แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด แผลคีลอยด์ คืออีกหนึ่งปัญหาที่คุณแม่หลายคนกังวลใจ และอาจทำให้สูญเสียความมั่นใจในรูปร่างได้ อย่างไรก็ตาม รอยแผลเป็นเหล่านี้สามารถรักษาให้หายได้ค่ะ วันนี้เราจะพาไปดูวิธีดูแลที่จะช่วยให้แผลเป็นหลังผ่าคลอดยุบหายไป และช่วยให้คุณแม่กลับมามีผิวเนียนสวยเหมือนเดิม
ความเชื่อผิดๆ กินไข่ทำให้ แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด
ความเชื่อหนึ่งที่มีมาทุกยุคทุกสมัยเกี่ยวกับ แผลเป็นหลังผ่าคลอด ซึ่งคุณแม่หลายท่านคงเคยได้ยินเช่นกันว่า การรับประทานไข่ไก่จะยิ่งทำให้แผลเป็นนูนหายช้า เกิดเป็น คีลอยด์ ความจริงก็คือ “ไข่” เป็นสารอาหารจำพวกโปรตีน เช่นเดียวกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม รวมถึงถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งจะช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น เพราะช่วยสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้เซลล์แต่ละเซลล์สามารถประสานยึดติดเป็นเนื้อเดียวกันได้ ดังนั้น ที่เชื่อกันว่า กินไข่ทำให้แผลหายช้า ทำให้แผลเป็นนูน เป็นคีลอยด์ จึงไม่เป็นความจริงค่ะ
แผลเป็นนูน vs คีลอยด์ ต่างกันอย่างไร
การผ่าคลอดนอกจากทำให้แม่ ๆ ต้องใช้เวลาพักฟื้นร่างกายแล้ว สิ่งที่หลายคนกังวลก็คือ “แผลเป็น” ที่ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าท้อง ซึ่งแม่ ๆ เล่าว่าแม้จะหายดีแล้ว แต่แผลกลับนูนขึ้น บางครั้งยังมีอาการคันหรือแดงร่วมด้วย ทำให้ไม่มั่นใจเวลาแต่งตัว วันนี้เรามาคุยกันให้ชัด ๆ ว่า แผลเป็นนูน (Hypertrophic) และ คีลอยด์ (Keloid) ต่างกันยังไง เกิดจากอะไร และดูแลยังไงได้บ้างนะคะ
โดยทั่วไป แผลเป็นนูนไม่ลามเกินแผลเดิม ส่วนคีลอยด์จะลามออกไปและมักคัน เพื่อให้แม่ ๆ เข้าใจง่าย มาดูตารางเปรียบเทียบกันค่ะ
|
ตารางเปรียบเทียบ แผลเป็นนูน vs คีลอยด์
|
| ลักษณะ |
แผลเป็นนูน (Hypertrophic) |
คีลอยด์ (Keloid) |
| การนูน |
แผลนูนขึ้น สีแดงหรือคล้ำ แต่ไม่มาก |
|
| ขอบเขตแผล |
อยู่ภายในรอยแผลเดิม |
ลามออกเกินรอยแผลผ่าตัดเดิม
|
| อาการร่วม |
อาจมีตึง ๆ แต่ไม่ค่อยคัน |
มักมีคัน เจ็บ หรือระคายเคือง
|
| โอกาสพบ |
พบได้บ่อยในแผลผ่าตัดทั่วไป |
พบมากในคนที่มีพันธุกรรมเอื้อ โดยเฉพาะผิวคล้ำ
|
| ผลกระทบต่อรูปลักษณ์ |
รอยดูนูนแต่ไม่ลุกลาม |
รอยใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เห็นชัดเจน
|
ข้อมูลจาก Cleveland Clinic ระบุว่า คีลอยด์เกิดได้ถึง 10–15% ของประชากรทั่วไป และมีโอกาสมากขึ้นในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเคยเป็น
สาเหตุที่ทำให้แผลผ่าคลอด กลายเป็นแผลเป็นนูน หรือคีลอยด์
แผลผ่าคลอดของแต่ละคนอาจสมานไม่เหมือนกัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:
- พันธุกรรม: ข้อมูลจาก Healthline และงานวิจัยใน Journal of Wound Care ปี 2018 ชี้ว่า หากครอบครัวมีประวัติเป็นคีลอยด์ มีโอกาสเกิดมากขึ้น
