ทารกเกือบทุกคนล้วนเจอกับความวิตกกังวลจากการแยกจาก และเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ๆ ที่เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์แบบนี้ อาการนี้เกิดขึ้นเมื่อลูกเริ่มเข้าใจว่ามีสิ่งต่าง ๆ และผู้คนที่มีตัวตนอยู่แม้กระทั่งเมื่อสิ่งเหล่านี้ และคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่รอบ ๆ ตัวทารกแล้วก็ตาม เด็กทารกที่กำลังอยู่ในช่วงนี้จะมีอาการกระวนกระวายกับการต้องแยกจากพ่อแม่ จนเป็นคำเรียกว่า “ลูกติดแม่มาก” ลูกจะเริ่ม “เชื่อมโยง” การแยกจากกับสิ่งต่าง ๆ เช่น เมื่อคุณใส่รองเท้า ลูกจะเข้าใจว่าหมายถึงคุณกำลังจะออกจากบ้าน และจากลูกไป ลูกจะมีปฏิกิริยาติดพ่อแม่ขึ้นมา อาการของความวิตกกังวลจากการแยกจากมักพบได้มากที่สุดเมื่อลูกมีอายุระหว่าง 9 ถึง 18 เดือน
ทำไมลูกจึงติดแม่มาก ?
เราสามารถจัดกลุ่มและอธิบายในเชิงจิตวิทยาได้ดังนี้
1. พัฒนาการตามวัย
อาการนี้เกิดขึ้นเมื่อลูกเริ่มเข้าใจ “การคงอยู่ของสิ่งของ” (Object Permanence)
- ช่วง 0-6 เดือน: ทารกยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่มองไม่เห็นยังมีตัวตนอยู่ “แม่หายไปจากสายตา = แม่หายไปจากโลก”
- ช่วง 6-9 เดือนขึ้นไป: พัฒนาการทางสมองช่วยให้เด็กเข้าใจว่า “ถึงแม้แม่จะเดินหายไปจากห้อง แต่แม่ก็ยังอยู่… ที่ไหนสักแห่ง”
เมื่อการรับรู้นี้เกิดขึ้น ผนวกกับความผูกพันที่เด็กสร้างขึ้นกับแม่ (หรือผู้เลี้ยงดูหลัก) ซึ่งเปรียบเสมือน “ฐานที่มั่นทางใจ” (Secure Base) ความกังวลจึงเกิดขึ้นตามมาว่า “แล้วแม่จะกลับมาไหม?” “ถ้าแม่ไม่กลับมาจะทำอย่างไร?”
ภาวะนี้มักเริ่มเห็นชัดในช่วง 8-9 เดือน และจะติดแม่มากที่สุดในช่วงอายุ 9 ถึง 18 เดือน
2. การเลี้ยงดูที่ทำให้ลูกรู้สึกไม่ปลอดภัย
นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด การเลี้ยงดูบางรูปแบบอาจทำให้เด็กเกิดความวิตกกังวลโดยไม่ตั้งใจ
- การปกป้องมากเกินไป: การที่ผู้ปกครองเข้าไปช่วยเหลือหรือปกป้องในทุกเรื่อง ส่งสารไปยังเด็กว่า “โลกภายนอกน่ากลัว และหนูไม่สามารถจัดการมันได้ด้วยตัวเอง” เด็กจึงเรียนรู้ว่าวิธีเดียวที่จะปลอดภัยคือต้องอยู่ใกล้พ่อแม่ตลอดเวลา
- การคุกคามทางอารมณ์: ข้อนี้อันตรายอย่างยิ่ง การขู่ว่า “ถ้าดื้อจะทิ้ง” “จะไม่รัก” หรือ “จะหนีไป” เป็นการโจมตี “ฐานที่มั่นทางใจ” ของเด็กโดยตรง มันสร้างความกลัวการถูกทอดทิ้งอย่างรุนแรง ทำให้เด็กต้องเกาะติดผู้ปกครองไว้แน่นเพื่อยืนยันว่าตนเองจะไม่ถูกทิ้ง
3. พื้นอารมณ์ของเด็ก
การที่ ลูกติดแม่มาก อาจเป็นเพราะนิสัยของเด็กเอง เด็กบางคนมีพื้นอารมณ์แบบ “ปรับตัวช้า” (Slow-to-warm-up) หรือมีแนวโน้ม “ขี้อาย” (Shy) มาแต่กำเนิด เด็กกลุ่มนี้จะไวต่อสิ่งเร้าใหม่ๆ หรือคนแปลกหน้า และต้องการเวลาในการปรับตัวนานกว่า จึงไม่แปลกที่เขาจะหลบหลังพ่อแม่ หรือยึดพ่อแม่ไว้เป็นเกราะกำบัง
4. ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อใดก็ตามที่เด็กรู้สึกไม่มั่นคงจากปัจจัยภายนอก เขาจะยิ่งต้องการฐานที่มั่นมากขึ้น เช่น:
- การเจ็บป่วย
- การย้ายบ้าน หรือการเริ่มไปโรงเรียน
- การมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว
- ความตึงเครียดในบ้าน หรือการหย่าร้าง
5. พันธุกรรม
ข้อสังเกตเรื่องพันธุกรรมนั้น มีความเป็นไปได้ในแง่ของพื้นอารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดมา แต่ปัจจุบัน นักจิตวิทยาเน้นความสำคัญของ “ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม” มากกว่าการชี้ชัดว่ามาจากพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว
บทความที่เกี่ยวข้อง : ลูกจะติดแม่ตอนกี่เดือน ลูกมักจะใช้เวลาอยู่กับแม่ตลอดเวลาเพราะอะไร?
