เสียงของพ่อแม่ คือเสียงที่ทรงพลังที่สุดในโลกของเด็กคนหนึ่ง แต่ถ้าเสียงนั้นเปลี่ยนจากเสียงที่อบอุ่นเป็นเสียง ตะคอกลูก ตะโกน หรือดุด่าด้วยความโกรธ มันอาจเปลี่ยนจากพลังเชิงบวกเป็นบาดแผลทางใจที่ยากจะลบเลือน
บางคนอาจคิดว่า “ก็แค่ตะโกน ไม่ได้ตี ไม่ได้ทำร้ายร่างกายซะหน่อย” แต่ความจริงแล้ว การตะคอกหรือใช้วาจารุนแรงเป็นการทำร้ายทางจิตใจรูปแบบหนึ่ง ที่ส่งผลร้ายทั้งต่อพัฒนาการทางอารมณ์ สมอง และพฤติกรรมของลูก
วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับผลกระทบของการ ตะคอกลูก ตะโกนใส่ลูก โดยอิงจากงานวิจัยทางจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ พร้อมคำแนะนำในการเปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูกที่ดีกว่า โดยไม่ต้องพึ่ง “เสียงดัง”
ตะคอกลูก เสียงดังไม่เพียงทำให้ใจสะดุ้ง แต่ยังสะเทือนถึงโครงสร้างสมอง
หลายคนอาจไม่เคยคิดว่า “แค่เสียงตะคอก” จะสามารถเปลี่ยนแปลง สมองของเด็ก ได้จริงหรือ? คำตอบคือ ได้จริง และพิสูจน์มาแล้วทางวิทยาศาสตร์ ผลการศึกษาจาก Harvard Medical School และ McLean Hospital (2001) โดย Dr. Martin Teicher แสดงให้เห็นว่า เด็กที่เติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีการใช้คำพูดรุนแรงบ่อยครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างสมองอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในสมองส่วน corpus callosum (เชื่อมโยงสมองซีกซ้าย-ขวา) และ hippocampus ซึ่งเกี่ยวข้องกับความจำและการควบคุมอารมณ์ พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีความหนาแน่นของเซลล์ประสาทในบางบริเวณลดลง และแสดงอาการของความวิตกกังวล ซึมเศร้า และสมาธิสั้น มากกว่ากลุ่มที่เติบโตในบ้านที่ใช้คำพูดเชิงบวกถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ จากการสำรวจของ American Psychological Association (APA) พบว่า เด็กที่ถูกดุด่าหรือตะคอกเป็นประจำ มีโอกาสพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าสูงขึ้น 33% และมีแนวโน้มพัฒนาเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวหรือมีปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตสูงถึง 43%
การเปลี่ยนแปลงทางสมองเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่ส่งผล ต่อความสามารถในการเรียนรู้ การควบคุมอารมณ์ การเข้าสังคม และความสุขในระยะยาว
เสียงตะคอก = การทำร้ายทางจิตใจ
การตะโกนใส่ลูก ตะคอกลูก ไม่ใช่แค่การระบายอารมณ์ชั่วคราวของพ่อแม่เท่านั้น แต่เป็นการส่งต่อความเครียด สร้างความกลัว และบั่นทอนความเชื่อมั่นในตนเองของลูก
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Pittsburgh (2014) พบว่า เด็กวัยรุ่นที่ถูกพ่อแม่ใช้วาจารุนแรง มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้า มีพฤติกรรมก้าวร้าว ติดยา และมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อคนรอบข้างในระยะยาว
แม้ไม่มีรอยแผลบนร่างกาย แต่การตะโกนซ้ำ ๆ จะสะสมเป็นรอยแผลลึกในใจ ยิ่งในช่วงวัย 0–6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สมองของเด็กกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว การได้รับ “ประสบการณ์เชิงลบซ้ำ ๆ” อาจกระทบการพัฒนาทางสมองโดยตรง

สมองของลูกเปลี่ยนไป เมื่อพ่อแม่เสียงดัง
สมองเด็กที่เติบโตมาในบ้านที่เต็มไปด้วยเสียงดุด่า จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในโครงสร้างและการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในส่วนที่ควบคุมอารมณ์
งานวิจัยจาก Harvard Medical School (2009) พบว่า เด็กที่ถูกพ่อแม่ใช้คำพูดรุนแรงหรือเสียงดังต่อเนื่อง มี “การหนาตัวของเนื้อสมองส่วน temporal gyrus” ซึ่งเป็นบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลอารมณ์และเสียง ส่งผลให้เด็กมีแนวโน้มที่จะไวต่อเสียง และพัฒนาอารมณ์วิตกกังวลในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น สมองส่วน amygdala ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความกลัวและภัยคุกคาม จะ “ตื่นตัวเกินปกติ” เด็กที่ถูกตะโกนบ่อย ๆ จึงมักตกใจง่าย ขาดความมั่นใจ และมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์
บั่นทอนความมั่นใจ สร้าง “บทสนทนาในใจ” เชิงลบ
ลองนึกภาพดูว่า ถ้าเด็กเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเสียงว่า
“แกนี่แย่จริง ๆ”
“ทำไมถึงโง่แบบนี้?”
“เงียบไปเลย อย่าเถียง!”
ข้อความเหล่านี้จะกลายเป็น “เสียงในใจ” ที่เด็กใช้พูดกับตัวเองไปตลอดชีวิต
เด็กอาจเริ่มตั้งคำถามกับคุณค่าของตนเอง เช่น
“ฉันคงไม่เก่งพอ”
“ฉันแย่เหมือนที่แม่บอก”
“ไม่มีใครรักฉันจริง”
และเมื่อเติบโตขึ้น เขาอาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่กลัวการผิดพลาด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือแสวงหาความรักจากคนอื่นเพราะรู้สึกว่า “ฉันไม่ดีพอ”

