ฟันนั้นถือเป็นอวัยวะชิ้นที่สำคัญชิ้นหนึ่งของร่างกายคนเรา เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยบดอาหารก่อนที่เราจะกลืนอาหารลงไปในกระเพาะ หากฟันของเด็กทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอหรือเกิดความเสียหาย ก็อาจส่งผลต่อการรับประทานอาหาร สารอาหารที่ได้น้อยลง การเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ได้ รวมถึงรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กด้วยครับ แล้ว อาหารที่เด็กกินแล้วเสี่ยงฟันผุ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย
ฟันผุคืออะไร ?
ฟันผุ คือ ภาวะที่ฟันถูกทำลาย ซึ่งเกิดจากจุลินทรีย์ในปาก ที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นกรด และกัดกร่อนฟันจนเกิดความเสียหาย ซึ่งเกิดจากน้ำตาลเหล่านั้น มักมาจากอาหารหรือเครื่องดื่มที่รับประทานเข้าไปแล้วแปรงฟันหรือทำความสะอาดออกได้ไม่หมด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว อาหารที่ทำให้เด็กฟันผุ มักจะเป็นอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ซึ่งน้ำตาลในอาหาร แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ น้ำตาลที่เติมลงในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ และน้ำตาลที่มีอยู่ในอาหารอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้น โดยจะพบได้ในผลไม้ น้ำผึ้ง และนมสด ซึ่งน้ำตาลที่อยู่ในผลไม้บางชนิดก็ ทำให้เราฟันผุได้เช่นเดียวกัน
โดยปกติ เด็กที่ฟันผุอาจจะรู้สึกเสียวฟัน เมื่อกินอาหารที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด หรือ มีเศษอาหารติดจากฟันที่ผุเป็นรูตอนกินอาหาร รวมทั้ง อาจมีจุดสีดำหรือน้ำตาลอยู่ที่ฟัน ทำให้ฟันดูไม่สวยงาม และยังอาจมีกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย ซึ่งหากคุณแม่สังเกตเห็นว่าเด็ก ๆ มีอาการหรือภาวะเหล่านี้ รวมถึงหากเด็ก ๆ รู้สึกปวดฟันตอนที่รับประทานอาหาร ปวดบวมที่แก้ม ควรรีบพาไปพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากปล่อยไว้นาน เด็กอาจมีฟันแตกหักหรือ ติดเชื้ออย่างรุนแรง เป็นหนองในเหงือกและฟัน ทำให้มีปัญหาด้านการเคี้ยวอาหาร ทานอาหารลำบาก สารอาหารที่ได้ก็น้อยลง โภชนาการไม่สมบูรณ์ มีปัญหาด้านการเจริญเติบโต และการพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตามมาได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : วิธีป้องกันฟันน้ำนมผุ ทารกฟันผุง่าย ไม่อยากให้ลูกฟันผุ ต้องทำอย่างไร ทำไมทารกถึงฟันน้ำนมผุได้ง่าย?
อาหารที่เด็กกินแล้วเสี่ยงฟันผุ
อาหารที่มักทำให้เด็กฟันผุส่วนใหญ่นั้น เป็นอาหารที่มีน้ำตาลเยอะ เหนียวเคี้ยวยาก ซึ่งอาหารเหล่านี้ อาจไปติดอยู่ตามซอกฟัน ทำให้แปรงฟันทำความสะอาดได้ยาก แถมผลไม้บางชนิดก็ยังทำให้ฟันผุได้ด้วย โดยอาหารที่ทำให้เด็กฟันผุได้ง่าย มีดังนี้
- เยลลี่ กัมมี่ กะละแม
- ผลไม้อบแห้ง ผลไม้อบปรุงรส ผลไม้กวนต่าง ๆ
- น้ำผลไม้ ผลไม้กระป๋องผสมน้ำเชื่อม หรือเครื่องดื่มที่ผสมน้ำเชื่อม
- ลูกอมทั่ว ๆ ไป ลูกอมคาราเมล ท็อฟฟี่
- น้ำอัดลม โซดา
- เค้ก และบิสกิต
- ขนมรสหวานต่าง ๆ
- ช็อกโกแลต
- นมและโยเกิร์ตปรุงรส
- ซีเรียลกล่อง ซีเรียลบาร์ ที่มีผสมน้ำเชื่อม คาราเมลเหนียวข้น
- ขนมมันฝรั่ง
- ขนมปังแผ่น
- ป็อปคอร์น
- แยม
- กาแฟ
- อาหารอื่น ๆ ที่เติมน้ำตาล
หากคุณแม่กำลังหาอาหารอย่างอื่น มาทดแทนอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ แนะนำให้สอนเด็ก ๆ ให้รับประทานผลไม้หรือผักสดอย่างกล้วย แตงกวา แครอท หรือจะให้กินอาหารแบบไม่ปรุงรสก็ได้ แต่ถ้าหากเด็ก ๆ ยังอยากรับประทานอาหารที่เสี่ยงทำให้ฟันผุเหล่านี้อยู่ ก็ไม่ควรให้เขากินเยอะ จำกัดปริมาณ และความถี่ให้เหมาะสม และควรกำชับให้เขาแปรงฟันให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่คอยตรวจสอดส่องดูการแปรงฟันของลูกด้วยว่าสะอาดพอมั้ย เพื่อไม่ให้มีเศษอาหารหรือเศษขนมเคลือบน้ำตาลติดค้างอยู่ที่ซอกฟันนั่นเองครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง : จริงเหรอ คนท้องฟันผุ ฟันกร่อน เลือดออกตามไรฟัน เพราะลูกในท้องแย่งแคลเซียม
อาหารช่วยป้องกันฟันผุ
หากคุณแม่กำลังหาทางเลือกใหม่ ๆ ในการรับประทานอาหารให้น้อง ๆ เพื่อช่วยป้องกันฟันผุ ควรให้น้อง ๆ ทานอาหารดังต่อไปนี้
อาหารที่มีแคลเซียม
