การตั้งครรภ์ที่ราบรื่นเป็นสิ่งที่คุณแม่ทุกคนปรารถนา แต่ในคุณแม่บางรายอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นได้ อย่างเช่น สายสะดือพันคอทารก เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้บ่อย และเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัยว่า จะรู้ได้ไงว่าสายสะดือพันคอลูก และหากสายสะดือพันคอทารก จะส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างไรบ้าง เป็นอันตรายถึงชีวิตจริงหรือไม่ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับสายสะดือพันคอทารกกันค่ะ
สายสะดือ คืออะไร
รกเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอาหาร ออกซิเจน และสารอาหารต่างๆ ระหว่างคุณแม่กับลูกน้อย รกจะเกาะติดอยู่กับผนังมดลูก ส่วนที่เชื่อมระหว่างรกกับลูกน้อยก็คือ สายสะดือ
สายสะดือทำหน้าที่ส่งผ่านทุกสิ่งที่ลูกน้อยต้องการเพื่อการเจริญเติบโตไปยังร่างกายของลูกน้อย โดยทั่วไป สายสะดือมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร แต่ก็อาจสั้นหรือยาวกว่านั้นได้ ซึ่งความยาวของสายสะดือก็มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยเช่นกัน หากสายสะดือสั้นเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ได้
สายสะดือของแต่ละคนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
สายสะดือแม้จะทำหน้าที่เหมือนกันในการเชื่อมต่อระหว่างคุณแม่กับลูกน้อย เพื่อส่งผ่านออกซิเจน สารอาหาร และนำของเสียออกจากร่างกายของลูกน้อย แต่สายสะดือของทารกแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้
- ความยาว สายสะดือของแต่ละคนมีความยาวไม่เท่ากันบางคนอาจสั้น บางคนอาจยาว สายสะดือที่ยาวกว่า มีโอกาสพันคอได้มากกว่าสายสะดือที่สั้น เนื่องจากสายสะดือที่ยาวมีโอกาสเคลื่อนไหวและพันรอบตัวลูกน้อยได้ง่ายขึ้น
- ขนาด ขนาดของสายสะดือก็แตกต่างกันไป โดยทั่วไปทารกตัวใหญ่จะมีสายสะดือที่ใหญ่ตามไปด้วย แต่ทารกที่สายสะดืออ้วน มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสายสะดือพันคอ ในขณะที่สายสะดือเล็กๆ กลับมีโอกาสพันคอได้มากกว่า
- การพันรอบตัว สายสะดืออาจพันรอบตัวลูกน้อยได้หลายแบบ บางคนอาจพันรอบคอ บางคนอาจพันรอบตัวส่วนอื่นๆ
การที่สายสะดือยาวหรือสั้น ขนาดใหญ่หรือเล็ก ไม่ได้บ่งบอกถึงสุขภาพของลูกน้อยเสมอไป แต่คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของลูกน้อยอย่างใกล้ชิดค่ะ
สายสะดือพันคอ คืออะไร
สายสะดือพันคอทารก (Nuchal cord) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด โดยเกิดจากสายสะดือพันรอบคอของทารกในขณะที่อยู่ในครรภ์ แม้จะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้บ่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่หลายท่านกังวลใจ เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของลูกน้อยได้
สายสะดือพันคอเกิดจากอะไร
สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดสายสะดือพันคอยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้สายสะดือพันรอบคอโดยบังเอิญ โดยปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะนี้ได้แก่
- ทารกดิ้นเยอะ การที่ทารกดิ้นมากและบ่อยครั้ง อาจทำให้สายสะดือพันรอบคอได้ง่ายขึ้น
- น้ำคร่ำมากเกินไป น้ำคร่ำมากเกินไปจะทำให้ทารกมีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวมากขึ้น จึงเพิ่มโอกาสที่สายสะดือจะพันคอด้
- สายสะดือยาว สายสะดือที่ยาวกว่าปกติจะเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสพันรอบตัวทารกได้มากขึ้น
- โครงสร้างสายสะดือผิดปกติ สายสะดือที่มีความอ่อนหรือผิดปกติ อาจพันกันเองหรือพันรอบตัวทารกได้ง่าย
- การตั้งครรภ์แฝด การตั้งครรภ์แฝดหรือมากกว่านั้น อาจทำให้มีพื้นที่ในครรภ์จำกัดลง และทารกแต่ละคนอาจเคลื่อนไหวมาชนกัน ทำให้เกิดการพันของสายสะดือได้
สายสะดือพันคอ ตอนกี่เดือน
จากการศึกษาพบว่า ยิ่งทารกอยู่ในครรภ์นานขึ้น โอกาสที่สายสะดือจะพันรอบคอก็จะยิ่งสูงขึ้น
- อายุครรภ์ 20 สัปดาห์: มีโอกาสประมาณ 6% ที่ทารกจะมีสายสะดือพันคอ
- อายุครรภ์ 42 สัปดาห์: โอกาสจะเพิ่มขึ้นเป็น 29%
สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม พบว่า ทารกเพศชายมีแนวโน้มที่จะมีสายสะดือพันคอมากกว่าทารกเพศหญิงนอกจากนี้ยังพบอีกว่า หากทารกไม่มีสายสะดือพันคอขณะอยู่ในครรภ์ โอกาสที่สายสะดือจะพันคอขณะคลอดก็มีน้อยมาก
- สายสะดือพันคอ 1 รอบ พบได้บ่อย 20-34%
- สายสะดือพันคอ 2 รอบ พบได้ 2.5-5%
- สายสะดือพันคอ 3 รอบ พบได้ 0.2-0.3%
สายสะดือพันคอมีกี่แบบ
สายสะดือพันคอ มี 2 แบบหลักๆ ดังนี้
- พันคอแบบหลวม สายสะดือพันรอบคอของทารกแบบหลวมๆ ซึ่งทารกยังสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ และอาจคลายออกได้เองตามธรรมชาติในระหว่างตั้งครรภ์ แบบนี้มักไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อทารก และอาจคลายออกเองได้ก่อนคลอด
- พันคอแบบแน่น สายสะดือพันรอบคอของทารกแบบแน่น ทำให้ทารกเคลื่อนไหวได้จำกัด และไม่สามารถคลายออกได้เอง จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ เนื่องจากอาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนไปยังทารกได้ ทำให้ทารกขาดอากาศหายใจ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ทำไมสายสะดือพันคอถึงเป็นอันตราย?
การที่สายสะดือพันรอบคอของทารก อาจทำให้การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังสมองของทารกลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกได้ และในบางกรณี อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
สายสะดือพันคนทารก ป้องกันได้ไหม?
แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันสายสะดือพันคอได้โดยตรง แต่การดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์และการตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณหมอสามารถตรวจพบภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้เร็วขึ้น และสามารถวางแผนการคลอดที่เหมาะสมที่สุด
จะรู้ได้ไงว่าสายสะดือพันคอลูก
จะรู้ได้ไงว่าสายสะดือพันคอลูก คุณแม่สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของลูกน้อยได้ดังนี้ค่ะ
- นับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้น โดยทั่วไป คุณแม่ควรนับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้นในช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น หลังทานอาหาร หรือช่วงเวลาก่อนนอน หากพบว่าจำนวนครั้งที่ลูกดิ้นลดลงอย่างผิดปกติ หรือไม่มีการเคลื่อนไหวเลย หลัง28สัปดาห์เป็นต้นไป แนะนำให้รีบไปพบคุณหมอโดยเร็วที่สุด
- สังเกตความแรงของการดิ้น นอกจากจำนวนครั้งแล้ว คุณแม่ควรสังเกตความแรงของการดิ้นด้วย หากรู้สึกว่าการดิ้นของลูกน้อยเบาลง หรือไม่มีแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์
- รูปแบบการดิ้น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดิ้น เช่น ดิ้นน้อยลงในช่วงเวลาที่เคยดิ้นบ่อย หรือดิ้นไม่เป็นจังหวะ อาจเป็นสัญญาณเตือน
จะรู้ได้ไงว่าสายสะดือพันคอลูก แพทย์มีวิธีการตรวจหลายอย่างเพื่อประเมินภาวะสายสะดือพันคอ เช่น
- การอัลตร้าซาวด์ วิธีนี้แพทย์สามารถสังเกตเห็นสายสะดือที่พันรอบคอทารกได้ชัดเจน
- การตรวจฟังเสียงหัวใจของทารก หากสายสะดือพันคอแน่น อาจทำให้เสียงหัวใจของทารกผิดปกติ เช่น ช้าลง เร็วขึ้น หรือมีเสียงรบกวน
- การตรวจ NST (Non-stress test) เป็นการตรวจที่ใช้ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทารกขณะที่ทารกเคลื่อนไหว หากอัตราการเต้นของหัวใจไม่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของทารก อาจบ่งบอกถึงปัญหาได้
หากแพทย์ตรวจพบว่าสายสะดือพันคอ แพทย์จะพิจารณาถึงความรุนแรงของภาวะ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หรือการผ่าตัดคลอดในกรณีที่จำเป็น
สิ่งสำคัญคือ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งคุณแม่และลูกน้อยปลอดภัยค่ะ
ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อลูกน้อย หากสายสะดือพันคอ
แม้ว่าสายสะดือพันคอจะพบได้บ่อยในทารกแรกเกิด และในหลายกรณีอาจไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ก็มีโอกาสที่สายสะดือจะพันแน่นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกได้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากสายสะดือพันคอ ได้แก่
