X
TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

7 โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง อันตรายต่อลูกในท้อง!

บทความ 8 นาที
7 โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง อันตรายต่อลูกในท้อง!

7 โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น คลอดก่อนกำหนด พิการแต่กำเนิด หรือทารกเสียชีวิต

การดูแลสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการตั้งครรภ์ และต้องระวังความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์มากเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น คลอดก่อนกำหนด พิการแต่กำเนิด หรือทารกเสียชีวิต เรามาดูกันว่า โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง มีอะไรบ้าง และคุณแม่ควรดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัยจากโรคเหล่านี้

 

โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง

การตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงและบอบบาง คุณแม่อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อต่างๆ ซึ่งบางโรคอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของทารกในครรภ์ นี่คือ 7 โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง พร้อมวิธีดูแลตัวเองและลูกน้อยให้ปลอดภัย

1.โรคอีสุกอีใส (Chickenpox)

สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งติดต่อโดยการสัมผัสตุ่มน้ำโดยตรง หรือการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยเข้าไป

วิธีสังเกตอาการ:

  • ระยะฟักตัว: โดยทั่วไปประมาณ 10-21 วันหลังได้รับเชื้อ
  • อาการเริ่มต้น: มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ
  • ผื่น: เริ่มจากผื่นแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัวก่อน แล้วลามไปที่หน้าและแขนขา จากนั้น ผื่นจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆ อยู่ข้างใน (ตุ่มน้ำ) เมื่อตุ่มน้ำแตกออกจะเป็นแผล แล้วตกสะเก็ด โดยผื่นจะขึ้นเป็นชุดๆ ทำให้มีผื่นหลายระยะในเวลาเดียวกัน (มีทั้งผื่นแดง ตุ่มน้ำ และสะเก็ด) ซึ่งจะมีอาการคันมาก

อันตราย:

  • ต่อแม่: อาจมีอาการปอดอักเสบ สมองอักเสบ
  • ต่อทารก: หากแม่เป็นอีสุกอีใสในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิด เช่น แขนขาพิการ สมองเล็ก ตาเป็นต้อกระจก หากแม่เป็นอีสุกอีใสใกล้คลอด ทารกแรกเกิดอาจเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรง ซึ่งมีอัตราเสียชีวิตสูง

วิธีป้องกัน:

  • ฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์: เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด หากคุณแม่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ควรฉีดวัคซีนให้ครบก่อนตั้งครรภ์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: หากมีคนในบ้านหรือคนใกล้ชิดเป็นอีสุกอีใส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด
Advertisement

 

2. โรคหัดเยอรมัน (Rubella)

สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งติดต่อโดยการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยเข้าไป

หัดเยอรมัน โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง

วิธีสังเกตอาการ:

  • อาการของโรคหัดเยอรมันในระยะแรก ๆ อาจคล้ายกับอาการของโรคหวัดทั่วไป จึงทำให้การสังเกตอาการในเบื้องต้นนั้นทำได้ยาก
  • อาการเริ่มต้น: มีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ เจ็บคอ มีน้ำมูกไหล ต่อมน้ำเหลืองบริเวณหลังหู ท้ายทอย หรือด้านหลังลำคอโตขึ้น
  • ผื่น: เริ่มจากผื่นแดงเล็ก ๆ ขึ้นที่ใบหน้าก่อน แล้วลามไปที่ลำตัวและแขนขา ผื่นจะมีลักษณะเป็นจุดสีชมพูหรือแดงเล็ก ๆ ขึ้นกระจายตามผิวหนัง ผื่นมักจะหายไปภายใน 2-3 วัน โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น อาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้หญิง

อันตราย:

  • ต่อแม่: อาจมีอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
  • ต่อทารก: หากแม่เป็นหัดเยอรมันในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ จะทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิดได้สูงมาก เช่น หัวใจพิการ หูหนวก ตาเป็นต้อกระจก สมองพิการ

วิธีป้องกัน:

  • ฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์: เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด หากคุณแม่ไม่เคยเป็นหัดเยอรมันมาก่อน ควรฉีดวัคซีนให้ครบก่อนตั้งครรภ์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: หากมีคนในบ้านหรือคนใกล้ชิดเป็นหัดเยอรมัน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด

 

3. ตกขาวระหว่างตั้งครรภ์

สาเหตุ: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้มีตกขาวมากขึ้นได้ แต่หากตกขาวมีลักษณะผิดปกติ เช่น มีสีเขียว เหลือง มีกลิ่นเหม็น มีอาการคันหรือแสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือปรสิต

วิธีสังเกตอาการ:

  • ตกขาวปกติระหว่างตั้งครรภ์: มีปริมาณมากขึ้นกว่าปกติ มีสีขาวใส หรือสีขาวขุ่นเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีอาการคัน หรือแสบช่องคลอด
  • ตกขาวผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ (อาจเกิดจากการติดเชื้อ):
    –   ตกขาวจากเชื้อรา: มีสีขาวข้น คล้ายนมบูด หรือมีลักษณะเป็นก้อนมีอาการคัน หรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอดและปากช่องคลอด อาจมีอาการบวมแดงบริเวณช่องคลอด
    –   ตกขาวจากเชื้อแบคทีเรีย: มีสีเทา หรือสีขาว มีกลิ่นเหม็นคาว อาจมีอาการคัน หรือแสบร้อนเล็กน้อย
    –   ตกขาวจากเชื้อปรสิต: มีสีเหลือง หรือสีเขียว มีฟอง มีกลิ่นเหม็น มีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บขณะปัสสาวะ
    –   ตกขาวจากหนองใน: มีสีเหลือง หรือสีเขียว มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดท้องน้อย หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์

อันตราย:

  • ต่อแม่: อาจมีอาการอักเสบในช่องคลอดและปากมดลูก
  • ต่อทารก: อาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด หรือทารกติดเชื้อขณะคลอดได้

วิธีป้องกัน:

  • รักษาความสะอาด: ล้างอวัยวะเพศภายนอกด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อนๆ ซับให้แห้ง
  • หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด: เพราะอาจทำให้เสียสมดุลของเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
  • สวมกางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย: เพื่อระบายอากาศได้ดี
  • หากมีอาการผิดปกติ: ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษา

 

4. โรคขี้แมว (Toxoplasmosis)

สาเหตุ: เกิดจากเชื้อปรสิต ซึ่งติดต่อได้จากการรับประทานเนื้อสัตว์ดิบหรือสุกๆ ดิบๆ ที่มีเชื้อ การสัมผัสกับดินหรือทรายที่มีอุจจาระแมวที่มีเชื้อ การรับประทานผักหรือผลไม้ที่ปนเปื้อนเชื้อ

คนท้อง ห้ามสัมผัสขี้แมว

วิธีสังเกตอาการ:

  • อาการในผู้ใหญ่ (ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง): ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต (โดยเฉพาะบริเวณคอ) เจ็บคอ ในบางรายอาจมีอาการตาอักเสบ (Toxoplasmic retinochoroiditis) ทำให้มีอาการตาพร่ามัว หรือมองเห็นไม่ชัด
  • อาการในทารกที่ติดเชื้อแต่กำเนิด: อาการอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่แม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ ทารกบางรายอาจไม่มีอาการเมื่อแรกเกิด แต่จะแสดงอาการในภายหลัง
  • อาการที่อาจพบได้: ศีรษะเล็ก (Microcephaly) หรือศีรษะโต (Hydrocephalus) มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา เช่น ตาบอด ตาอักเสบ มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง เช่น สมองพิการ พัฒนาการช้า มีอาการชัก มีภาวะดีซ่าน มีจุดหินปูนเกาะในสมอง

อันตราย:

  • ต่อแม่: ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง อาจมีไข้ ปวดเมื่อย
  • ต่อทารก: หากแม่ติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิดได้ เช่น สมองพิการ ตาบอด

วิธีป้องกัน: ปรุงอาหารให้สุก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด แม่ท้องห้ามสัมผัสขี้แมว หากเลี้ยงแมวตอนท้อง ควรให้คนอื่นทำความสะอาดกระบะทราย และควรสวมถุงมือเมื่อทำสวน

 

ไวรัสตับอักเสบ B (Hepatitis B)

สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกขณะคลอด

บทความจากพันธมิตร
ตรวจ NIPT ราคา ปี 2568 รู้ทันความผิดปกติของลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
ตรวจ NIPT ราคา ปี 2568 รู้ทันความผิดปกติของลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
อาหารมื้อแรก สำหรับลูกรัก กินอะไรดี? เพื่อสารอาหารที่ครบถ้วน
อาหารมื้อแรก สำหรับลูกรัก กินอะไรดี? เพื่อสารอาหารที่ครบถ้วน
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ซีรีแล็ค จูเนียร์ โจ๊ก อร่อย ได้ประโยชน์ ตัวช่วยแม่ยุคใหม่
ซีรีแล็ค จูเนียร์ โจ๊ก อร่อย ได้ประโยชน์ ตัวช่วยแม่ยุคใหม่

วิธีสังเกตอาการ:

  • อาการในผู้ใหญ่: ผู้ใหญ่หลายรายที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ในระยะแรกจะไม่แสดงอาการใด ๆ
  • อาการในระยะเฉียบพลัน (Acute Hepatitis B): อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณด้านขวาบน ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน) ปวดตามข้อ
  • อาการในระยะเรื้อรัง (Chronic Hepatitis B): ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย อาการที่อาจพบได้ เช่น อ่อนเพลีย ปวดท้องเล็กน้อย อาจตรวจพบความผิดปกติของตับจากการตรวจเลือด
  • อาการในทารกที่ติดเชื้อจากแม่: ทารกส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการเมื่อแรกเกิด หากไม่ได้รับการรักษา ทารกมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง

อันตราย:

  • ต่อแม่: อาจมีอาการตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
  • ต่อทารก: ทารกแรกเกิดมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อจากแม่ขณะคลอด และอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังได้

วิธีป้องกัน:

  • ฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์: หากคุณแม่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรฉีดวัคซีนให้ครบก่อนตั้งครรภ์
  • ใช้ถุงยางอนามัย: เมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • หากแม่มีเชื้อ: ทารกแรกเกิดจะได้รับวัคซีนและอิมมูโนโกลบูลิน (HBIG) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

 

6. เริม (Herpes Simplex Virus)

สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัสเริม ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย

7 โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง อันตรายต่อลูกในท้อง!

วิธีสังเกตอาการ:

  • อาการในผู้ใหญ่: ผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ
  • อาการครั้งแรก: อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ มีอาการเจ็บปวด คัน หรือแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย มีตุ่มน้ำใสขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ต้นขา หรือบริเวณอื่นๆ ตุ่มน้ำจะแตกออกเป็นแผล แล้วตกสะเก็ด อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด หรือเจ็บขณะปัสสาวะ อาจมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต
  • อาการเป็นซ้ำ: อาการมักจะรุนแรงน้อยกว่าครั้งแรก อาจมีอาการเตือนก่อนมีตุ่มขึ้น เช่น มีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บแปล๊บๆ บริเวณที่จะมีตุ่มขึ้น ตุ่มน้ำมักจะขึ้นในบริเวณเดิมๆ
  • อาการในทารกที่ติดเชื้อจากแม่ (Neonatal Herpes): อาการอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าทารกติดเชื้อเมื่อใด และเชื้อเข้าสู่ร่างกายทารกทางใด อาการอาจปรากฏภายใน 2-12 วันหลังคลอด

อาการที่อาจพบได้: มีตุ่มน้ำขึ้นตามผิวหนัง ตา หรือปาก มีอาการซึม ไม่ดูดนม มีไข้ หรือตัวเย็น มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ มีอาการชัก มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง เช่น สมองอักเสบ

อันตราย:

  • ต่อแม่: อาจมีอาการเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ
  • ต่อทารก: หากแม่มีอาการเริมที่อวัยวะเพศขณะคลอด ทารกอาจติดเชื้อขณะคลอดได้ ซึ่งอาจมีอาการรุนแรง เช่น สมองอักเสบ

วิธีป้องกัน: หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หากแม่มีอาการเริม แพทย์อาจพิจารณาให้คลอดโดยการผ่าตัดคลอด เพื่อลดความเสี่ยงที่ทารกจะติดเชื้อ

 

7. ไวรัสซิกา (Zika Virus)

สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัสซิกา ติดต่อโดยการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ

วิธีสังเกตอาการ:

  • อาการในผู้ใหญ่: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยอาการมักไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 2-7 วัน
  • อาการที่อาจพบได้: มีไข้ต่ำๆ มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะตาแดง (เยื่อบุตาอักเสบ) อ่อนเพลีย ปวดหลัง
  • อาการในทารกที่ติดเชื้อจากแม่: ทารกที่ติดเชื้อไวรัสซิกาจากแม่ขณะอยู่ในครรภ์ อาจมีความพิการแต่กำเนิดได้ อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือภาวะศีรษะเล็ก (Microcephaly)
  • อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้: มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง เช่น สมองพิการ พัฒนาการช้า มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการทรงตัว

อันตราย:

  • ต่อแม่: ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง อาจมีไข้ ผื่น ปวดข้อ
  • ต่อทารก: หากแม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกมีความพิการแต่กำเนิดได้ ที่รุนแรงที่สุดคือภาวะศีรษะเล็ก

วิธีป้องกัน: ป้องกันยุงกัด ทายากันยุง สวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาว นอนในมุ้ง หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสซิกา ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์

 

การสังเกตอาการของโรคติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่พบอาการผิดปกติได้เร็ว หากคุณแม่มีอาการที่น่าสงสัย หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งต่อตัวคุณแม่เองและต่อทารกในครรภ์

ที่มา : โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล , โรงพยาบาลพญาไท

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

6 เคล็ดลับลดความเสี่ยง ทารกพิการแต่กำเนิด เพื่อลูกน้อยแข็งแรงสมบูรณ์

โฟลิก ห้ามกินพร้อมอะไร ? วิตามินบำรุงครรภ์ที่แม่ท้องต้อง “กินเป็น”

ค่าใช้จ่ายฝากครรภ์ ประกันสังคม เบิกได้เท่าไหร่ ต้องจ่ายเพิ่มมั้ย เช็กเลย!

 

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

สิริลักษณ์ อุทยารัตน์

  • หน้าแรก
  • /
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • /
  • 7 โรคติดเชื้อที่คนท้องต้องระวัง อันตรายต่อลูกในท้อง!
แชร์ :
  • วัคซีน RSV คนท้อง จำเป็นไหม? ปกป้องลูกรักจาก RSV ตั้งแต่ก่อนคลอด

    วัคซีน RSV คนท้อง จำเป็นไหม? ปกป้องลูกรักจาก RSV ตั้งแต่ก่อนคลอด

  • คนท้องควรนอนวันละกี่ชั่วโมง ? นอนเยอะแค่ไหนถึงพอดี ดีต่อแม่และทารก

    คนท้องควรนอนวันละกี่ชั่วโมง ? นอนเยอะแค่ไหนถึงพอดี ดีต่อแม่และทารก

  • ลูกไข้ขึ้นตอนกลางคืน กลางวันไข้ไม่มี ทำไมกลางคืนกลับตัวร้อนจี๋อีกแล้ว?

    ลูกไข้ขึ้นตอนกลางคืน กลางวันไข้ไม่มี ทำไมกลางคืนกลับตัวร้อนจี๋อีกแล้ว?

  • วัคซีน RSV คนท้อง จำเป็นไหม? ปกป้องลูกรักจาก RSV ตั้งแต่ก่อนคลอด

    วัคซีน RSV คนท้อง จำเป็นไหม? ปกป้องลูกรักจาก RSV ตั้งแต่ก่อนคลอด

  • คนท้องควรนอนวันละกี่ชั่วโมง ? นอนเยอะแค่ไหนถึงพอดี ดีต่อแม่และทารก

    คนท้องควรนอนวันละกี่ชั่วโมง ? นอนเยอะแค่ไหนถึงพอดี ดีต่อแม่และทารก

  • ลูกไข้ขึ้นตอนกลางคืน กลางวันไข้ไม่มี ทำไมกลางคืนกลับตัวร้อนจี๋อีกแล้ว?

    ลูกไข้ขึ้นตอนกลางคืน กลางวันไข้ไม่มี ทำไมกลางคืนกลับตัวร้อนจี๋อีกแล้ว?

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว