วิธีหนึ่งที่ช่วยระงับความเจ็บปวดขณะแพทย์ทำคลอด คือ บล็อกหลังคลอดลูก สามารถทำได้ทั้งในการคลอดแบบธรรมชาติและการผ่าคลอด การบล็อกหลังคลอดลูกนี้ คุณแม่มือใหม่อาจยังมีความกังวลว่า ขณะทำการคลอดและหลังคลอดแล้ว จะส่งผลข้างเคียงต่อตนเองและทารกหรือไม่ เราไปดูกันว่า วิธีบล็อกหลังมีกี่แบบ และมีแบบใดบ้าง
บล็อกหลังคลอดลูก มีแบบไหนและมีขั้นตอนอย่างไร
คุณแม่ที่ไม่เคยผ่านการคลอดลูกมาก่อน มักจะกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อได้ยินคำว่าบล็อกหลังคลอดลูก ซึ่งการวางยาชานี้ จะถูกดำเนินการโดยวิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งวิสัญญีแพทย์จะทำการฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง ผ่านเข้าชั้นผิวหนัง เพื่อทำให้บริเวณกลางลำตัวตั้งแต่บั้นเอว ชาไปถึงช่วงล่าง คุณแม่จะยังมีสติ สามารถพูดคุย ตอบโต้กับคนรอบข้างได้ การฉีดยาชาจะทำเมื่อปากมดลูกเปิดออกมาประมาณ 3-4 เซนติเมตร หรือทางการแพทย์เรียกว่าช่วง Active Phase ของการคลอดบุตร ตอนนี้แหละที่มดลูกจะบีบ หด และขยายตัว ทุก ๆ 3-4 นาที
1. บล็อกหลังแบบ Epidural
การบล็อกหลังแบบนี้ วิสัญญีแพทย์จะนำหลอดเข็มขนาดเล็ก ฝังเข้าที่ไขสันหลังของคุณแม่ ซึ่งหลอดยาดังกล่าวจะถูกฝังตัวและค่อย ๆ ปล่อยยาชาออกมาอย่างช้า ๆ เข้าสู่ชั้นผิวหนัง คุณแม่จะเกิดอาการชาและไร้ความรู้สึกในที่สุด ซึ่งวิธีการบล็อกหลังแบบ Epidural นี้ เหมาะกับคุณแม่ที่เลือกคลอดแบบธรรมชาติ ที่บังเอิญเกิดความเจ็บปวดระหว่างคลอดจนทนไม่ไหวแล้วขอให้คุณหมอให้ยาชาด่วน
ข้อดี
- สามารถทำได้ทันทีระหว่างคลอด
- สามารถทำช่วงใดก็ได้ระหว่างคลอด ถ้าคุณแม่ทนความเจ็บปวดไม่ไหว
- หลังจากฉีดยาเข้าไขสันหลังแล้ว ยาชาจะออกฤทธิ์หลัง 5-10 นาทีทันที
- ร่างกายตั้งแต่ช่วงบั้นเอวลงไป จะไร้ความรู้สึกจากการบีบรัดของมดลูกระหว่างคลอด
ข้อเสีย
- คุณแม่จะไม่มีความรู้สึกในการควบคุมอุ้งเชิงกรานของตนเองได้
- หากไร้ความรู้สึกมาก ๆ บริเวณอุ้งเชิงกราน แพทย์อาจต้องอาศัยคีมช่วยดึงทารกขณะทำคลอด
- อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้คือ ร่างกายสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะมาก
- ถ้าคลอดแล้วแต่ยังมีอาการข้างเคียง คุณแม่ต้องได้รับการรักษาต่อไป
2. บล็อกหลังแบบ Spinal Block
การบล็อกหลังคลอดลูกธรรมชาติ และผ่าคลอด อีกวิธีหนึ่งคือ Spinal Block จะเป็นวิธีที่รวดเร็ว โดยแพทย์จะเจาะกระดูกเข้าไขสันหลังฉีดยาชาเข้าไป เพื่อให้ออกฤทธิ์ภายใน 1-2 นาที ซึ่งตั้งแต่บั้นเอวของคุณแม่ลงไปถึงช่วงล่างจะชาทันที เหมาะกับคุณแม่ที่ต้องคลอดด่วน เพราะฤทธิ์ยาจะอยู่ได้เพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