แคลเซียมมีส่วนสำคัญในการป้องกันฟันผุ และเป็นสารอาหารจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ซึ่งแคลเซียมมักอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม โยเกิร์ต ชีส นอกจากนี้ ยังมีในผักใบเขียว เช่น บรอกโคลี ปลากรอบทั้งตัว อัลมอนด์ หรือถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น
ผลไม้และผักใบเขียวที่มีไฟเบอร์ (ที่ไม่มีรสหวาน)
การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ที่ไม่มีรสหวาน จะช่วยให้ปากมีน้ำลายมากขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันฟันผุ โดยผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง รวมถึงเส้นใยไฟเบอร์สามารถช่วยขัดสีผิวฟันให้สะอาดมากขึ้นได้ แต่ต้องระวังการติดตามซอกฟันของลูกด้วย ได้แก่ อินทผลัม ลูกเกด มะเดื่อ กล้วย แอปเปิ้ล ส้ม ถั่วบรัสเซลส์ ถั่วงอก ถั่วลิสง อัลมอนด์ ต่าง ๆ
การรักษาฟันที่ถูกวิธี
นอกจากเรื่องของการรับประทานอาหารแล้ว คุณแม่ยังควรดูแลรักษาความสะอาดฟันของน้อง ๆ อยู่เสมอ เพราะการไม่ดูแลรักษาความสะอาดฟัน หรือการดูแลรักษาฟันที่ผิดวิธีนั้น อาจทำให้ฟันเด็กเกิดความเสียหายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งวิธีดูแลฟันเด็ก ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
- สร้างนิสัยการกินที่ดีให้เด็ก โดยไม่ควรให้เด็กรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเยอะเกินไป และควรให้เด็กรับประทานเป็นเวลา เช่น หลังมื้ออาหารเท่านั้น
- พาเด็กเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันตั้งแต่อายุยังน้อย และตรวจสม่ำเสมอทุก 6 เดือน
- สอนให้เด็กแปรงฟันอย่างถูกวิธี โดยควรแปรงฟันครั้งละ 2-5 นาที วันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและก่อนเข้านอน และให้บีบปริมาณยาสีฟันขนาดตามช่วงอายุที่กำหนด
- ให้เด็กใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ทุกครั้งขณะที่แปรงฟัน
- ไม่ปล่อยให้เด็กวิ่งไปมาขณะที่แปรงฟัน เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- ควรให้เด็กเข้ารับการตรวจฟันปีละ 2 ครั้ง หรืออย่างน้อยปีละครั้ง
- ระวังการหลับคาขวดนมของลูก และไม่ควรให้ลูกกินขนม หรือ นม หรือ อาหารใด ๆ หลังจากแปรงฟัน ควรให้ลูกทานนม หรือ ขนมให้เสร็จก่อน แล้วจึงแปรงฟัน นอน เนื่องจากการทานนม หรือ ขนมหลังแปรงฟัน จะเพิ่มโอกาสการเกิดฟันผุได้สูงมากยิ่งขึ้น
- พยายามเลือกขนม ไม่ให้เด็กทานอาหารหรือขนมที่เหนียว ติดฟันได้ง่าย เพราะอาจทำให้บ้วนปากหรือแปรงฟันออกได้ไม่หมด
ทั้งนี้ อีกหนึ่งวิธีที่เป็นเกราะป้องกันฟัน และช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ฟันผุได้ง่าย คือการเคลือบฟลูออไรด์ ฟลูออไรด์ถือว่าเป็นแร่ธาตุที่เคลือบอยู่บริเวณฟัน ช่วยทำให้ฟันเราแข็งแรง แถมยังป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์เข้าทำลายฟัน ลดโอกาสเกิดฟันผุได้อีกด้วย โดยเด็ก ๆ สามารถเข้ารับการเคลือบฟันกับคุณหมอได้ เมื่อมีอายุ 4 ปีขึ้นไป หากคุณแม่กลัวว่าน้อง ๆ จะแปรงฟันไม่สะอาด หรืออาจดูแลฟันได้ไม่ดีพอ แนะนำให้พาน้อง ๆ ไปเคลือบฟลูออไรด์ เพื่อช่วยน้อง ๆ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ ซึ่งหลังจากที่เคลือบฟลูออไรด์เสร็จ ก็ยังต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน และช่วยน้อง ๆ รักษาความสะอาดฟันอยู่เสมอ ไม่ควรปล่อยปละละเลยนะครับ
และเนื่องจากว่าเด็ก ๆ ที่อายุยังน้อย อาจจะไม่รู้จักวิธีดูแลรักษาช่องปากและควบคุมอาหารการกินของตนเอง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคุณแม่ที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยน้อง ๆ ซึ่งการสอนให้เด็ก ๆ มีวินัยในการรับประทานอาหารและวินัยเรื่องการดูแลช่องปากตั้งแต่ยังอายุยังน้อยนั้น จะช่วยสร้างเสริมนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก จวบจนเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ครับ
ทพ.ณัฐภัทร ภัทรพรเจริญ ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
แปรงฟันยังไงให้ถูกวิธี และการเลือก ยาสีฟันสำหรับเด็ก ควรพิจารณาอะไรบ้าง ?
ปัญหาเรื่อง ฟันผุ ปวดฟัน ส่งผลเสียต่อการพัฒนาการของลูกหรือไม่
ทารกฟันบิ่น ฟันแตก เป็นฟันน้ำนมก็ติดเชื้อได้ ป้องกันอย่างไรดี ?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!