ในยุคที่ทักษะทางอารมณ์ (Emotional Quotient หรือ EQ) มีบทบาทสำคัญพอ ๆ กับ IQ ในการกำหนดความสำเร็จในชีวิต การปลูกฝัง EQ ที่ดีให้กับเด็กตั้งแต่วัยเยาว์จึงเป็นภารกิจสำคัญของพ่อแม่ โดยเฉพาะบน “โต๊ะอาหาร” ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างใกล้ชิด ล่าสุด ศาสตราจารย์ชื่อดังด้านพัฒนาการเด็ก ได้ออกมาเตือนว่า เด็กที่มีแนวโน้ม EQ ต่ำ มักจะแสดงพฤติกรรมบางอย่างซ้ำ ๆ บนโต๊ะอาหาร ซึ่งถ้าไม่รีบปรับเปลี่ยน อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมในระยะยาว
ในบทความนี้ เราจะพาคุณพ่อแม่มาทำความรู้จักกับ “3 พฤติกรรมสัญญาณเตือน” ของเด็ก EQ ต่ำ พร้อมวิธีการรับมืออย่างเข้าใจและอิงหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้การเลี้ยงลูกเต็มไปด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่การลงโทษ
EQ ต่ำ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว: 3 พฤติกรรมเล็ก ๆ บนโต๊ะอาหารที่พ่อแม่ควรรู้ทัน
พฤติกรรมที่ 1: ขาดการควบคุมอารมณ์เมื่อถูกปฏิเสธ (เช่น ร้องไห้ ฟาดจาน ตะโกนเสียงดัง)
พฤติกรรมแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการที่เด็กยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ผิดหวังหรือความไม่พอใจได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นหัวใจของ EQ ที่ดี เหตุผลทางวิทยาศาสตร์: งานวิจัยจาก Yale Center for Emotional Intelligence (Brackett, M. A. et al., 2011) ระบุว่า การที่เด็กขาดทักษะในการ “รับรู้และจัดการอารมณ์” มักจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือตอบสนองแบบสุดโต่งเมื่อถูกปฏิเสธ

วิธีรับมือ
ให้เวลาเด็กสงบอารมณ์ (Pause before response) ช่วยสะท้อนอารมณ์กลับ เช่น “แม่เข้าใจว่าหนูอยากกินไอศกรีมตอนนี้ แต่เราต้องกินข้าวก่อนนะ” สอนให้รู้จักคำว่า “ผิดหวัง” ด้วยการใช้เหตุการณ์จริงบนโต๊ะอาหารเป็นตัวอย่าง
พฤติกรรมที่ 2: ปฏิเสธการมีส่วนร่วม เช่น ไม่ยอมกินข้าวร่วมโต๊ะ หรือก้มหน้าเล่นมือถือตลอดเวลา
เด็กที่หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์มักมีปัญหาทางด้านการเชื่อมโยงทางสังคม (social connection) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ EQ ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ: Dr. Daniel Goleman ผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence (1995) ระบุว่า เด็กที่ขาดปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว จะมีแนวโน้มพัฒนา EQ ได้น้อยกว่าเด็กที่โตมากับบทสนทนาและกิจกรรมร่วมกัน

วิธีรับมือ
จัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดหน้าจอ ปิดทีวี วางมือถือ รวมถึงของเล่นต่าง ๆ ใช้บทสนทนาเปิด เช่น “วันนี้มีอะไรสนุก ๆ ที่โรงเรียนบ้าง” หรือ “ลูกคิดว่าเมนูวันนี้อร่อยไหม” สร้างบรรยากาศโต๊ะอาหารให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย (safe space) ที่เด็กสามารถพูดโดยไม่ถูกตำหนิ
พฤติกรรมที่ 3: ไม่ใส่ใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เช่น แย่งอาหาร ไม่รอคนอื่น หรือไม่ช่วยเก็บจาน
การเห็นอกเห็นใจ (empathy) เป็นแกนหลักของ EQ เด็กที่ไม่แสดงออกถึงการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น มีแนวโน้มมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมในอนาคต อ้างอิงทางวิชาการ: งานวิจัยโดย Hoffman, M. L. (2000) ระบุว่า การพัฒนา empathy เกิดขึ้นจากการฝึกฝนและการเป็นแบบอย่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในบริบทประจำวัน เช่น โต๊ะอาหาร

วิธีรับมือ
สร้างกติกากลาง เช่น “รอให้ทุกคนพร้อมก่อนจึงเริ่มกิน” ชมเชยเมื่อเด็กแสดงออกถึงการช่วยเหลือหรือรอคอย เช่น “แม่ดีใจมากเลยที่หนูช่วยน้องหยิบช้อนนะ” สอนผ่านการเล่าเรื่อง เช่น นิทานที่สอนเรื่องการแบ่งปันหรือช่วยเหลือผู้อื่น
|
ทำไม “โต๊ะอาหาร” ถึงสำคัญกับพัฒนาการ EQ?
|
1. เป็นพื้นที่ฝึกสื่อสาร |
เด็กได้เรียนรู้การพูดคุย แสดงออก และฟังผู้อื่น |
2. สะท้อนแบบอย่างจากพ่อแม่ |
พฤติกรรมของพ่อแม่ขณะกินข้าว จะถูกจดจำและเลียนแบบ |
3. สร้างความมั่นคงทางอารมณ์ |
มื้ออาหารที่เป็นกิจวัตร ช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง (routines create stability) |
สถิติน่าสนใจ: จากผลสำรวจของ Harvard School of Public Health (2014) พบว่า เด็กที่กินข้าวร่วมกับครอบครัว 5 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ มีคะแนน EQ สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวถึง 30%
ปรับวันนี้ ลูก EQ ดีได้ในอนาคต
EQ ไม่ใช่สิ่งที่ “มีหรือไม่มี” แต่เป็นทักษะที่สร้างและพัฒนาได้ และโต๊ะอาหารคือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่หลายคนคิด หากลูกคุณแสดงพฤติกรรมที่กล่าวมา อย่าเพิ่งตกใจหรือรู้สึกผิด แต่จงเห็นว่ามันคือ “โอกาส” ที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ร่วมสร้างความเข้าใจทางอารมณ์ สร้างบทสนทนา และแบบอย่างที่ดีในทุกมื้ออาหาร เพราะมื้ออาหารที่ดี ไม่ใช่แค่กินให้อิ่ม…แต่ต้องเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ ความเข้าใจ และความรัก
อ้างอิง:
- Brackett, M. A., et al. (2011). “Measuring and Developing Emotional Intelligence with the RULER Approach.” Journal of Education Psychology.
- Goleman, D. (1995). Emotional Intelligence. Bantam Books.
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
8 วิธีฝึกลูกจัดการความโกรธ สยบอารมณ์ขุ่นมัวอย่างสร้างสรรค์
ข้อตกลงการใช้โทรศัพท์มือถือ ของลูก กฎแบบไหนให้เสรี และมีความปลอดภัย
10 วิธีเด็ดรับมือ วัยต่อต้าน ปราบลูกดื้อด้วยความเข้าใจ
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!