การอยู่ไฟหลังผ่าคลอดเป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดมายาวนานของไทย โดยมีความเชื่อว่าช่วยฟื้นฟูร่างกายของผู้หญิงหลังคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ขับน้ำคาวปลา น้ำนมไหลสะดวก และป้องกันโรคหลังคลอด แต่ยังมีคุณแม่หมายท่านที่ยังเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการอยู่ไฟหลังคลอดว่า แม่ผ่าคลอดอยู่ไฟได้ไหม เพราะว่าไม่ได้คลอดเองโดยธรรมชาติ ยังจะหนาวใน หรือหนาวเข้ากระดูกอยู่ไหม วันนี้เรามาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ
การอยู่ไฟ คืออะไร
การอยู่ไฟหลังผ่าคลอดเป็นการกระทำที่มีมาตั้งแต่โบราณในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในประเทศไทย โดยการอยู่ไฟมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายของแม่หลังคลอด กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยให้มดลูกหดตัวกลับไปสู่สภาพปกติได้เร็วขึ้น โดยระยะเวลาในการอยู่ไฟ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามลักษณะการคลอดดังนี้
- คลอดธรรมชาติ: อยู่ไฟได้ตั้งแต่ 7 วัน ถึง 3 เดือน
- ผ่าคลอด: รอให้แผลผ่าตัดหายสนิทก่อน แล้วจึงเริ่มอยู่ไฟได้ แต่ไม่ควรเกิน 3 เดือน
ประโยชน์ของการอยู่ไฟหลังคลอด
- ช่วยฟื้นฟูร่างกาย: หลังการคลอด ร่างกายของคุณแม่จะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง การอยู่ไฟช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูเร็วขึ้น โดยเฉพาะการทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเมื่อย การอยู่ไฟยังช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอจากการคลอดให้กลับมาแข็งแรงเร็วขึ้น
- ขับของเสียออกจากร่างกาย: ความร้อนจากการอยู่ไฟจะช่วยกระตุ้นการขับเหงื่อ ทำให้ของเสียและสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายถูกขับออกไป การขับเหงื่อยังช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสและเปล่งปลั่งมากขึ้น
- ปรับสมดุลฮอร์โมน: หลังคลอด ร่างกายของคุณแม่จะต้องปรับสมดุลฮอร์โมน ซึ่งมักส่งผลให้เกิดอาการวูบวาบหรืออารมณ์แปรปรวน การอยู่ไฟจะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเหล่านี้ ลดอาการไม่พึงประสงค์ และช่วยให้คุณแม่รู้สึกสมดุลมากขึ้น
- บรรเทาอาการบวม: หลังคลอด ร่างกายของคุณแม่มักจะมีอาการบวมเนื่องจากการกักเก็บน้ำในร่างกาย ความร้อนจากการอยู่ไฟจะช่วยลดอาการบวมเหล่านี้ ทำให้ร่างกายรู้สึกเบาสบายมากขึ้น
- เสริมสร้างสุขภาพจิต: การอยู่ไฟไม่เพียงแต่มีประโยชน์ทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การอบอุ่นร่างกายช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในช่วงหลังคลอด
- กระตุ้นการไหลของน้ำนม: การอบอุ่นร่างกายด้วยการอยู่ไฟจะช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำนมและการไหลของน้ำนม ทำให้น้ำนมไหลดีขึ้น ช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากน้ำนมแม่อย่างเพียงพอ
- เพิ่มพลังงานและความสดชื่น: การอยู่ไฟจะช่วยเพิ่มพลังงาน ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า คุณแม่จะมีแรงและความกระตือรือร้นในการดูแลลูกน้อยและทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ตาม การอยู่ไฟควรทำด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด การเลือกสถานที่และผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์และความรู้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณแม่ได้รับประโยชน์จากการอยู่ไฟอย่างเต็มที่ และช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
