโดนตัดในช่วงที่คุณกำลังทำการคลอดก็ได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกัน น้ำคาวปลามีกลิ่น ที่เกิดจากการอักเสบของช่องคลอด คุณแม่จึงต้องคอยดูแลและสังเกตอาการของตนเองให้ดี
น้ำคาวปลามีกลิ่น ทำอย่างไร
น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น โดยปกติแล้วน้ำคาวปลาจะไม่มีกลิ่นเหม็น แต่หากคุณแม่พบว่า น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น เริ่มมีสีแดงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่จางไปแล้ว หรือปนเลือดสด ๆ ออกมา รวมถึงคุณแม่มีไข้สูง ปวดมดลูกผิดปกติ ท้องป่องเนื่องจากมดลูกยังไม่ยอมยุบ แสดงว่าเกิดอาการอักเสบในโพรงมดลูก ซึ่งอาจมีเศษของเยื่อหุ้มรกหรือเศษรกเด็กปกอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบในโพรงมดลูก
บทความที่เกี่ยวข้อง : ไขข้อข้องใจ น้ำคาวปลาหลังคลอด น้ำคาวปลา คืออะไร ที่นี่มีคำตอบ
น้ำคาวปลา หลังคลอดมี 3 ระยะ
การสังเกตความผิดปกติของน้ำคาวปลา จะปรากฏอยู่ 3 ระยะ ซึ่งคุณแม่หลังคลอดสามารถสังเกตอาการตัวเองได้ว่าแต่ละระยะเกิดความผิดปกติอย่างไรบ้าง
1. น้ำคาวปลาแดง
น้ำคาวปลาระยะนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกหลังคลอด จะมีน้ำเมือกเหลว ๆ ไหลออกอยู่ประมาณ 3-5 วัน ซึ่งระยะนี้จะมีสีแดงช้ำ ๆ คล้ำ ๆ เนื่องจากมีเลือด เมือก และเศษรกปนอยู่ คล้าย ๆ กับผู้หญิงมีประจำเดือน
2. น้ำคาวปลาเหลืองใส
น้ำคาวปลาจะไหลเรื่อย ๆ ประมาณอาทิตย์กว่า จนถึง 10 วัน โดยระยะนี้ สีของน้ำคาวปลาจะเริ่มจางลง สีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือชมพูอ่อน ๆ แล้วค่อย ๆ จางกลายเป็นสีเหลืองใส ในช่วงนี้น้ำคาวปลาจะประกอบไปด้วย น้ำเหลือง เมือก เยื่อภายในมดลูกต่าง ๆ รวมถึงเม็ดเลือดแดงเม็ดเลือดขาวด้วยค่ะ
3. น้ำคาวปลาขาว
ระยะที่ 3 จะยาวนานหลังคลอดประมาณ 6 สัปดาห์หรือ 2 เดือนกว่า ระยะนี้น้ำคาวปลาจะมีสีเหลืองขุ่นจนออกไปทางขาว ออกต่อจากน้ำคาวปลาเหลืองใส ซึ่งจะมีเม็ดเลือดแดงน้อยลง แต่มีเม็ดเลือดขาว ไขมัน เมือก และเซลล์บุผนังช่องคลอดมากขึ้น ออกมาเป็นเศษซากที่เหลือในช่องคลอด แล้วระยะนี้ ปริมาณน้ำคาวปลาจะค่อย ๆ ลดลงจนแห้งสนิท คุณแม่หลังคลอดจำไว้ว่า น้ำคาวปลาจะมีกลิ่นเหมือนประจำเดือนปกติ ซึ่งถ้าหากมีกลิ่นเหม็นก็หมายความว่ามีการติดเชื้อขึ้น
วิธีรับมือกับน้ำคาวปลาหลังคลอด น้ำคาวปลามีกลิ่น
ช่วงที่คุณแม่มีเลือดออกหลังคลอด แนะนำให้เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ในช่วงวันแรก ๆ และจากนั้นเมื่อเลือดเริ่มน้อยลงในวันต่อ ๆ มา นอกจากนี้ในช่วงที่มีน้ำคาวปลา คุณแม่หลังคลอดควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. รักษาความสะอาดของร่างกาย
คุณแม่อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หมั่นดูแลอวัยวะเพศให้สะอาดอยู่เสมอ ที่สำคัญห้ามฟอกสบู่ หรือใช้น้ำยาล้างช่องคลอดเด็ดขาด
2. ดูแลแผลฝีเย็บ
รอยแผลฝีเย็บเป็นส่วนที่ต้องดูแลคู่กับช่องคลอดเพราะมีความบอบบางเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายหากไม่สะอาด
บทความที่เกี่ยวข้อง : อาการเจ็บฝีเย็บ การดูแลแผลฝีเย็บหลังคลอด แผลแห้งไว หายไว
3. ใช้ผ้าอนามัยชนิดใหญ่พิเศษ
คุณแม่ควรใช้ผ้าอนามัยแบบกลางคืนและควรเปลี่ยนทุก 3 ชั่วโมง หรือเปลี่ยนทุกครั้งที่ชุ่ม ถ้ามีน้ำคาวปลามาก ๆ ให้ใช้ผ้าอนามัยของผู้ใหญ่ ขนาดใหญ่แบบโรงพยาบาลใช้ เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมม อับชื้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมเชื้อโรค
4. ล้างมือให้สะอาดเสมอ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามช่วงหลังคลอดคุณแม่ต้องล้างมือให้สะอาดเสมอเพื่อสุขภาพตัวเองและลูกน้อย โดยเฉพาะก่อนเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกครั้งเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
5. ห้ามใช้ผ้าอนามัยแบบสอดหรือถ้วยอนามัย
ควรใช้ผ้าอนามัยแบบผ้าแปะ จนกว่าจะถึงเวลานัดตรวจหลังคลอด 6 สัปดาห์ เพราะช่องคลอดและมดลูกอาจยังไม่ฟื้นตัวไม่ควรสอดใส่สิ่งใด ๆ ลงไปในช่องคลอดค่ะ
6. ไม่แช่อ่างน้ำหรือว่ายน้ำ
อย่าแช่น้ำหรืออาบน้ำนานเกินไปเนื่องจากปากมดลูกยังเปิดอยู่ อาจทำให้มีน้ำเข้าไปในโพรงมดลูก ทำให้เกิดการติดเชื้อได้
