ในช่วงปิดเทอมหรือแม้กระทั่งในช่วงที่โควิด 19 ระบาด ทำให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองไม่สามารถไปไหนได้นอกจากอยู่บ้าน ทำให้เด็ก ๆ ได้ดูจอมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นมือถือหรือการดูจอทีวีก็ตาม แต่พ่อแม่รู้ไหมว่า เด็กควรดูทีวีนานแค่ไหน และจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง เราจะพามาดูกันค่ะ
เด็กควรดูทีวีนานแค่ไหน
ลูก ๆ ของคุณพ่อคุณแม่นั้นปกติแล้วใช้เวลาเท่าไหร่ในการดูทีวีหรือภาพยนตร์ เล่นกับสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ หรือเพลิดเพลินกับวิดีโอเกมกันคะ แม้ว่าการดูหน้าจอบางครั้ง ก็เพื่อการศึกษา แต่ส่วนมากการใช้โทรศัพท์ในการดูอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการศึกษานั้นจะมีมากกว่า และเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่เด็กทุกคนต้องอยู่ที่บ้าน
เด็กควรดูทีวีนานแค่ไหน ? คำตอบคือ ไม่ควรสนับสนุนให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ดูหน้าจอมือถือหรือทีวี และแนะนำให้จำกัดเวลาหน้าจอของเด็กโตให้ไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงต่อวัน
ติดจอมากเกินไปอันตรายกว่าที่คิด
1. โรคอ้วน
ยิ่งเด็ก ๆ ดูทีวีและวิดีโอมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่เด็กจะมีน้ำหนักเกิน ก็จะยิ่งมากขึ้น เท่านั้น การมีทีวีหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ในห้องนอนของเด็กจะเพิ่มความเสี่ยงนี้เช่นกัน นอกจากนี้ เด็กก็จะอยากกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์จากการดูโฆษณาได้ เช่นเดียวกับการรับประทานอาหารมากเกินไปในขณะที่รับชมผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
2. การนอนผิดเวลา
ยิ่งเด็ก ๆ ใช้เวลาดูหน้าจอมากเท่าไหร่ เด็กก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาในการนอนหลับ หรือมีตารางการนอนที่ผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น การอดนอนอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้า และความอยากกินอาหารที่เพิ่มขึ้น
3. ปัญหาพฤติกรรม
เด็ก ๆ ที่ใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงต่อวันในการดูทีวี เล่นวิดีโอเกม ใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาด้านอารมณ์ สังคม และความสนใจ นอกจากนี้ การเล่นวิดีโอเกม สามารถเพิ่มปัญหาความสนใจของเด็กได้
ในขณะที่เล่นวิดีโอเกม สมองของบุคคลนั้นจะประมวลผลสถานการณ์ราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง หากเกมแสดงให้เห็นสถานการณ์ที่อันตรายหรือรุนแรง ร่างกายของผู้เล่นเกมจะตอบสนองตามนั้น “การตอบสนองแบบสู้หรือหนี” ต่ออันตรายที่รับรู้นั้น ถูกกระตุ้นในเกมที่รุนแรง การเล่นวิดีโอเกมมากเกินไปอาจทำให้สมองถูกเร่งให้อยู่ในภาวะตื่นตัวตลอดเวลา
4. ผลการเรียนบกพร่อง
เด็ก ๆ ที่มีทีวีหรือหน้าจออื่น ๆ ในห้องนอนมักจะทำข้อสอบได้แย่กว่านักเรียนที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในห้องนอน เนื่องจากเด็ก ๆ จะถูกดึงดูดจากสิ่งอื่นที่น่าสนใจกว่าการเรียน ทำให้เด็กสนใจการเรียนลดลง
5. ความรุนแรง
การเปิดรับความรุนแรงผ่านสื่อมากเกินไป อาจทำให้เด็กไม่รู้สึกไวต่อความรุนแรง ส่งผลให้เด็กเรียนรู้ที่จะยอมรับพฤติกรรมรุนแรง และมองว่าเป็นเรื่องปกติในการแก้ปัญหา
6. เวลาเล่นน้อย
เด็ก ๆ จะใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไป ทำให้มีเวลาน้อยลงสำหรับการเล่นที่สร้างสรรค์ เวลาอยู่หน้าจอทั้งหมดของเด็ก ๆ อาจมากกว่าที่คิด ควรเริ่มติดตามและพูดคุยกับลูก เกี่ยวกับความสำคัญของการติดหน้าจอให้น้อยลง และออกไปเล่นข้างนอกให้มากขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : ลูกติดเกม ติดมือถือ อันตราย! วิธีเลี้ยงดูลูกอย่างไร ไม่ให้ลูกเสพติดจอ อย่าทำร้ายสุขภาพลูก
ขั้นตอนง่าย ๆ ในการลดเวลาหน้าจอ
1. ปิดทีวี
หากทีวีเปิดอยู่ แม้ว่าจะเป็นเพียงการเปิดทิ้งไว้ก็ตาม แต่ก็มีแนวโน้มที่จะดึงความสนใจของลูกได้ หากคุณไม่ได้กำลังดูรายการนั้นอยู่ ให้ปิดทีวีลง และนี่ยังสามารถช่วยในการประหยัดไฟได้อีกด้วย
2. ไม่ควรมีทีวีในห้องนอน
เด็กที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน จะใช้เวลาดูมากกว่าเด็กที่ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ในห้องนอน จำกัดเวลาการใช้โทรศัพท์มือถือหรือการดูทีวีของลูก และควรวางทีวีและคอมพิวเตอร์ไว้ในพื้นที่ส่วนกลางในบ้านเพื่อช่วยในการควบคุมเวลา
3. อย่าดูทีวีขณะกิน
การปล่อยให้ลูกกิน และดูอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปด้วย เป็นการเพิ่มเวลาการหน้าจอให้กับลูก และนี้ยังเป็นการทำให้กินเพลินจนทำให้อาหารหมดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : หยุดดูจอ ก่อนจะสายเกินแก้ เทคโนโลยีส่งผลต่อสุขภาพของคุณอย่างไร?
