การคลอดส่วนใหญ่ปลอดภัยหายห่วงค่ะ แต่ก็มีคุณแม่บางส่วนที่อาจต้องเจอกับ ภาวะทารกเครียดระหว่างคลอด (Fetal Distress) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลทันที คุณพ่อคุณแม่ควรมีวิธีรับมืออย่างไร ติดตามได้จากบทความนี้
ภาวะทารกเครียด คืออะไร
Fetal Distress หรือ ภาวะทารกเครียดในครรภ์ เป็นคำที่ใช้บ่งบอกถึง ภาวะที่ลูกน้อยในท้องของเรากำลังรู้สึกไม่สบายตัว เพราะได้รับออกซิเจนไม่พอนั่นเองค่ะ
ซึ่งภาวะนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่คุณหมอจะต้องรีบเข้าไปดูแลเเพราะถ้าลูกขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดความพิการทางสมอง หรือรุนแรงถึงชีวิตได้

ความเครียดของทารกในครรภ์ มีกี่ประเภท
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.ความเครียดเฉียบพลัน
คือ การเกิดปัญหาอย่างกะทันหัน ส่วนมากเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุของคุณแม่ เช่นการลื่นล้ม หรือเกิดการกระแทกรุนแรงบริเวณครรภ์ ซึ่งแรงกระทบกระเทือนเหล่านี้จะส่งผลให้รกเกิดการลอกตัว ทำให้ทารกในครรภ์ขาดอากาศ ในรายที่เกิดการกระแทกรุนแรง อาจส่งผลทำให้ทารกจะขาดอากาศและเสียชีวิตได้
2.ความเครียดเรื้อรัง
สาเหตุมักเกิดจากสุขภาพร่างกายของคุณแม่เป็นหลัก เช่น คุณแม่ตั้งครรภ์ป่วยด้วยโรคที่ทำให้ร่างกายไม่สมบูรณ์ อาทิเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคโลหิตจาง เป็นต้น อาการเหล่านี้ก็ทำให้สารส่งสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงทารกในครรภ์ทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ส่งผลให้ทารกในครรภ์มีพัฒนาการช้า ไม่แข็งแรง และอาจสูญเสียการตั้งครรภ์ได้
ภาวะทารกเครียดระหว่างคลอด คุณพ่อคุณแม่ควรมีวิธีรับมืออย่างไร
สาเหตุของภาวะทารกเครียดระหว่างคลอด
สาเหตุมีได้หลายอย่างเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับร่างกายของคุณแม่ หรือปัญหาที่ตัวลูก/รก/สายสะดือ
- ฝั่งคุณแม่: เช่น คุณแม่มีความดันโลหิตสูง (ครรภ์เป็นพิษ) เป็นเบาหวาน เจ็บท้องคลอดนานมาก ๆ หรือมดลูกบีบตัวถี่เกินไป (อาจจากยาเร่งคลอด)
-
- ครรภ์เป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะเกี่ยวเนื่องกับความดันโลหิตสูงระหว่า
- ตั้งครรภ์
- ภาวะเบาหวานตอนตั้งครรภ์
- การตั้งครรภ์ที่เจ็บท้องคลอดที่นานกว่าปกติร่วมกับอาการรัดตัวของมดลูกอย่างรวดเร็ว
- แม่ท้องที่ได้รับยากระตุ้นการบีบตัวของมดลูกมากเกินไป ทำให้เส้นเลือดมดลูกหดตัว ส่งผลให้ขาดเลือดไปเลี้ยงรกและทารกในครรภ์เป็นเวลานาน
- เมื่ออายุครรภ์เกินกำหนดหรือแม่มีอายุเกิน 35 ปี
- ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ใช้ระหว่างคลอด เช่น ออกซิโตซิน ฮอร์โมนเหล่านี้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงภาวะการเต้นของหัวใจของเด็กในครรภ์
- ฝั่งลูกน้อย: เช่น น้ำคร่ำน้อยเกินไป สายสะดือถูกกดทับ เช่น สายสะดือพันคอ หรือย้อยออกมา หรือรกทำงานได้ไม่ดี
-
- แม่ท้องที่มีภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
- แม่ท้องที่มีภาวะน้ำคร่ำน้อย หรือถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด ทำให้สายสะดือถูกกดทับกับส่วนต่าง ๆ ของทารก ส่งผลให้เส้นเลือดถูกอุดกั้น เลือดจึงไปเลี้ยงลูกในครรภ์ได้น้อยลง
- ปัญหาเรื่องเลือดไปหล่อเลี้ยงเด็กในครรภ์ เช่น รกในครรถ์ทำงานไม่เป็นปกติหรือมีปัญหากับสายสะดือ
- เด็กติดอยู่ที่ช่องคลอดนานเกินไป มีการตั้งครรภ์เกินกำหนด ส่งผลให้รกเสื่อมและประสิทธิภาพในการส่งเลือดไปเลี้ยงทารกไม่ดี
จะทราบได้อย่างไรว่าทารกเครียดระหว่างคลอด
เมื่อคุณแม่ไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอและพยาบาลจะมีเครื่องมือที่เรียกว่า EFM หรือ NST (ที่แม่ ๆ ชอบเรียกกันว่า “ติดเครื่องดูลูกดิ้น”) มาติดที่หน้าท้องของแม่ค่ะ
