อยากมีลูกน้อยที่ฉลาดเฉลียว? เริ่มต้นได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์เลยค่ะ โดยเฉพาะโภชนาการแม่ท้อง หรือการกินอาหารที่เหมาะสมของคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการทางสมองที่ดี บทความนี้จะชวนคุณแม่มาเปิดเมนูอาหารที่ช่วยบำรุงสมองลูกน้อย เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแรง ฉลาด และมีพัฒนาการที่ดี คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด มีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ
ความฉลาดของลูกน้อย เกิดจากอะไร
โดยธรรมชาติแล้วเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะตัวและถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อมในภายหลัง ซึ่ง “ความฉลาด” หรือ IQ (intelligence quotient) หรือความสามารถทางปัญญา การมีสมองที่ดีและเฉลียวฉลาด เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งความฉลาดของลูกน้อยเกิดขึ้นได้จากปัจจัย 3 ประการ คือ
- ปัจจัยด้านพันธุกรรม พ่อแม่ที่เฉลียวฉลาดก็จะถ่ายทอดลักษณะที่ดีนี้มาให้ลูกได้
- การดูแลในด้านโภชนาการของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์
- การกระตุ้นพัฒนาการหลังคลอดของลูกน้อย เช่น ภาวะแวดล้อมที่มีการให้ความรัก ความอบอุ่น ให้การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย
คนท้องกินอะไรลูกฉลาด สารอาหารที่ช่วยเสริมสมองทารกในครรภ์
เพราะการดูแลด้านโภชนาการของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์คือหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อความฉลาดของทารกในครรภ์ คนท้องกินอะไรลูกฉลาด การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่เองและของลูกน้อยในครรภ์ จึงจะช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยมีสมองที่ดีและพัฒนาการที่สมบูรณ์และแข็งแรง คนท้องกินอะไรลูกฉลาด มาดูสารอาหารที่ช่วยเสริมสมองทารกในครรภ์กันค่ะ
|
สารอาหารที่ช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองทารกในครรภ์
|
โอเมก้า 3 |
เป็นไขมันที่ดีต่อสมอง ช่วยกระตุ้นความจำ บำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพด้านความจำ |
โฟเลต / โฟลิก |
จำเป็นต่อการช่วยสร้างเซลล์สมอง รวมถึงระบบประสาทและไขสันหลังให้ลูกน้อยขณะอยู่ในครรภ์ แม่ท้องควรได้รับโฟเลตวันละ 400-800 ไมโครกรัม กินได้ตั้งแต่เตรียมตั้งท้องไปจนถึงไตรมาสที่ 3 |
ธาตุเหล็ก |
ช่วยสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งใช้ลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะในร่างกายแม่ รวมถึงออกซิเจนไปเลี้ยงลูกน้อยในท้อง แม่ขาดธาตุเหล็กเท่ากับลูกขาดออกซิเจน มีความเสี่ยงต่อพัฒนาการล่าช้า ระดับไอคิวไม่สูงเท่าที่ควร โดยคนท้องต้องได้รับธาตุเหล็กวันละ 60-80 มิลลิกรัม |
ไอโอดีน |
จำเป็นต่อการพัฒนาทางสมอง ระบบประสาท และความจำของทารกในครรภ์ หากได้รับไอโอดีนไม่เพียงพออาจส่งผลให้ลูกน้ำหนักตัวน้อย สติปัญญาต่ำ ซึ่งแม่ท้องควรได้รับไอโอดีนวันละ 175-200 ไมโครกรัม |
อะเซทิลโคลีน
(Acetylcholine) |
ช่วยด้านการทำงานของระบบประสาทให้เชื่อมโยงกับเซลล์สมอง เพื่อให้นำส่งข้อมูลได้รวดเร็ว ทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้นตามไปด้วย มีบทบาทด้านการเรียนรู้ ความจำ การรับรู้ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ การเต้นของหัวใจ และการนอนหลับ ทั้งยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและไขสันหลังของเด็กทารกด้วย |
วิตามินบี 1 |
จำเป็นมากสำหรับพัฒนาการทางสมองส่วนกลางของทารกในครรภ์ แม่ท้องควรได้รับวิตามินชนิดนี้ 1.5-1.6 มิลลิกรัมต่อวัน |
วิตามินบี 2 |
ช่วยด้านการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองของลูกในท้อง โดยตลอดการตั้งครรภ์คุณแม่ควรได้รับวิตามินบี 2 ประมาณ 1.4 มิลลิกรัมต่อวัน |
วิตามินบี 6 |
ส่งเสริมพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารก ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ ซึ่งคุณแม่ควรได้รับในปริมาณ 1.9 มิลลิกรัมต่อวัน |
วิตามินบี 12 |
ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทั้งยังช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดมีขนาดปกติ ไม่ขาดธาตุเหล็ก ทารกเติบโตอย่างปกติ เซลล์สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างเต็มที่ ซึ่งแม่ท้องควรได้รับวิตามินบี 12 วันละ 2.6 ไมโครกรัม |
คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด
โดยปกติแล้วคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 วันละประมาณ 200 มิลลิกรัม ซึ่งได้จากปลาน้ำจืดและอาหารทะเล รวมถึงอาหารประเภทถั่ว เมล็ดทานตะวัน น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันข้าวโพด เพื่อให้ได้รับโอเมก้า 6 และควรกินควบคู่กับอาหารที่มีวิตามินดีและวิตามินอีด้วย มาดูกันค่ะว่า อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด มีอะไรบ้าง คนท้องกินอะไรลูกฉลาด
1. ปลาแซลมอน
น่าจะเป็นของโปรดของคุณแม่หลายคนอยู่แล้ว โดยปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 สูงมาก และยังมีไอโอดีนที่ช่วยกระตุ้นและบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำให้ลูกน้อยในครรภ์ด้วย ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าแม่ท้องที่กินปลามากๆ ในช่วง 2 ไตรมาสแรก ทารกจะมีพัฒนาการด้านสติปัญญาสูงมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ควรได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA วันละไม่น้อยกว่า 300 มิลลิกรัม เพื่อการพัฒนาการที่ดีของเซลล์สมอง ทั้งนี้ คุณแม่อาจกินปลาอื่นทดแทนแซลมอนได้ด้วย เช่น ปลาทู ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาแมคเคอเรล ปลาโอลาย ปลาสลิด โดยแนะนำให้กินเนื้อปลาอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง สลับกับอาหารทะเลอย่างกุ้ง หอย หมึก และกินแบบปรุงสุกทุกเมนูค่ะ
2. ไข่
เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่สำคัญต่อการสร้างเซลล์ของลูกน้อยในครรภ์ ชวยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์สมอง เพิ่มปริมาณเลือด สร้างน้ำย่อย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หากได้รับโปรตีนไม่เพียงพออาจทำให้สมองของลูกน้อยมีขนาดเล็กกว่าปกติได้ ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับโปรตีน 600 กรัมต่อวัน นอกจากนี้ในไข่ยังมีโคลีน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทและความจำด้วยค่ะ
3. ผักใบเขียว
อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและกรดโฟลิกที่จะช่วยป้องกันไม่ให้สมองของลูกน้อยถูกทำลายได้ง่าย ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปากแหว่งเพดานโหว่ นับเป็นอาหารอีกหนึ่งกลุ่มที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี โดยผักใบเขียวที่แนะนำสำหรับแม่ท้องที่ต้องการสนร้างความฉลาดให้ลูกน้อยในครรภ์ ได้แก่ ผักโขม บร็อกโคลี คะน้า
4. ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง
ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และธัญพืชไม่ขัดสี อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทของคุณแม่และลูกน้อย รวมถึงมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย ทั้งใยอาหาร โปรตีน วิตามินอี ฟอสฟอรัส และสังกะสี
5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี อย่างสตรอเบอร์รี และมัลเบอร์รี มีกรดโฟลิกที่มีส่วนช่วยให้สมองของลูกน้อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยเรื่องพัฒนาการที่ดี ทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และมีวิตามินซี มีส่วนช่วยเรื่องสุขภาพผิวพรรณของคุณแม่ได้ด้วย
6. อะโวคาโด
เป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดในตระกูลเบอร์รีที่มีโฟเลตสูง ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาทและไขสันหลังให้ทารกในครรภ์ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ในไตรมาสที่ 2-3 หากไม่ได้รับโฟเลตอย่างเพียงพออาจส่งผลให้ทารกเกิดความพิการทางสมอง และมีความเสี่ยงต่อการเป็นท่อระบบประสาทผิดปกติได้ นอกจากอโวคาโดแล้ว คุณแม่ท้องอาจได้รับโฟเลตจากหน่อไม้ฝรั่ง กล้วย ผักโขม และฟักทอง ได้ด้วย
7. อัลมอนด์