- การดูแลแผล: หากแผลติดเชื้อหรือเกิดการอักเสบ จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป จนแผลนูน
- ความตึงของผิวหนัง: แผลผ่าคลอดอยู่ตรงท้อง ซึ่งผิวหนังมักตึง อาจเพิ่มโอกาสแผลเป็นนูน
- อายุและสีผิว: งานวิจัยจาก Dermatologic Surgery พบว่า คนอายุน้อยและผู้ที่มีผิวคล้ำมีโอกาสเกิดคีลอยด์มากกว่า
บทความที่เกี่ยวข้อง : แผลผ่าคลอด กี่วันหาย วิธีดูแลแผลผ่าคลอด แผลนูนคัน แผลปริ แผลอักเสบ

วิธีดูแล แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด และคีลอยด์
การดูแลด้วยตัวเองที่บ้าน
- ยาทาลดรอยแผลเป็น เช่น เจลที่มี Onion Extract หรือ Allium Cepa มีรายงานว่าสามารถช่วยให้รอยแผลนุ่มและจางลง
- แผ่นแปะซิลิโคนเจล ลดการสร้างคอลลาเจนเกิน และป้องกันแผลนูน
- การนวดแผลเบา ๆ ตามคำแนะนำแพทย์ จะช่วยทำให้เนื้อเยื่อไม่แข็งเกินไป และเลือดไหลเวียนดี
- ควรใช้ผ้ารัดหน้าท้องในเวลากลางวัน จนกว่าแผลผ่าตัดจะหายสนิท เพื่อจะได้เคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น โดยไม่เจ็บแผล เพราะกล้ามเนื้อหน้าท้องยังหย่อนอยู่มาก
- ออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปหล่อเลี้ยงบริเวณบาดแผลให้มากขึ้น ช่วยสมานให้แผลติดกันได้เร็วขึ้น
การรักษาโดยแพทย์ (Medical Treatments)
- การฉีดสเตียรอยด์ที่แผล: ช่วยลดการอักเสบและการสร้างคอลลาเจนเกิน งานวิจัยจาก American Academy of Dermatology (AAD) ระบุว่าช่วยลดขนาดคีลอยด์ได้ชัดเจน
- การทำเลเซอร์ (Laser Therapy): เช่น Pulsed Dye Laser (PDL) ใช้ลดรอยแดงและความนูน
- การผ่าตัดแก้ไขแผลเป็น: มักใช้ร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์หรือการฉายรังสี เพื่อป้องกันไม่ให้คีลอยด์กลับมาอีก
|
| วิธีรักษา |
ผลลัพธ์ |
| ซิลิโคนเจลชีท |
รีวิวระบุว่าช่วยลดการเกิดคีลอยด์ใหม่ และทำให้คีลอยด์เดิมแบนลง |
| สเตียรอยด์ฉีดเข้ารอยแผล |
ลดอาการคัน แดง นูน แต่ใช้ต่อเนื่องอาจทำให้ผิวหนังบางลง |
| เลเซอร์ทางการแพทย์ |
ลดการอักเสบของคีลอยด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายเคส |
| ผ่าตัดคีลอยด์ |
ต้องเสริมด้วยสเตียรอยด์หรือรังสีหลังผ่าเพื่อป้องกันกลับเป็นซ้ำ |
| วิตามินอี / หัวหอม |
ช่วยลดรอยคันและทำให้รอยแผลนุ่มลง แต่ไม่ช่วยให้ยุบในทันที |
| โภชนาการและการดูแลทั่วไป |
โปรตีน วิตามินซี และน้ำช่วยสมานแผลดีขึ้น ลดการอักเสบและคีลอยด์ |
การผ่าตัดช่วยรักษาแผลนูนได้จริงไหม
การผ่าตัดจะช่วยจัดตำแหน่งรอยแผลเป็นนูนให้ดีขึ้นได้จริงหรือ เพราะทุกครั้งที่มีการผ่าตัดย่อมมีแผลใหม่เกิดขึ้น อีกทั้งการผ่าตัดให้ประสบผลสำเร็จ ยังขึ้นอยู่กับขนาดของแผลอีกด้วย ทั้งนี้แผลเป็นอาจจะหดและจางลงเอง แต่ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ศัลยแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้ทิ้งไว้เฉย ๆ สัก 1 ปี จนแผลจางลงเต็มที่ก่อนจึงจะทำการรักษา