พฤติกรรมก้าวร้าวเกิดจากการเลียนแบบ
เด็กไม่ได้เรียนรู้แค่จากสิ่งที่พ่อแม่ “สอน” แต่เรียนรู้จากสิ่งที่พ่อแม่ “ทำ”
ถ้าพ่อแม่ใช้เสียงดัง ตะคอก หรือลงโทษด้วยคำพูดรุนแรง เด็กจะเรียนรู้ว่า
“เวลาโกรธ ฉันต้องตะโกน”
“ถ้าอยากได้อะไร ต้องเสียงดังถึงจะได้ผล”
ไม่แปลกเลยที่เด็กบางคนจะเริ่มตะโกนใส่เพื่อน โต้เถียงครู หรือพูดจาหยาบคาย เพราะมันคือสิ่งที่เขาคุ้นชินจากที่บ้าน
ความสัมพันธ์ในครอบครัวสั่นคลอนโดยไม่รู้ตัว
การตะคอกลูกบ่อยครั้งอาจทำให้ลูกเริ่มห่างเหิน ไม่กล้าพูดคุยหรือเล่าเรื่องกับพ่อแม่ เพราะกลัวจะถูกตำหนิหรือทำให้เสียใจอีกครั้ง
พ่อแม่อาจไม่ทันรู้ตัวว่า ความห่างเหินที่เพิ่มขึ้นนั้น เริ่มต้นจาก “เสียงของเราเอง”
ในระยะยาว เด็กที่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยที่บ้าน จะเริ่มหันไปหาความเข้าใจจากภายนอก เช่น เพื่อนที่มีอิทธิพล หรือโลกออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น พฤติกรรมเสี่ยง ความเหงา หรือการถูกล่อลวง
แต่…พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์นะ จะให้ไม่หลุดเลยเป็นไปได้ไหม?
แน่นอนค่ะว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนเพอร์เฟ็กต์ และไม่มีใครไม่เคยตะคอกลูกเลย
สิ่งสำคัญไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ แต่คือ “ความตระหนักรู้” และ “ความตั้งใจจะปรับเปลี่ยน”
สิ่งที่ลูกต้องการมากที่สุดไม่ใช่พ่อแม่ที่ไม่เคยพลาด แต่คือพ่อแม่ที่กล้ายอมรับเมื่อทำผิด และพร้อมจะกลับมาทำให้ดีขึ้น

แนวทางรับมือเมื่อลูกดื้อ และเรากำลังจะระเบิด
-
หยุดก่อน พักหายใจ
ก่อนที่เสียงจะเริ่มดัง ลองหยุดทุกอย่าง แล้วหายใจเข้า–ออกลึก ๆ 3 ครั้ง
แค่เวลา 10 วินาทีสามารถช่วยให้สมองส่วนเหตุผลกลับมาทำงานแทนสมองส่วนอารมณ์
-
พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงแต่ไม่ต้องดัง
แทนที่จะตะโกนว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ลองเปลี่ยนเป็น “แม่ไม่พอใจที่ลูกตีเพื่อน เราต้องหยุดพฤติกรรมนี้” การพูดด้วยน้ำเสียงสงบแต่จริงจังจะทำให้ลูกฟังมากกว่า และไม่กลัวจนปิดใจ
-
อธิบายพฤติกรรมที่ไม่เหมาะ ไม่ใช่ตัวตนลูก
เปลี่ยนจาก “ลูกดื้อ!” เป็น “ลูกไม่ฟังคำเตือนตอนนี้ ซึ่งไม่เหมาะสม”
การแยกพฤติกรรมออกจากตัวบุคคล จะช่วยให้ลูกไม่รู้สึกว่า “ฉันเป็นคนไม่ดี” แต่รู้ว่า “สิ่งที่ฉันทำผิด และฉันสามารถเปลี่ยนแปลงได้”
-
ขอโทษเมื่อตะโกนไปแล้ว
อย่าอายที่จะบอกลูกว่า “เมื่อกี้แม่เสียงดังไป แม่ขอโทษลูก แม่แค่เหนื่อย แต่แม่ไม่มีสิทธิ์ทำให้ลูกกลัว”
การขอโทษคือการสอนลูกถึง “ความรับผิดชอบต่ออารมณ์ตนเอง” และ “การฟื้นฟูความสัมพันธ์”
เสียงของพ่อแม่คือพลังมหาศาล
เสียงของพ่อแม่สามารถเป็น “สะพานเชื่อมใจ” หรือ “กำแพงความกลัว” ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้เสียงนั้นอย่างไร เราอาจไม่ได้หยุดเสียงตะคอกได้ทันทีในวันเดียว
แต่ทุกครั้งที่เราเลือก “พูดอย่างเข้าใจ” แทน “ตะคอกด้วยอารมณ์” เรากำลังปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความมั่นคงในใจลูกทีละนิด
จำไว้นะคะ… ลูกไม่ต้องการพ่อแม่ที่ไม่เคยผิด แต่ต้องการพ่อแม่ที่พร้อมจะรัก เข้าใจ และเติบโตไปด้วยกัน
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ลูกผิดได้ พ่อแม่ก็ผิดได้ พ่อแม่ที่ดีต้องกล้าขอโทษลูกเมื่อตัวเองทำผิด
เผลอตวาดลูก ต้องทำยังไง? วิธีก้าวข้ามความโกรธ สู่การเป็นพ่อแม่ที่ใจเย็น
EQ ต่ำ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว: 3 พฤติกรรมเล็ก ๆ บนโต๊ะอาหารที่พ่อแม่ควรรู้ทัน
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!