คืออาหารที่มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง โดยคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถกินอัลมอนด์เมล็ดหรือ ดื่มนมอัลมอนด์ทุกวันได้ เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของลูก
8. ชีส
เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม ซึ่งโดยปกติคุณแม่หลายคนมักคิดว่าชีสเป็นอาหารที่ดูมีประโยชน์น้อยและควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นอาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูง อย่างไรก็ตาม การกินชีสในปริมาณที่เหมาะสมสามารถสร้างประโยชน์ต่อการสร้างความฉลาดให้ทารกในครรภ์ได้ เพราะชีสมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมถึงสองเท่า ทั้งยังมีโฟเลต วิตามินเอ วิตามินดี ช่วยให้สมองลูกน้อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น
วิธีกระตุ้นลูกน้อยให้สมองดีตั้งแต่ในครรภ์
นอกจากโภชนาการที่แม่ท้องต้องใส่ใจ คนท้องกินอะไรลูกฉลาด แล้ว ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่คุณแม่สามารถใช้ในการกระตุ้นพัฒนาการของสมองลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้ง่ายๆ แบบไม่สิ้นเปลือง และไม่เป็นอันตราย ดังนี้
-
ปรับอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ
คุณแม่ที่มีอารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอร่างกายจะมีการหลั่ง สารเอนดอร์ฟิน (endorphin) หรือสารแห่งความสุข ออกมา ผ่านสายสะดือไปยังลูกในครรภ์ ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) แต่ถ้าคุณแม่ที่หงุดหงิด โมโหง่าย ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความเครียด หรือ อะดรีนาลิน (adrenalin) ออกมา ทำให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยาก หรือพัฒนาการช้าได้ค่ะ
เมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มทำงานค่ะ การใช้เสียงเพลงจะช่วยกระตุ้นให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น โดยควรเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต ด้วยเสียงดังพอประมาณ คลื่นเสียงจากเพลงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนาการทำงานได้เร็วขึ้น เมื่อคลอดออกมา ลูกจะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี
การพูดคุยกับลูกในท้องบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินของลูกมีพัฒนาการที่ดี พร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด
การลูบท้องเป็นวงกลม จากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบน จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการที่ดี
ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ลูกน้อยในครรภ์จะสามารถกะพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้แล้วค่ะ ซึ่งการส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นหลังคลอดค่ะ
เมื่อไรก็ตามที่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ขยับร่างกาย Exercise หรือออกกำลังกายเบาๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ ลูกน้อยในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย โดยผิวกายของลูกจะไปกระทบกับผนังด้านในของมดลูก ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้นด้วยค่ะ
อย่างไรก็ตาม สุขภาพครรภ์ของคุณแม่แต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันไป รวมถึงปฏิกิริยาที่ร่างกายมีต่ออาหารบางอย่างก็อาจไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้น แนะนำว่าการจะกินอาหารอะไรก็ตามในช่วงตั้งครรภ์โดยที่ไม่มั่นใจว่าจะส่งผลอย่างไรก็ต่อสุขภาพครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและปลอดภัย ได้ประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่และพัฒนาการของลูกในท้องมากที่สุดนะคะ
ที่มา : www.bpksamutprakan.com , www.si.mahidol.ac.th , www.praram9.com , www.bumrungrad.com , www.pobpad.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
คนท้องเป็นตะคริว ต้องกินอะไร ? วิธีป้องกันและบรรเทาอาการ
8 เคล็ดลับ แม่ผ่าคลอด ฟื้นตัวเร็ว แผลสวย หายไว ร่างกายแข็งแรง
ท้องลมจะหลุดตอนไหน “ท้องลม” VS “แท้ง” เหมือนหรือต่างกันยังไง?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!