บทความที่น่าสนใจ: แชร์ประสบการณ์ไม่ได้อยู่ไฟ ทำอย่างไรให้หายหนาว ตามฉบับแม่มายด์
ขั้นตอนการอยู่ไฟ
การอยู่ไฟเป็นกระบวนการบำบัดและฟื้นฟูร่างกายของหญิงหลังคลอดบุตรที่มีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยมายาวนาน การอยู่ไฟช่วยในการปรับสมดุลร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อย ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การอยู่ไฟยังช่วยให้มดลูกหดตัวและกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ลดอาการบวมและปวดจากการคลอด รวมทั้งช่วยให้ร่างกายกลับมามีแรงและสุขภาพดีขึ้นได้อีกครั้ง การอยู่ไฟมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่ต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องและครบถ้วน ดังนี้
1. การเตรียมตัว
ในการอยู่ไฟนั้นจะต้องเตรียมอุปกรณ์หลายอย่าง รวมถึงสมุนไพรที่จะต้องใช้ในการอยู่ไฟ ดังต่อไปนี้
- เตาอั้งโล่: เป็นเตาที่ใช้สำหรับเผาถ่านเพื่อให้เกิดความร้อน เตานี้ต้องมีขนาดที่เหมาะสมและสามารถควบคุมความร้อนได้ดี
- ถ่าน: ใช้เป็นแหล่งพลังงานให้ความร้อน ต้องเลือกถ่านที่มีคุณภาพดี ไม่ทำให้เกิดควันมาก
- ผ้าห่มหนา: ใช้สำหรับคลุมร่างกายเพื่อรักษาความร้อนและช่วยในการอบตัว
- เก้าอี้ไม้ไผ่หรือเตียงไม้: ใช้สำหรับรองรับร่างกาย โดยออกแบบให้ความร้อนสามารถผ่านได้สะดวก
- หม้อและภาชนะสำหรับต้มสมุนไพร: ต้องเป็นภาชนะที่สามารถทนความร้อนได้ดี และไม่ทำให้สารสำคัญในสมุนไพรเสียหาย
- ขมิ้นชัน: มีสรรพคุณในการลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้น
- ไพล: ช่วยลดอาการปวด บวม และอักเสบ
- ตะไคร้: มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
- ผิวมะกรูด: ช่วยบำรุงผิวพรรณและให้กลิ่นหอมสดชื่น
2. การอบตัว
- การต้มสมุนไพร
- นำสมุนไพรที่เตรียมไว้มาล้างให้สะอาด แล้วใส่ลงในหม้อต้ม ต้มจนกลิ่นและสารสกัดจากสมุนไพรออกมาในน้ำ
- น้ำสมุนไพรที่ได้ควรมีความร้อนพอเหมาะ ไม่ร้อนเกินไปจนทำให้ผิวหนังไหม้
- การเตรียมตัวอบ
- นั่งหรือนอนบนเก้าอี้ไม้หรือเตียงไม้ที่ออกแบบมาให้ความร้อนผ่านได้
- คลุมตัวด้วยผ้าห่มหนาเพื่อรักษาความร้อนให้อยู่ในบริเวณที่อบ
- การอบด้วยไอน้ำสมุนไพร
- ไอน้ำจากน้ำสมุนไพรจะช่วยให้ความร้อนซึมเข้าสู่ร่างกาย ช่วยในการขับเหงื่อและสารพิษออกจากร่างกาย
- การอบด้วยไอน้ำนี้ช่วยในการเปิดรูขุมขน ทำให้สมุนไพรซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น
- การอบตัวควรใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ตามความทนทานของผู้ป่วยและความรู้สึกสบายตัว
3. การประคบ
- การเตรียมสมุนไพรประคบ
- นำสมุนไพรที่ต้มแล้วมาใส่ในผ้าห่อ ทำเป็นลูกประคบ
- สมุนไพรที่นิยมใช้ในการประคบได้แก่ ไพล ขมิ้น ตะไคร้ และผิวมะกรูด
- การประคบ
- นำลูกประคบที่เตรียมไว้มาอังร้อน แล้วนำมาประคบตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ท้อง หลัง ขา แขน เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและอักเสบ
- การประคบช่วยให้สมุนไพรซึมเข้าสู่ผิวหนัง และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดอาการตึงเครียด
4. การนวด
- การเตรียมสมุนไพรนวด
- ใช้สมุนไพรที่ต้มมาในการนวด โดยสามารถใช้น้ำสมุนไพรหรือน้ำมันสมุนไพรในการนวดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- การนวด
- การนวดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยลดอาการปวดเมื่อย
