คุณแม่ต่างรู้ดีว่า นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด – 6 เดือน แต่สำหรับคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงาน หรือมีเหตุจำเป็นต้องห่างจากลูก วิธีสต๊อคนมแม่ ที่ถูกต้อง จะช่วยให้ลูกยังคงได้รับคุณค่าสารอาหารจากน้ำนมแม่อย่างต่อเนื่อง วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จัก วิธีสต๊อคนมแม่ที่ถูกต้อง ปลอดภัย และรักษาคุณภาพน้ำนมได้ดีที่สุดกันค่ะ
ทำไมนมแม่จึงดีที่สุด?
องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ (UNICEF) แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วนในช่วง 6 เดือนแรก และให้นมแม่ต่อเนื่องถึงอายุ 2 ปี พร้อมอาหารตามวัย เนื่องจาก
- นมแม่มี สารอาหารครบถ้วนตามธรรมชาติ ทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และเกลือแร่
- มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติที่ช่วยปกป้องทารกจากโรคติดเชื้อ
- มี DHA และ ARA ที่ช่วยเสริม การพัฒนาสมองและการมองเห็น
- นมแม่ย่อยง่าย ลดโอกาสท้องอืด ท้องผูก และภาวะโคลิก
- ลดความเสี่ยงต่อโรคไหลตายในทารก (SIDS) และ โรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน และโรคอ้วนในระยะยาว
ประโยชน์ของนมแม่ต่อคุณแม่
- ช่วยให้มดลูกหดตัวคืนสภาพได้เร็ว ลดการเสียเลือดหลังคลอด
- ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่
- ช่วยให้คุณแม่ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น และลดโอกาสซึมเศร้าหลังคลอดจากการหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin)
วิธีสต๊อคนมแม่ เริ่มต้นอย่างไร?
|
คุณแม่กลุ่มไหนควรเริ่มสต๊อคนม?
|
คุณแม่ Full-time |
คุณแม่ที่อยู่กับลูกตลอด แต่ต้องออกไปทำธุระชั่วคราว |
คุณแม่ทำงานนอกบ้าน |
คุณแม่ที่ต้องห่างจากลูกวันละ 8–12 ชม. |
คุณแม่ที่ห่างลูกระยะยาว |
เช่น ไปต่างจังหวัด/ต่างประเทศ จำเป็นต้องเตรียมสต๊อกอย่างมีแผน |

ช่วงเวลาทองของการปั๊มนม
1. สัปดาห์แรกหลังคลอด
- ปั๊มต่อหลังลูกกินนม 10–15 นาที เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม
2. สัปดาห์ที่ 2–6
- เน้นให้ลูกเข้าเต้าเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนได้ดีที่สุด
- ถ้าปั๊มเพิ่ม ให้ปั๊มพร้อมกับให้นม โดยใช้กรวยสูญญากาศช่วยเก็บน้ำนมที่ไหล
3. หลัง 6 สัปดาห์
- ลูกเริ่มมีรอบการนอนยาวขึ้น คุณแม่สามารถจัดรอบปั๊มนมให้เป็นระบบมากขึ้น เช่น ทุก 3 ชั่วโมง
สูตรปั๊มนมยอดฮิต
|
สูตรปั๊มนมแม่
|
วิธี
|
สูตรที่ 1 |
ปั๊มทันทีหลังลูกกินเสร็จ 10–15 นาที |
สูตรที่ 2 |
ปั๊มระหว่างมื้อ โดยเว้นห่างจากการเข้าเต้า 1 ชม. |
สูตรที่ 3 |
ปั๊มพร้อมกันทั้ง 2 เต้า ครั้งละ 15–20 นาที (แนะนำเมื่อใช้เครื่องปั๊มไฟฟ้าแบบคู่) |
การปั๊มอย่างมีวินัย 8–10 ครั้ง/วัน ในช่วงแรก จะช่วยให้ปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนใน 1–2 สัปดาห์
วิธีเก็บน้ำนมแม่ให้ปลอดภัย คงคุณค่าสารอาหาร
|
อุณหภูมิ |
ระยะเวลาที่เก็บได้ |
อุณหภูมิห้อง (>25°C) |
1 ชั่วโมง |
อุณหภูมิห้อง (<25°C) |
4 ชั่วโมง |
กระติกน้ำแข็ง (<15°C) |
24 ชั่วโมง |
ตู้เย็นช่องธรรมดา (4°C) |
4 วัน |
ช่องแช่แข็ง (ตู้เย็นประตูเดียว) |
2 สัปดาห์ |
ช่องแช่แข็ง (ประตูแยก) |
3 เดือน |
ตู้แช่แข็งแบบ deep freezer (-18°C) |
6 เดือน |

การอุ่นนมแม่ที่แช่สต๊อก
- ละลายจากช่องแช่แข็งสู่ตู้เย็นธรรมดา 12 ชม.