มีส่วนร่วมมากที่สุดเมื่อดูทีวีควร
1. เลือกให้
แทนที่จะเลือกดูช่องต่าง ๆ ให้หาวิดีโอหรือรายการที่มีคุณภาพ ลองใช้การตั้งค่าการควบคุมโดยผู้ปกครองบนทีวี และคอมพิวเตอร์ของคุณ ดูตัวอย่างวิดีโอและเช็กแอปพลิเคชัน ก่อนที่จะอนุญาตให้ลูกเล่นเกมหรือดูวิดีโอนั้น ๆ
2. ดูกับลูก
เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ให้ดูรายการต่าง ๆ ด้วยกัน และพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเห็น เช่น ค่านิยมของครอบครัว ความรุนแรง หรือการใช้ยาในทางที่ผิด หากคุณเห็นโฆษณาอาหารขยะ ให้อธิบายว่า แค่เพราะมันอยู่ในทีวี ไม่ได้หมายความว่ามันดี
3. บันทึกรายการและดูในภายหลัง
จะช่วยให้คุณสามารถข้ามโฆษณาขายของเล่น อาหารขยะ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่คุณไม่สนใจได้อย่างรวดเร็ว หากเมื่อรับชมรายการสด ให้ใช้ปุ่มปิดเสียงในระหว่างที่มีโฆษณา
4. ไม่นั่งดูเฉย ๆ
ให้ลูกยืดเส้นยืดสาย หรือออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะดูทีวี เล่นเกมกับครอบครัว ดูว่าใครสามารถกระโดดตบได้มากที่สุดในช่วงพักโฆษณา หรือเลือกวิดีโอเกมที่ส่งเสริมการออกกำลังกาย
การเริ่มจำกัดเวลาหน้าจอของลูกอาจเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม มันก็คุ้มค่ากับความพยายาม ด้วยการสร้างกฎใหม่ และเปลี่ยนแปลงกิจวัตรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถลดเวลาในการอยู่หน้าจอ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
การอยู่กับจอให้เกิดประโยชน์
การดูทีวี หรือการดูจอสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากมาย ไม่เร็วเกินไปที่จะวางแผน การใช้เวลาที่อยู่หน้าจอกับครอบครัวของคุณ ให้ลูกช่วยออกความคิดเห็น และนี่คือสิ่งที่ควรรู้
- ทำความคุ้นเคยเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับวัย
- พูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่พวกลูกเห็น ชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ดี เช่น ความร่วมมือ มิตรภาพ และความห่วงใยผู้อื่น เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่มีความหมายหรือสถานที่ที่น่าสนใจ
- ระวังโฆษณาและอิทธิพลของโฆษณาที่มีอิทธิพลต่อการเลือก
- ส่งเสริมให้ลูกของคุณเรียนรู้กิจกรรมอื่น ๆ เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ และงานอดิเรกที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าจอ
- สร้างตัวอย่างที่ดีด้วยนิสัยการติดหน้าจอที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพของคุณเอง
- สอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยออนไลน์
- ส่งเสริมการใช้หน้าจอในลักษณะที่สร้างความคิดสร้างสรรค์
- พิจารณาวุฒิภาวะและนิสัยของลูก เพราะเด็กแต่ละคนมีวุฒิภาวะไม่เท่ากัน
เด็ก ๆ ไม่ควรดูจอ มากเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะทำให้สามารถเป็นอันตรายได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน การนอนผิดเวลา มีปัญหาพฤติกรรม ส่งผลให้ผลการเรียนต่ำลง รวมถึงปัญหาความรุนแรง และทำให้มีเวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นลดลง หากเมื่อเด็กอยู่กับจอพ่อแม่ควรอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสม และควรแนะนำให้เด็ก ๆ ใช้การดูหน้าจอให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
5 วิธีจำกัดสื่อออนไลน์สำหรับเด็ก ช่วยลูกพ้นจากสื่อที่เกินคำว่าเหมาะสม
ลูกดูทีวีดูมือถือทั้งวัน จอจนตาอักเสบรุนแรง! พ่อโพสต์เตือนอย่าปล่อยลูกดู ทีวี มือถือ ยิ่งนานยิ่งอันตราย
เด็กติดอินเทอร์เน็ต สื่อออนไลน์ ติดมือถือ ติดคอม แก้ไขและป้องกันได้อย่างไร?
ที่มา : medlineplus, mayoclinichealthsystem
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!