ข้อดี
- สำหรับคุณแม่ที่คลอดเร่งด่วน คุณหมอสามารถบล็อกยาเข้าไขสันหลังทันที
- ยาออกฤทธิ์เร็ว คุณแม่จึงไม่ต้องทนกับความเจ็บปวดนานนัก
ข้อเสีย
- ยาจะออกฤทธิ์แค่ 2-3 ชั่วโมง ถ้าลูกยังไม่คลอด ร่างกายจะปวดขึ้นเรื่อย ๆ
- เมื่อกลับมาปวดอีก แพทย์ไม่สามารถบล็อกหลังด้วยยาชาเป็นครั้งที่ 2 ได้อีกแล้ว
- ปากมดลูกจะบวมมากในคุณแม่บางท่าน
- คุณแม่จะปวดศีรษะมาก เนื่องจากผลข้างเคียงของการฉีดยาเข้าไขสันหลังที่ต้องแทงในระดับลึกมาก
บทความที่เกี่ยวข้อง: ผ่าคลอด VS คลอดธรรมชาติ ส่งผลกับภูมิต้านทานตั้งต้นอย่างไร
3. บล็อกหลังแบบผสม Epidural และ Spinal Block
การบล็อกหลังแบบผสม วิธีนี้แพทย์จะใช้เข็มขนาดใหญ่บรรจุเข็มขนาดเล็กข้างใน แล้วแทงเข้าไปที่กระดูกสันหลัง ซึ่งเข็มเล็ก ๆ จะแทงลงลึกไปตามแนวไขสันหลังที่ค่อย ๆ ปล่อยยาชาเข้าไปแบบ Spinal เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เร็ว หากทารกยังไม่คลอดจากมดลูก คุณหมอจะบล็อกหลังอีกครั้งในระดับ Epidural ทางเข็มหลอดใหญ่ โดยไม่ต้องแทงซ้ำเพื่อลดความเจ็บปวดของคุณแม่
ข้อดี
- การบล็อกแบบผสมคือ ตัวยาออกฤทธิ์เร็ว และมีการฉีดยาเข้าทันทีได้โดยไม่ต้องแทงไขสันหลังซ้ำ
ข้อเสีย
- คุณแม่จะมีอาการสั่นได้ คันตามเนื้อตัว มีทั้งอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนหลังคลอด
การคลอดลูกโดยใช้วิธีบล็อกหลังมีข้อดีอย่างไร
เชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่าน อาจกำลังหวาดเสียวและกลัวการบล็อกหลัง กับภาพที่ถูกบอกเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ต้องนอนงอหลังแล้วคุณหมอจะค่อย ๆ แทงเข็มบรรจุยาชาผ่านกระดูกเข้าไขสันหลัง แต่ทราบหรือไม่ว่า การบล็อกหลังนั้นก็มีข้อดี เช่น
- คุณแม่ที่ไม่สามารถทนความเจ็บปวดระหว่างคลอดธรรมชาติได้ สามารถขอให้คุณหมอบล็อกหลังได้ทันที
- คุณแม่จะรู้สึกตัวตลอดเวลาขณะที่คุณหมอทำคลอด สามารถพูดคุยกับคุณพ่อที่คอยให้กำลังใจข้างเตียงได้
- ปลอดภัยต่อทารก เนื่องจากร่างกายลูกน้อยจะไม่ถูกกดลมหายใจ จากการดมยาสลบของคุณแม่
- ระหว่างคุณหมอเย็บแผลผ่าคลอด คุณแม่จะไม่รู้สึกเจ็บเลย
อาการข้างเคียงจากการบล็อกหลังคลอดลูก
1. อาการเจ็บร้าวลงขา
เนื่องจากการบล็อกหลังจะมีการแทงเข็มขนาดเล็กเข้าที่กระดูกสันหลัง ในระดับเดียวกับบั้นเอว ตรงนี้อาจทำให้เจ็บร้าวตั้งแต่สันหลังลงไปถึงช่วงขา หลังคลอดลูก
2. ความดันโลหิตลดลงขณะคลอด
การบล็อกหลังอาจทำให้คุณแม่บางท่านมีความดันเลือดลดลง ส่งผลให้เลือดที่ไปหล่อเลี้ยงมดลูกและรก ลดลงตามไปด้วย หากเข้าขั้นร้ายแรง อาจทำให้ทารกอยู่ในภาวะขาดออกซิเจนจนทำให้หัวใจเต้นช้าลงหรือหยุดเต้น