- การขาดออกซิเจน เมื่อสายสะดือพันคอแน่น อาจทำให้การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังทารกลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะสมอง
- อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ การขาดออกซิเจนอาจทำให้หัวใจของทารกเต้นผิดปกติได้
- ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ปริมาณน้ำคร่ำลดลง ทารกเคลื่อนไหวน้อยลง การเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR) หรือแม้กระทั่งการคลอดก่อนกำหนด
- ภาวะ tCAN (tight cord around neck syndrome) ในกรณีที่สายสะดือพันคอแน่นมาก อาจทำให้เกิดภาวะ tCAN ซึ่งเป็นภาวะที่ค่อนข้างรุนแรง อาการของภาวะนี้ ได้แก่ รอยแดงหรือรอยม่วงที่ผิวหนังบริเวณคอ ใบหน้า และดวงตา รอยถลอกบนผิวหนังบริเวณที่สายสะดือพัน ผิวหนังซีดหรือเขียวคล้ำ
เมื่อสายสะดือพันคอทารกต้องทำอย่างไร มีวิธีแก้หรือไม่
การพบว่าสายสะดือพันคอทารก ไม่ได้หมายความว่าต้องผ่าคลอดเสมอไปค่ะ การตัดสินใจว่าจะคลอดแบบใดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความแน่นของสายสะดือ อัตราการเต้นของหัวใจทารก และสภาวะโดยรวมของทั้งแม่และลูก
โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะพิจารณา ดังนี้
- การติดตามอาการ หากสายสะดือพันคอไม่แน่นมาก และทารกยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดี แพทย์อาจแนะนำให้คุณแม่มาตรวจครรภ์บ่อยขึ้น เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารกและสังเกตการเคลื่อนไหวของทารกอย่างใกล้ชิด
- การตรวจอัลตร้าซาวด์ การตรวจอัลตร้าซาวด์เป็นประจำจะช่วยให้แพทย์ประเมินสถานการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบว่าสายสะดือยังคงพันคออยู่หรือไม่ หรือคลายออกไปแล้ว
- การตรวจ NST (Non-stress test) เป็นการตรวจเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจทารกขณะที่ทารกเคลื่อนไหว เพื่อประเมินว่าทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอหรือไม่
- การผ่าคลอด หากสายสะดือพันคอแน่นมาก หรือทารกมีอาการผิดปกติ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ หรือการเคลื่อนไหวลดลง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก
การคลอดทารกที่มีสายสะดือพันคอจะแตกต่างจากปกติอย่างไร
การคลอดทารกที่มีสายสะดือพันคอนั้นอาจมีความแตกต่างจากการคลอดปกติเล็กน้อย เนื่องจากสายสะดือที่พันรอบคอของทารกอาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนไปยังทารกได้
- แพทย์จะทำการตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจทารกอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาการคลอด เพื่อให้แน่ใจว่าทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ
- แพทย์อาจช่วยปรับท่าของทารกเพื่อลดแรงกดที่สายสะดือ หรือคลายสายสะดือที่พันรอบคอออก
- หากอัตราการเต้นของหัวใจทารกลดลง หรือมีสัญญาณบ่งบอกว่าทารกกำลังขาดออกซิเจน แพทย์อาจต้องตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้เครื่องมือช่วยหายใจ หรือการผ่าคลอด
- ในบางกรณี การคลอดทารกที่มีสายสะดือพันคออาจใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากแพทย์ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการคลอดทารกออกมา
เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดกับลูกน้อยในครรภ์ คุณแม่ควรพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ หมั่นสังเกตอาการของลูกน้อย หากรู้สึกว่าลูกน้อยดิ้นน้อยลง หรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบ และที่สำคัญ ความเครียดอาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณและลูกน้อย คุณแม่ควรหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ
ที่มา : WedMD , helloคุณหมอ , สูติศาสตร์ล้านนา , ไทยรัฐ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ภาวะครรภ์เป็นพิษ อันตรายมากไหม อาการครรภ์เป็นพิษ ดูแลตัวเองอย่างไร
คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด !
คนท้องเป็นตะคริว ต้องกินอะไร ? วิธีป้องกันและบรรเทาอาการ
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!