7. ควรงดการมีเพศสัมพันธ์
ข้อนี้คุณแม่ต้องตกลงกับคุณพ่อว่าต้องของดมีเพศสัมพันธ์ 3 เดือน เพื่อสุขอนามัยของทั้งคู่ค่ะ
8. ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย
ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้ารัดรึง เช่นเสื้อรัดรูปหรือกางเกงรัดรูป เพราะอาจทำให้เกิดการอับชื้นสะสมได้
9. หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก
โดยเฉพาะการยกของหนัก คุณแม่อย่าเผลอถือของหนัก ยกของหนัก ก้ม ๆ เงย ๆ บ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้มดลูกและช่องคลอดอักเสบ
10. เลือกรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
คุณแม่ควรดูแลสุขภาพมาก ๆ ค่ะ รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ผักใบเขียว ตับหมู ตับไก่ เพื่อบำรุงร่างกายที่มีการเสียเลือดในปริมาณมาก และดื่มน้ำสะอาดพร้อมกับนอนพักผ่อนมากนะคะ
น้ำคาวปลามีกลิ่น จำเป็นต้องกินยาขับน้ำคาวปลาไหม
จริง ๆ แล้วการที่น้ำคาวปลาหมดเร็วก็ดี เพราะไม่ทำให้คุณแม่เหนื่อยง่าย แต่การกินยาขับน้ำคาวปลาโดยเฉพาะที่มีแอลกอฮอล์คงไม่ดีแน่ เนื่องจากยาที่คุณแม่กินเข้าไปอาจกลายเป็นน้ำนม เมื่อลูกดื่มนมแม่เข้าไปก็กลายเป็นว่าได้รับยาไปด้วยซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อลูกน้อยเท่าที่ควร อีกทั้งอาจทำให้คุณแม่มีเลือดออกมากขึ้นจนกลายเป็นตกเลือดหลังคลอด ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ค่ะ
อาการตกเลือดหลังคลอดเกิดจากอะไร
ภาวะตกเลือดหลังคลอดมีอยู่ด้วยกัน 2 ระยะ คือ
-
ภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรก (Primary postpartum hemorrhage)
โดยอาการนี้สามารถเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากคลอดลูก ถ้าใครเป็นช่วงนี้อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่า เพราะยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งเกิดจากรกไม่ได้หลุดออกจากมดลูกอย่างเหมาะสม จากการที่เกิดการบาดเจ็บระหว่างคลอด หรือมดลูกของคุณไม่บีบตัวลงมาเพียงพอภายหลังที่รกออกมาแล้ว
-
ภาวะตกเลือดหลังคลอดบุตรระยะหลัง (Secondary postpartum hemorrhage)
เป็นสิ่งที่ห่วงเนื่องจากมันจะแสดงอาการหลังจากที่คุณแม่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว โดยจะอยู่ในช่วง 24 ชั่วโมง – 12 สัปดาห์หลังจากคลอดลูก ซึ่งการตกเลือดแบบนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ
จะรู้ได้อย่างไรว่ามีการติดเชื้อหลังคลอด
- ปวดท้องช่วงล่างและบริเวณขาหนีบ
- เลือดที่ไหลออกมามีกลิ่นเหม็น
- มีไข้และ/หรือรู้สึกหนาวเย็น
- มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
- ปวดศีรษะ
เลือดออกแบบไหนอันตรายต้องรีบไปพบแพทย์
- มีเลือดออกมามากจนต้องเปลี่ยนแผ่นซับมากกว่า 1 แผ่นใน 1 ชั่วโมง
- เลือดมีสีแดงสดขึ้นเรื่อย ๆ และมีปริมาณมากขึ้นในระยะ 4 วันหรือมากกว่าภายหลังการคลอด แม้ว่าคุณจะพักผ่อนแล้ว
- มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่หลุดออกมา
- มีอาการหน้ามืดจะเป็นลม
- หัวใจเต้นแรง หรือมีอัตราการเต้นที่ผิดปกติ
หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ อย่านิ่งนอนใจให้รีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เนื่องจากอาจเกิดอาการตกเลือดได้ และอาจทำให้คุณแม่เสียเลือดได้มากถึง 500 มล. หรือมากกว่านี้เลยทีเดียว
การเกิดน้ำคาวปลาขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังคลอดของคุณแม่ทุกคนที่จะต้องพบเจอการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น ดังนั้น คุณแม่อย่าลืมดูแลตนเองด้วยการรักษาความสะอาดในช่วงเวลาหลังคลอด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเกิดขึ้น หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้สำหรับคุณแม่ทุกคนนะคะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
มีตกขาวสีน้ำตาลคล้ำ ใช่น้ำคาวปลาหรือไม่ ? 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้
น้ำคาวปลา หลังคลอดกี่วันถึงจะหมด ทำไมน้ำคาวปลามีหลายสี สีไหนผิดปกติ
ยาสตรีขับน้ำคาวปลาได้ไหม ใช้แทนการอยู่ไฟหลังคลอดได้หรือเปล่า
ที่มา : babycentreamarinbabyandkids
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!