- แช่น้ำอุ่น (≤40°C) ก่อนป้อน ไม่ควรใช้ไมโครเวฟ เพราะจะทำลายสารอาหารสำคัญ
- ห้ามนำกลับแช่แข็งอีก ถ้านมละลายแล้ว
- นมเหลือจากการป้อน ต้องทิ้งใน 2 ชม. เนื่องจากปนเปื้นเชื้อแบคทีเรียจากปากของทารกแล้ว
กลิ่นเหม็นหืนจากนมสต๊อก แก้อย่างไร?
- กลิ่นหืนเกิดจากเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ที่ย่อยไขมันในนมบางชนิด
- นมแม่ที่มีกลิ่นหืน ยังปลอดภัย แต่เด็กบางคนอาจไม่ชอบ
- วิธีแก้ สามารถทำได้โดย
- ผสมนมเก่า (เหม็นหืน) กับนมใหม่
- ต้มสั้น ๆ ที่อุณหภูมิ 82°C เพื่อหยุดการทำงานของเอนไซม์
งานวิจัยจาก La Leche League แนะนำให้เก็บน้ำนมในภาชนะที่ปิดสนิท ไม่มีอากาศ และใช้ภาชนะแก้วหากปัญหากลิ่นหืนยังเกิดซ้ำ
เคล็ดลับการเก็บสต๊อกให้ได้นาน ไม่หืน ไม่บูด
- ล้าง-นึ่งอุปกรณ์ก่อนใช้ทุกครั้ง
- รีดอากาศออกจากถุงให้มากที่สุด
- แช่ช่องแข็งทันทีภายใน 1 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการจัดเก็บร่วมกับอาหารที่มีกลิ่นแรง
- ไม่จัดถุงนมชิดผนังตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ
บทความที่เกี่ยวข้อง น้ำนมแม่มีกลิ่นหืน ให้ลูกกินต่อได้ไหม แล้วต้องเก็บอย่างไรไม่ให้เหม็นหืน
การวางแผน วิธีสต๊อคนมแม่ อย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วนจากน้ำนมแม่ในทุกช่วงเวลา แต่ยังช่วยให้คุณแม่มีความมั่นใจและสบายใจในวันที่ต้องห่างลูกอีกด้วย การใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกอุปกรณ์ การจัดรอบปั๊ม ไปจนถึงการเก็บและละลายนม ล้วนส่งผลต่อคุณภาพน้ำนมที่ลูกจะได้รับ
ที่มา: โรงพยาบาลวิชัยเวช อ้อมน้อย , WHO , American Academy of Pediatrics
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ทำไม? อยู่ดีๆ ลูกไม่ยอมเข้าเต้า วิธีแก้ไขให้ลูกน้อย ยอมกลับมากินนมแม่
ช็อก! วิจัยล่าสุด พบไมโครพลาสติก ในน้ำนมแม่ ของคนไทย
นมแม่เป็นลิ่ม เพราะอาหารที่กินจริงมั้ย? เกี่ยวกับ ท่อน้ำนมอุดตัน หรือเปล่า?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!