- การนวดต้องทำอย่างเบามือและระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณที่มีอาการบวมและอักเสบ
- การนวดสามารถทำได้ทั้งตัว หรือเฉพาะจุดที่มีอาการปวดเมื่อย
5. การพักผ่อน
- หลังจากการอยู่ไฟเสร็จ
- หลังการอยู่ไฟ ควรพักผ่อนเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและซึมซับประโยชน์จากการอยู่ไฟ
- การพักผ่อนช่วยให้ร่างกายสามารถปรับตัวและฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
- การดื่มน้ำสมุนไพร
- ดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย และช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย
- น้ำสมุนไพรที่นิยมดื่มได้แก่ น้ำขิง น้ำตะไคร้ และน้ำสมุนไพรต่างๆ ที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย
6. การดูแลตนเอง
- หลีกเลี่ยงการตากลมหรืออาบน้ำเย็น
- หลังการอยู่ไฟ ควรหลีกเลี่ยงการตากลมหรืออาบน้ำเย็นทันที เพื่อป้องกันการเกิดอาการช็อกจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
- การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิทันทีอาจทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ทันและทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย
- การรักษาความอบอุ่นของร่างกาย
- รักษาความอบอุ่นของร่างกายด้วยการสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเย็น
- การรักษาความอบอุ่นช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูและปรับตัวได้ดีขึ้น
- การทานอาหารที่มีประโยชน์
- การทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสูง เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้ฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล และอาหารที่ไม่มีประโยชน์
การอยู่ไฟเป็นกระบวนการที่ต้องการความรู้และประสบการณ์ ดังนั้น ควรทำภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง การอยู่ไฟนอกจากจะช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดบุตรแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว ทำให้ร่างกายแข็งแรง และมีสุขภาพที่ดีขึ้น
บทความที่น่าสนใจ: ทำไมจึงหนาวสั่นหลังคลอด ที่หนาวใน เพราะไม่ได้อยู่ไฟจริงไหม?
แม่ผ่าคลอดอยู่ไฟได้ไหม
คุณแม่ที่ผ่าคลอดสามารถอยู่ไฟได้เช่นเดียวกับคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติ แต่ต้องรอให้แผลผ่าตัดแห้งสนิท หายดีก่อน และร่างกายฟื้นตัวดีแล้วหลังผ่าตัดประมาณ 30-45 วัน และควรตรวจหลังคลอดตามแพทย์นัดก่อน
เหตุผลที่ต้องรอให้แผลหายดีก่อน
- เพื่อป้องกันการติดเชื้อ: แผลผ่าตัดเป็นแผลเปิด ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง การอยู่ไฟบางอย่าง เช่น การอบสมุนไพร อาจทำให้แผลอับชื้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
- เพื่อลดอาการปวด: การอยู่ไฟบางอย่าง เช่น การนวด อาจทำให้แผลอักเสบและปวดมากขึ้น
- เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว: การผ่าตัดคลอดเป็นการผ่าตัด major ร่างกายของแม่่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว การอยู่ไฟบางอย่างอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้น
ที่มา: bangpakokhospitalgroup.com, enfababy.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่
ไขข้อข้องใจ การอยู่เดือน อยู่ไฟ หลังคลอด เป็นเรื่องเดียวกันหรือต่างกัน?
5 สัญญาณอันตราย เกิดอะไรหลังผ่าคลอดที่ควรพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!