เครื่องนี้จะช่วยให้คุณหมอ:
- ฟังเสียงหัวใจลูก: ว่าเต้นเร็วไป ช้าไป (< 110 หรือ > 160 ครั้ง/นาที) หรือมีรูปแบบการเต้นที่ผิดปกติหรือเปล่า
- ดูการบีบตัวของมดลูก: ว่าสัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจลูกยังไง
- ดูว่ามีขี้เทาปนในน้ำคร่ำไหม: (ตอนที่น้ำเดินแล้ว) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าลูกเคยไม่สบายตัวมาก่อน
การตรวจอื่น ๆ เพื่อตรวจหาภาวะทารกเครียดระหว่างคลอด
- ขี้เทาในน้ำคล่ำที่สามารถขัดขวางระบบการหายใจของทารกในครรภ์และทำให้เกิดปัญหาการหายใจหลังการคลอด
- คุณหมออาจต้องการเก็บเลือดของทารกในครรภ์โดยใช้หลอดสอดไปทางช่องคลอด คุณหมอจะตรวจหาระดับอ๊อกซิเจนในเลือดเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
การตรวจอัลตร้าซาวน์สามารถบอกได้ว่าทารกในครรภ์มีสายสะดือพันคอหรือไม่ สาเหตุนี้ช่วยเรื่องปัญหาเลือดไปหล่อเลี้ยงเด็กในครรภ์อีกด้วย
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เที่ยวนอกบ้าน “ทารกเครียด” ได้นะ เดินทางกับทารกยังไง ให้ไร้ความเครียด
ภาวะทารกเครียดระหว่างคลอด คุณพ่อคุณแม่ควรมีวิธีรับมืออย่างไร
การดูแลรักษาภาวะทารกเครียดระหว่างคลอด
หากคุณหมอเจอสัญญาณ ภาวะทารกเครียดระหว่างคลอด สิ่งแรกที่ทีมแพทย์จะทำคือ
- ให้แม่นอนตะแคง: ส่วนใหญ่จะให้ตะแคงซ้าย ท่านี้เลือดจะไหลไปเลี้ยงลูกได้ดีที่สุดค่ะ
- ให้แม่ดมออกซิเจน: แม่จะได้ออกซิเจนผ่านหน้ากาก เพื่อส่งต่อออกซิเจนดี ๆ ไปให้ลูก
- ให้น้ำเกลือ: ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดของแม่ทำงานได้ดีขึ้น
- หยุดยาเร่งคลอด (ถ้าให้): เพื่อให้มดลูกคลายตัวและบีบตัวช้าลงหน่อย
- ถ้าลูกดีขึ้น: (หัวใจกลับมาเต้นปกติ) คุณหมออาจจะให้แม่ลองคลอดทางช่องคลอดต่อได้ แต่จะดูแลแบบใกล้ชิดสุด ๆ
- ถ้าลูกยังไม่ดีขึ้น: หรือเจอภาวะฉุกเฉินอื่น ๆ คุณหมอจะตัดสินใจ ผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน (Emergency C-Section) เพื่อช่วยลูกออกมาให้เร็วและปลอดภัยที่สุดค่ะ
ภาวะทารกเครียดในครรภ์ อันตรายขนาดไหน?
หากแม่ท้องเกิดภาวะทารกเครียดในครรภ์ โดยส่วนใหญ่แพทย์จะรีบทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องทันที อันตรายที่เกิดกับทารกจึงขึ้นอยู่กับว่าขณะลูกอยู่ในครรภ์มีการขาดออกซิเจนมากน้อยเพียงใด หากขาดออกซิเจนไม่นานและได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ก็จะไม่มีความพิการต่อสมองทารก แต่ถ้าขาดออกซิเจนนานจะทำให้สมองทารกพิการได้ เมื่อคลอดออกมาหรือหากรุนแรงมากก็อาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้
ภาวะทารกเครียดในครรภ์ ป้องกันได้ไหม
เพื่อป้องกันการเกิดภาวะทารกเครียดในครรภ์ สิ่งที่คุณแม่พอทำได้คือการสังเกตว่าลูกดิ้นหรือไม่ดิ้น คุณหมอมักจะแนะนำให้แม่เริ่มนับลูกดิ้นจริงจังหลังอายุครรภ์ 28 สัปดาห์
หากคุณแม่รู้สึกว่า วันนี้ลูกดิ้นน้อยลง เช่น เคยดิ้นเก่งมาก แต่วันนี้ดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมง หรือ ลูกไม่ดิ้นเลย ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัดค่ะ
อัปเดตล่าสุด 31 ตุลาคม 2568
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ได้ หากคุณแม่มีข้อกังวล ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลโดยตรง
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
วิจัยใหม่เผย! การฟื้นตัวหลังคลอด ไม่ใช่แค่ 6 สัปดาห์ แต่ใช้เวลาเป็นปี
20 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่
ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม? รู้จัก ภาวะสำลักน้ำคร่ำ และวิธีดูแล
ที่มา :
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!