สำหรับการฉีดยาสเตอรอยด์ การใช้ซิลิโคนเจลชีทและวิธีอื่น ๆ เช่น การฉายแสงเลเซอร์ การจี้ความเย็น วิธีการเหล่านี้สามารถใช้รักษาแผลเป็นนูนได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ซิลิโคนเจลหรือสเตียรอยด์ เพื่อลดความเสี่ยงของอาการแพ้หรือการติดเชื้อ และผลการรักษาไม่อาจการันตีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อรักษาไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก
บทความที่เกี่ยวข้อง : แผลผ่าคลอด ดูแลแผลอย่างไร ให้ไม่เป็นแผลนูนแดง หมดห่วงเรื่องคีลอยด์

วิธีป้องกัน แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด ตั้งแต่เนิ่น ๆ
การดูแลตั้งแต่หลังผ่าคลอดใหม่ๆ มีผลมากค่ะ เพราะสามารถลดความเสี่ยงของแผลเป็นนูนได้ นี่คือ คำแนะนำในการดูแลแผลหลังผ่าคลอด ป้องกันแผลเป็นนูน
-
ดูแลแผลตั้งแต่ระยะเริ่มต้น (0–3 วัน)
-
ช่วง 1–3 สัปดาห์
-
3 สัปดาห์–1 ปี (Maturation)
-
เริ่มใช้ซิลิโคนชีทหรือยาทาสเตียรอยด์ตามแพทย์กำหนด งานวิจัยจาก Cochrane Review 2020 พบว่าแผ่นซิลิโคนช่วยลดโอกาสเกิดแผลนูนได้จริง
-
หากไม่ดีขึ้น ให้พิจารณาเลเซอร์หรือฉีดสเตรียรอยด์ร่วมกัน
-
หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นการอักเสบ เช่น แอลกอฮอล์ คาเฟอีน ของหมักดอง
-
เฝ้าระวังอาการผิดปกติ
บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 แผ่นแปะลดรอยแผลเป็น ไอเท็มเด็ดที่ แม่ผ่าคลอด ต้องมี!

ทำอย่างไรเมื่อแผลผ่าคลอด “คัน” และ “แดง”?
แม่ ๆ หลายคนกังวลว่าทำไมแผลยังคันหรือแดงอยู่ จริง ๆ แล้วนี่เป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติ ค่ะ
- อาการคัน เกิดจากเส้นประสาทกำลังฟื้นตัว และผิวหนังใหม่ยังบอบบาง
- อาการแดง มาจากการไหลเวียนเลือดที่เข้ามาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
วิธีบรรเทาอาการคันแผลผ่าคลอด
- ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน หรือเจลซิลิโคน
- หลีกเลี่ยงการเกา เพราะอาจทำให้ผิวหนังถลอกและติดเชื้อ
- ใช้ประคบเย็น เพื่อลดการคันชั่วคราว
- หากคันหรือแดงมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
งานวิจัยจาก Mayo Clinic ชี้ว่าอาการคันแผลพบได้บ่อยในช่วง 6–8 สัปดาห์แรก หลังผ่าตัด และส่วนใหญ่จะดีขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป
โภชนาการสำคัญกับการรักษาแผลคีลอยด์ แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด
ระยะการสมานตัวของแผล สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะการอักเสบ ระยะการเพิ่มจำนวน และระยะการปรับเปลี่ยนใหม่ ในแต่ละขั้นตอน ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารที่จะมาช่วยในการผลัดเปลี่ยนเนื้อเยื่อและเซลล์ที่ถูกทำลายให้สมานกันเช่นเดิม ความใส่ใจในโภชนาการ รับประทานที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยรักษาให้แผลหายเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยถนอมไม่ให้แผลเกิดการอักเสบ หรือเกิดเป็นแผลเป็นนูนอีกด้วย โดยกระบวนการหายของแผล แบ่งเป็น 3 ระยะคือ
-
ระยะการอักเสบ (Inflammatory)
