“ไม้เรียว” เคยเป็นสัญลักษณ์ของการสั่งสอนลูกที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกันอยู่บ้าง แต่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การสร้าง “วินัยเชิงบวก” ได้กลายมาเป็นแนวทางการเลี้ยงดูที่ได้รับความนิยมมากกว่า เพราะเน้นการทำความเข้าใจ สื่อสาร และเคารพในตัวตนของเด็ก การดุลูกจึงไม่ใช่แค่การ “ลงโทษ” หรือ “ทำให้กลัว” แต่เป็นการ “สอน” ให้ลูกรู้จักผิดชอบชั่วดี และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ บทความนี้ จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทลายกำแพงความเชื่อเดิมเกี่ยวกับการดุลูก ค้นให้พบเทคนิค ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ เทคนิคสร้าง “เด็กดี” แบบ “เข้าใจ” และไม่ “ทำร้าย” จิตใจลูกค่ะ

ลูกน้อยทำความผิด เข้าใจ ยอมรับ และเติบโตไปด้วยกัน
“ทำไมลูกถึงทำแบบนี้?” “โตขึ้นจะนิสัยไม่ดีหรือเปล่า?” อาจเป็นความกังวลใจของคุณพ่อคุณแม่เมื่อลูกน้อยทำความผิด ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ากังวลใจที่พอจะเข้าใจได้ค่ะ แต่เมื่อลูกทำผิดก่อนจะรีบร้อนดุหรือลงโทษ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองปรับมุมมอง ในอีกด้านหนึ่ง เพื่อมอง “ความผิดพลาด” เป็น “โอกาส” ในการเรียนรู้ และเติบโตไปด้วยกันดีกว่าค่ะ
เริ่มจากการค้นให้ลูกถึงเหตุผลว่า ทำไมลูกน้อยถึงทำผิด ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยมาก ดังนี้
|
ทำไม? ลูกถึงทำผิด มีปัจจัยไรเป็นสาเหตุได้บ้าง
|
พัฒนาการ |
เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กนั้น ยังแยกแยะถูกผิด และควบคุมตัวเองได้ไม่ดีนักค่ะ การทำผิดพลาด จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ |
อยากรู้อยากเห็น |
โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจค่ะ สำหรับเด็กๆ การได้ลองผิดลองถูกคือวิธีการเรียนรู้และ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเอง |
เลียนแบบ |
เด็กจะเรียนรู้จากการสังเกต และเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ และคนรอบข้าง ดังนั้น พฤติกรรม “ไม่เหมาะสม” ของลูก อาจสะท้อนพฤติกรรมของผู้ใหญ่ก็เป็นได้ค่ะ |
เรียกร้องความสนใจ |
บางครั้งพฤติกรรม “ดื้อ” หรือ “แกล้ง” อาจเป็นสัญญาณว่าลูกต้องการเวลา และความสนใจจากพ่อแม่มากขึ้น |

เมื่อลูกทำผิด ควรจัดการยังไง? เทคนิค ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ
การสร้างวินัยเชิงบวกด้วยความเข้าใจ ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ นั้น มีขั้นตอนและวิธีที่จะแนะนำคุณพ่อคุณแม่ดังต่อไปนี้ค่ะ
-
ควบคุมอารมณ์
“สติ” คือสิ่งสำคัญมาสำหรับการเป็นคุณพ่อคุณแม่นะคะ เมื่อไรก็ตามที่ลูกทำผิด “ตั้งสติ” ก่อนค่ะ แล้วควบคุมอารมณ์โกรธ หรือไม่พอใจของตัวเองให้ได้ อย่า “ลงโทษ” ลูก ด้วยความโมโห หรืออารมณ์ชั่ววูบ ท่องไว้เพื่อเตือนใจว่า ประสบการณ์ เหตุผล และความรู้ผิดถูกของเรากับลูกนั้น “คนละเลเวล” กัน จะใช้มาตรฐานของวัยวุฒิตัวเองตัดสินลงโทษลูกในทันทีทันใดไม่ได้ และควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่รุนแรง หรือเสียงตวาดที่แรงและดุดันเกินไป แต่ให้ใช้น้ำเสียงที่นิ่ง สงบ และมีเหตุผลค่ะ