3. มีอาการชาอย่างต่อเนื่อง
ปกติแล้วคุณแม่จะหายจากอาการชาสัก 1 ชั่วโมง แต่สำหรับคุณแม่บางท่านที่ผ่านการบล็อกหลัง แบบผสมอาจต้องใช้เวลานานถึง 2-4 ชั่วโมงจึงจะขยับตัวได้ อีกทั้งไม่สามารถให้นมลูกได้ทันที เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียมาก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ผ่าคลอด
4. การขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติ
คุณแม่ที่มีผลข้างเคียงต่อการบล็อกหลังจนชามาก ๆ จะเกิดอาการปัสสาวะไม่ออก ปวดกระเพาะปัสสาวะ หากภายใน 12 ชั่วโมงยังไม่ดีขึ้น แพทย์จะทำการสวนปัสสาวะทันที
5. ปวดหลังอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากหลังของคุณแม่เกิดอาการบอบช้ำที่ไขสันหลัง คุณแม่บางท่านจะมีอาการปวดหลังในช่วง 2 เดือนแรก ถ้านานกว่านั้นต้องพบแพทย์ทันที
บทความที่เกี่ยวข้อง: เมื่อแม่ต้อง บล็อกหลัง ผลข้างเคียง ที่อาจเกิดขึ้นได้มีอะไรบ้าง?
การเตรียมตัวก่อนบล็อกหลังคลอดลูก
ปกติแล้วการบล็อกหลังเพื่อทำการผ่าตัดใด ๆ ก็ตาม แพทย์จะต้องเตรียมความพร้อมก่อนกระทำการนี้ ดังนั้นคุณแม่ท้องก็เช่นกัน การปรึกษาคุณหมอบ่อย ๆ ระหว่างตั้งครรภ์เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะคลอดลูกไม่ว่าจะแบบธรรมชาติหรือผ่าคลอดก็ตาม ล้วนมีความสำคัญมาก ซึ่งการเตรียมตัวคลอดลูกแล้วต้องใช้การบล็อกหลังเข้าช่วย ควรปฏิบัติดังนี้
- หากคุณแม่กินอาหารเสริมหรือสมุนไพรชนิดใดก็ตามควรแจ้งแพทย์ก่อน
- งดน้ำและอาหารตามแพทย์สั่ง
- งดแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ก่อนคลอดลูก (จริง ๆ แล้วระหว่างตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเหล้าและสูบบุหรี่เลย)
- หากต้องกินยาใด ๆ ก่อนบล็อกหลังควรดื่มน้ำน้อย ๆ ค่อย ๆ จิบ
- วันคลอดลูก ควรมาก่อนเวลาและพาผู้ติดตามไม่ว่าจะครอบครัวหรือญาติมาด้วย
อย่างไรก็ตาม การบล็อกหลังคลอดลูก ถือเป็นวิธีหนึ่งซึ่งช่วยระงับการเจ็บปวดต่อคุณแม่ขณะคลอด ทั้งนี้แพทย์จะเลือกวิธีอย่างเหมาะสม อาจจะบล็อกหลังหรือใช้การดมยาสลบ โดยประเมินจากสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ และความเร่งด่วน ความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารก
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
16 เคล็ดลับ ช่วยแม่ท้อง คลอดธรรมชาติ
น้ำคร่ำแตก เป็นอย่างไร มีอาการแบบไหน ใกล้คลอดหรือยังแบบนี้
หลังผ่าคลอด เท้าบวม ทำไงดี? มีวิธีช่วยลดอาการเท้าบวมไหม
ที่มา sanook , motherhood , amarinbabyandkids
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!