ในระยะ 0 – 3 วันแรก หรือระยะการอักเสบ เซลล์ที่ถูกทำลาย เนื้อตายและแบคทีเรียจะถูกกำจัดออกจากแผล ในกระบวนการเริ่มต้นของการสมานแผล ร่างกายของเราก็ต้องการสารอาหารที่จะช่วยในการห้ามเลือด ป้องกันการติดเชื้อ และซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ ในระยะนี้อาการบวม แดง เจ็บแผล อาจจะเกิดขึ้นเป็นปกติ
-
ระยะการเพิ่มจำนวน (Proliferative)
ในระยะนี้ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและหลอดเลือดที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จะทำหน้าที่ในการจัดเรียงตัวเองบนพื้นผิวบริเวณที่เป็นแผล และเกิดการหดตัวของเซลล์ เพื่อทำให้ปากแผลติดชิดกัน ในขั้นตอนนี้ร่างกายก็ยังคงต้องการสารอาหารและออกซิเจนที่เพียงพอ เพื่อที่จะหล่อเลี้ยงหลอดเลือดและเนื้อเยื่อนั่นเอง
-
ระยะการปรับเปลี่ยนใหม่ (Maturation)
ในระยะนี้ คอลลาเจนจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเซลล์และเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านล่างได้รับการซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว เซลล์ที่ถูกนำมาใช้ในระยะของการซ่อมแซม ก็จะถูกกำจัดออกไปจากร่างกาย คอลลาเจนที่ร่างกายสร้างขึ้นชั่วคราว ก็จะถูกทดแทนด้วยการสร้างที่ประณีตกว่าเดิม เพื่อปกปิดรอยแผลและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น โดยระยะการปรับเปลี่ยนใหม่นี้ จะเริ่มต้นขึ้นประมาณ 3 สัปดาห์ – 1 ปี หลังจากการผ่าตัด
บทความที่เกี่ยวข้อง : เมื่อไรที่แผลผ่าคลอดจะหายสนิท ผ่าคลอดเจ็บกี่วัน ดูแลแผลอย่างไรให้ถูกวิธี

|
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการผ่าตัด
|
อาหารที่ควรรับประทานหลังการผ่าตัด
|
- น้ำตาล
- ไนเตรต มักพบในอาหารแปรรูป
- แอลกอฮอล์
- คาเฟอีน
|
- โปรตีน
- วิตามินบี เช่น ไข่ เนื้อไก่ ปลา ผักใบเขียว อัลมอนด์ อะโวคาโด เป็นต้น
- วิตามินซี เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
- วิตามินเอ เช่น ผักใบเขียว ปลา และไข่
- ซิงค์ เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ โอ๊ต เป็นต้น
|

7 วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายเร็ว ทิ้งรอยแผลเป็นน้อยที่สุด
นอกจากโภชนาการที่สำคัญต่อการรักษาแผลผ่าตัดหลังคลอดแล้ว เรายังมี 7 วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หลายเร็ว และทิ้งรอยแผลเป็นไว้น้อยที่สุด มาฝาก คุณแม่ผ่าคลอด กันด้วยค่ะ
-
อย่าให้แผลโดนน้ำ
ในช่วง 7 วันแรกหลังการผ่าคลอด คุณแม่ต้องระวังอย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อักเสบ ซึ่งจะยิ่งทำให้แผลหายช้าไปอีกค่ะ แนะนำว่าให้ใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดตัวแทนการอาบน้ำไปก่อน หรือหากแผลจะถูกปิดโดยพลาสเตอร์แบบกันน้ำ ก็ให้อาบแบบน้ำไหลผ่าน แล้วรีบซับตัวให้แห้ง ห้ามแช่อ่างอาบน้ำเด็ดขาด และหมั่นเปลี่ยนพลาสเตอร์เสมอ
-
แผลต้องสะอาด และแห้งเสมอ
หากแผลสมานติดเรียบร้อยดีแล้ว คุณหมอตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติอะไร คุณแม่ก็สามารถอาบน้ำได้โดยไม่ต้องปิดพลาสเตอร์ค่ะ ทั้งนี้ หลังตัดไหมเรียบร้อยแล้ว ควรทำความสะอาดแผลวันละ 2-3 ครั้งหลังอาบน้ำ โดยใช้น้ำเกลือเช็ดและซับให้แห้งอย่างเบามือเสมอ อย่าแกะหรือเกาแผล เพราะอาจทำให้รอยแผลมีสีเข้มขึ้น หายช้า และมีโอกาสติดเชื้อได้
-
เลี่ยงการยกของหนัก ออกแรงเยอะ
คุณแม่ต้องห้ามยกของหนัก หรือออกแรงเยอะ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนหลังผ่าคลอด เนื่องจากแรงยืดขณะยกของซึ่งจะทำให้แผลตึง ร่างกายจะปรับตัวโดยการสร้างคอลลาเจนให้หนามากขึ้นเพื่อป้องกันการฉีกขาดของแผล ทำให้แผลผ่าคลอดเป็นคีลอยด์ หรือเกิดแผลเป็นนูนได้
-
ใส่ผ้ารัดพยุงท้อง
การใส่ผ้ารัดหน้าท้องจะช่วยพยุงกล้ามเนื้อเมื่อคุณแม่ขยับตัว หรือเดิน ช่วยให้แผลผ่าคลอดไม่ถูกดึงรั้ง หรือกดทับจากผิวหนังที่หย่อนคล้อย รวมถึงลดอาการเจ็บปวดจากแผลได้ด้วยค่ะ
-
ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ
หลังจากแผลแห้งสนิท ออยล์บำรุงผิว มอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือยาทาลดรอยแผลเป็น สามารถช่วยคุณแม่ได้ค่ะ เพราะจะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น และยืดหยุ่นดี รอยแผลเป็นจางและอ่อนนุ่มลง
-
อย่าอยู่นิ่ง ให้ขยับตัวบ้าง ป้องกันการเกิดพังผืด
คุณแม่ควรเริ่มขยับตัวบ้างตั้งแต่วันแรกหลังผ่าตัดเลยค่ะ ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้แผลฟื้นตัวเร็วขึ้น ไม่ให้แผลผ่าคลอดด้านในเกิดพังผืดยึดเกาะกับอวัยวะในช่องท้อง และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังคลอด
-
พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นหนึ่งในวิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไวได้ขึ้น หรือจะลองหากิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายทำบ้าง ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ฟังเพลง เนื่องจากจะช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายฟื้นตัวได้เต็มที่มากยิ่งขึ้นค่ะ
การมีแผลผ่าคลอดไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยค่ะ มันคือ สัญลักษณ์ของความเป็นแม่ แต่หากคุณแม่อยากรักษาแผลเป็นนูนหลังคลอด ก็ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อน ยิ่งถ้าหากคุณแม่เคยมีปัญหาเรื่องแผลมาก่อนแล้ว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และเพื่อความปลอดภัยของร่างกายตัวเองค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ผ่าคลอดแนวยาว ผ่าคลอดแนวขวาง ข้อดีข้อเสีย และวิธีดูแลแผลผ่าคลอด
ปวดแผลผ่าคลอด เจ็บ ๆ เสียว ๆ เมื่อไหร่จะหายสักที เรื่องที่คุณแม่ผ่าคลอดควรรู้
10 เมนูอาหารคุณแม่หลังผ่าคลอด หลังผ่าคลอดกินอะไรได้บ้าง อะไรควรหลีกเลี่ยง
ที่มา : mgronline , www.vimut.com , โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน , Cleveland Clinic , Healthline , NIH , American Academy of Dermatology (AAD) , Mayo Clinic
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!