|
คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก เสี่ยงแผลในใจ-ต่อต้าน
|
คำสั่งห้าม เช่น “ไม่ อย่า หยุด” |
- จะทำให้ลูกขาดความมั่นใจ เพราะกลัวทำผิด หรือทำแล้วไม่ถูกใจผู้อื่น
- ลูกจะไม่กล้าคิดและไม่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ อาจเสียโอกาสที่จะเรียนรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร และทำอะไรได้
- ใช้คำห้ามได้แต่ต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจถึงเหตุผลว่า ทำสิ่งนี้ไม่ได้เพราะอะไร
|
คำพูดขู่ |
- ทำให้ลูกเกิดความหวาดระแวง กลายเป็นคนขี้กลัว
- สร้างความเข้าใจผิดให้กับลูกว่า การได้มาซึ่งความรักจะต้องมีเงื่อนไขเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจนำไปสู่การสูญเสียความนับถือในตัวเองและผู้อื่น
- ลูกไม่สามารถใช้ความคิดและเหตุผลในการไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เกิดความเปราะบางทางด้านจิตใจ
- เมื่อเจอปัญหา ลูกจะกลัวและไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง
|
พูดเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น |
- เป็นการทำร้ายจิตใจ และรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไม่มีความสามารถ ไม่เก่งหรือไม่ดีพอเท่ากับเด็กคนอื่น
- ส่งผลให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ
- อาจทำให้เกิดนิสัยขี้อิจฉา สร้างความเกลียดชังให้กับคนที่ถูกนำมาเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว
- ลูกอาจต่อต้าน บางคนอาจแสดงออกด้วยความก้าวร้าว รุนแรง และพยายามทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงกันข้ามกับที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ
|
พูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ |
- ลูกรู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่กล้าแสดงออก เครียด และกดดันตัวเอง
- กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
- ไม่ไว้ใจผู้อื่น หรือมุ่งสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
- อาจแสดงความก้าวร้าว รุนแรง ต่อต้านผู้ปกครอง
|
ตวาดหรือพูดด้วยอารมณ์ เมื่อโมโห หรือขาดสติ |
- เกิดการจดจำและนำไปลอกเลียนแบบได้ เพราะลูกจะซึมซับและคิดว่าการพูดไม่ดีเป็นสิ่งที่ทำได้
- กลายเป็นเด็กก้าวร้าวในอนาคต
|
สั่งลูกไม่ให้ร้องไห้ |
- ลูกอาจรู้สึกกลัวมากขึ้น และไม่สามารถหยุดร้อง หรือจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้
- รู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นทุกข์อยู่
|
ใช้คำพูดล้อเลียน |
- รู้สึกอาย ไม่มั่นใจในตัวเอง
- หวาดกลัวที่จะโดนล้อเลียนจากครอบครัวและผู้อื่น
- ทำให้ลูกไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น จนอาจกลายเป็นปมในใจได้
|
พูดเข้าข้างเมื่อลูกทำผิด |
- เป็นการสร้างนิสัยเอาแต่ใจและไม่ยอมคนให้กับลูก เป็นการตามใจลูกในทางที่ผิด
- ทำให้ลูกไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี เมื่อโตขึ้นก็จะรับไม่ได้เมื่อถูกต่อว่าหรือตำหนิ
|

-
ฟังความรู้สึกของลูก
โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องเปิดใจรับฟัง ให้โอกาสลูก “อธิบาย” หรือ “แก้ตัว” เพื่อฟังความรู้สึกของลูกด้วยความเข้าใจ มองในมุมของความเป็นเด็ก และพยายามเข้าใจสถานการณ์ และความคิดของลูก
-
ดุที่ “พฤติกรรม” ไม่ใช่ “ตัวตน”
เวลาลูกทำผิดให้ “ดุที่การกระทำ” ของลูก เช่น “หนูไม่ควรตีน้องนะ มันทำให้เจ็บ” แทนที่จะ “ดุที่ตัวตน” เช่น “หนูเป็นเด็กไม่ดี ชอบรังแกน้อง” ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องแยกแยะ “คน” กับ “ปัญหา” ออกจากกัน ให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่รักและยอมรับในตัวลูกเสมอ แม้ว่าลูกจะทำผิด แต่พ่อแม่ไม่พอใจในพฤติกรรมนั้นๆ ไม่ใช่ไม่พอใจตัวลูก
-
อธิบายเหตุผล
ภายหลังจากการดุที่พฤติกรรมแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกเข้าใจโดยอธิบายเหตุผลว่า ทำไมพ่อแม่ถึงดุ เช่น “ที่แม่ดุ เพราะแม่เป็นห่วง กลัวหนูจะได้รับอันตราย” รวมถึงควรสร้างกฎและขอบเขตให้ลูกเข้าใจผลที่จะตามมา เมื่อลูกละเมิดกฎ ที่สำคัญคือ ควรเป็นกฎที่บังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันในบ้าน ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่ หรือลูกน้อย ต่างต้องยึดเป็นหลักปฏิบัติร่วมกัน โดยควรได้รับความยินยอมจากสมาชิกภายในบ้านทุกคนในการตั้งกฎกติกาด้วย
-
สอน และแก้ไข
ด้วยการให้คำแนะนำ และให้อภัย คือ
- ให้คำแนะนำ หลังจากดุ ให้ “สอน” และ “แนะนำ” วิธีที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงพฤติกรรม
- ให้อภัย เมื่อลูก “สำนึกผิด” และ “ขอโทษ” คุณพ่อคุณแม่ต้อง “ให้อภัย” ลูก และให้โอกาสลูก “แก้ตัว” และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น
-
แสดงความรัก
หลังจากดุลูกด้วยเหตุผลแล้ว สิ่งสำคัญที่อย่าละเลยคือ การมอบความรักให้กับลูกเหมือนเดิน ด้วยการกอดและบอกรักลูก เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย รวมถึงเกิดความมั่นใจว่าพ่อแม่ยังคงรักลูกเสมอ นอกจากนี้ ยังควรใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เช่น เล่นเกม อ่านหนังสือ เพื่อช่วยกระชับความสัมพันธ์ และเยียวยาความรู้สึกต่างๆ ที่อาจเกิดตามมาหลังการถูกดุหรือถูกลงโทษด้วยค่ะ

ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ วิธีลงโทษลูกอย่างสร้างสรรค์
จริงๆ แล้วการปรับพฤติกรรมลูกน้อยนั้นมีหลักการง่ายๆ คือ เพิ่มพฤติกรรมดีด้วยการให้แรงเสริม เช่น คำชม รางวัล แต่หากอยากลดพฤติกรรมไม่ดี ก็ต้องลงโทษ ซึ่งการลงโทษนั้นมีหลายวิธีค่ะ แต่เราขอแนะนำเฉพาะวิธีที่จะไม่สร้างบาดแผลในใจให้กับลูก หรือการลงโทษที่สร้างสรรค์ ดังนี้
-
ใช้กฎ Time out
คือ ให้ลูกหยุดทำกิจกรรมชั่วคราว และสงบอารมณ์ด้วยตัวเอง ทำได้โดยตั้งกติกาให้ลูกรับรู้ว่าเมื่อมีอารมณ์หรือพฤติกรรมไม่เหมาะสม ต้องมาอยู่ในบริเวณที่กำหนดไว้จนกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ โดยต้องเป็นบริเวณที่ปลอดภัย สงบ ไม่มีสิ่งกระตุ้น เมื่อลูกสงบแล้ว สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำ Time in ทันที โดยเข้าไปชื่นชมที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ กอดให้กำลังใจ ตามด้วยการสอนสิ่งที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้ลูกทำผิดซ้ำค่ะ
-
การตัดสิทธิ์
หมายถึงการงดกิจกรรม หรือหยิบจับ เล่น สิ่งของที่ลูกชอบ แต่ก็ควรมีการทำข้อตกลงร่วมกันก่อนล่วงหน้าว่ามีกติกาข้อนี้ภายในบ้าน เช่น งดการดูการ์ตูน งดกินขนมที่ชอบ งดการเล่นของเล่น เมื่อลูกทำผิดหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
-
ให้แสดงความรับผิดชอบ
เมื่อลูกทำผิด นอกจากต้องเรียนรู้และยอมรับผิดแล้ว ยังต้องเรียนรู้การแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยค่ะ โดยควรลูกให้ทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ และสร้างสรรค์ แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ลูกไม่ชอบนักนะคะ (เพราะเป็นการลงโทษนี่นา) เช่น ให้ทำงานบ้านที่ลูกสามารถทำได้ หรือให้เก็บออมเงินเพื่อชดเชยข้าวของที่เสียหาย เป็นต้น
-
ลงโทษด้วยการวางเฉย
ไม่ได้บอกว่าให้เลิกสนใจลูกนะคะ แต่หมายถึง ต้องไม่ให้ความสนใจใดๆ ใช้กับพฤติกรรมที่เรียกร้องความสนใจของลูก ซึ่งต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่มีอันตรายด้วย เช่น ส่งเสียงดัง งอแง แต่หากมีพฤติกรรมรุนแรง อย่างทุบตีตัวเองหรือคนอื่น พังหรือขว้างปาสิ่งของ ต้องจับหยุดทันทีเพื่อป้องกันอันตราย และให้ลูกเรียนรู้ว่าทำพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ เมื่อพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจหยุดลงให้รีบชื่นชมทันที เพื่อให้แรงเสริมกับพฤติกรรมดี ซึ่งลูกจะดีขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้การดุ บ่น หรือเตือนบ่อยๆ ค่ะ

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่จะทำให้การลงโทษอย่างสร้างสรรค์มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การที่คุณพ่อคุณแม่มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองก่อนการลงโทษลูก ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม และต้องระลึกไว้ว่าการลงโทษอย่างเดียวเป็นแค่การลดพฤติกรรมไม่ดีเท่านั้น หากจะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดควรใช้ควบคู่กับการให้แรงเสริมทางบวกกับพฤติกรรมดีๆ เสมอ เมื่อเกิดพฤติกรรมดีมากขึ้น พฤติกรรมไม่ดีจะค่อยๆ หายไปเองค่ะ

การดุลูกเป็น “ศิลปะ” อย่างหนึ่งที่ต้องใช้ “ความรัก” “ความเข้าใจ” และ “สติปัญญา” นะคะ ซึ่งการดุที่ถูกวิธีจะช่วยให้ลูกเรียนรู้ เติบโต และพัฒนาเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกบ้านนะคะ
ที่มา : www.pptvhd36.com , สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
สอนลูกให้รู้เท่าทันควันบุหรี่ เมื่อขนมหน้า ร.ร. อาจเพิ่มความเสี่ยงเด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้า
7 วิธี สอนลูกให้มี Logical Thinking รู้ถูกผิด รู้หน้าที่ อยู่เป็น คิดได้
อย่าเพิ่งตื่นตูม! ลูกพูดคำหยาบ กำราบอย่างนุ่มนวลได้ด้วย 7 เทคนิคง่ายๆ
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!