วิดีโอจาก : โค้ชเลิศพร สอนแม่และเด็ก
สร้างความเข้าใจตั้งแต่แรกเกิด แก้ปัญหาลูกติดแม่ได้ดี
หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่กำลังจะมีลูก และต้องการศึกษาวิธีทำให้ลูกไม่ติดแม่ ไม่ติดพ่อมากเกินไป การแก้ที่ดี คือ การป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเล็ก เปิดโอกาสให้ลูกได้กล้าแสดงออก แสดงความคิดเห็น ให้เรียนรู้ด้วยตนเอง เมื่อลูกทำผิดไม่ควรทำโทษด้วยการดุด่าอย่างรุนแรง ไม่ควรขู่ให้ลูกกลัว และสนับสนุนลูกในสิ่งที่เหมาะสมให้เกิดการเรียนรู้ มากกว่าการห้าม จะช่วยให้เด็กมีความกลัว มีความกังวลน้อยลง และมีนิสัยที่กล้าขึ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกน้อยมีนิสัยติดพ่อแม่น้อยลง
วิธีรับแก้ปัญหา ลูกติดแม่มาก สำหรับเด็กเล็ก (ช่วง 9-18 เดือน)
สิ่งที่ควรเน้นในวัยนี้คือ “การสร้างความไว้วางใจที่คาดเดาได้”
- บอกลาเสมอ:การแอบหนีไป เช่น ตอนลูกเผลอ จะทำลายความไว้วางใจอย่างรุนแรง ลูกจะยิ่งตื่นตระหนกและเกาะติดแม่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาไม่รู้ว่าแม่จะ “หายตัวไป” อีกเมื่อไหร่
- บอกลาให้สั้น กระชับ และมั่นคง: ตามที่บทความเดิมแนะนำ “จูบ กอด บอกว่าจะไปไหน และจะกลับมาเมื่อไหร่” ทำด้วยท่าทีที่มั่นคงแต่อบอุ่น หากคุณแสดงความลังเลหรือกังวล เด็กจะรับรู้ได้และยิ่งกังวลตาม
- ฝึกซ้อมที่บ้าน: เริ่มจากการแยกจากสั้นๆ เช่น “แม่ไปเข้าห้องน้ำนะคะ” แล้วกลับมาทันที ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลา เพื่อให้เด็กเรียนรู้ว่า “แม่ไป แล้วแม่กลับมาจริง”
- สร้างความคุ้นเคยกับผู้ดูแลใหม่: หากต้องใช้พี่เลี้ยง ควรให้เวลาลูกได้สร้างความคุ้นเคย โดยมีคุณแม่อยู่ด้วยในระยะแรก
บทความที่เกี่ยวข้อง : ลูกขี้อาย ทำไงดี ไม่กล้าแสดงออกเลย ให้ทำอะไรก็ไม่ทำ มีวิธีแก้ไหม

วิธีแก้ ลูกติดแม่มาก สำหรับเด็กโต (วัยก่อนเรียน)
หัวใจสำคัญของวัยนี้คือ “การสร้างความมั่นใจในตนเอง”
- ห้ามลงโทษหรือมองข้ามความรู้สึก: บทความเดิมเน้นย้ำเรื่องนี้อย่างถูกต้อง การดุว่า “โตแล้วยังติดแม่อีก” เป็นการบอกลูกว่า “ความรู้สึกกลัวของหนูเป็นเรื่องไร้สาระ” เมื่อเขารู้สึกอ่อนแอแล้วถูกปฏิเสธ เขาอาจเลิกแสดงความรู้สึก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาหายกลัว
- ให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง: ส่งเสริมให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง “ยิ่งลูกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเท่าไร ลูกก็จะรู้สึกมั่นคงกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่านั้น” การมอบหมายงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ หรือให้เขาจัดการกิจวัตรส่วนตัว เช่น แต่งตัว เก็บของเล่น คือการสร้างความภาคภูมิใจที่ดีที่สุด
- จัดเวลาคุณภาพ: การ “จัดช่วงเวลาอยู่กับลูกโดยไม่ถูกรบกวน” (แม้เพียง 30 นาที) เป็นการเติมความมั่นคงทางใจให้ลูก เขารู้สึกอิ่มและมั่นใจว่าเขายังเป็นคนสำคัญ ทำให้ลดความต้องการเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา
- เพิ่มกิจกรรมทางสังคม: การเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นนอกเหนือจากครอบครัว
พฤติกรรม “ลูกติดแม่มาก” เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการที่แสดงถึงความผูกพันที่ดีระหว่างลูกกับแม่ มันไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสัญญาณ ที่ลูกกำลังบอกเราว่า “หนูรักแม่ และหนูกลัวการสูญเสียแม่ไป”
หน้าที่ของคุณแม่คือการเป็นฐานที่มั่นทางใจ ที่หนักแน่น อบอุ่น และ คาดเดาได้เมื่อลูกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า “แม่อยู่ตรงนี้เสมอ และแม่จะกลับมา” เขาจะกล้าพอที่จะก้าวออกไปสำรวจโลกกว้างด้วยตัวเอง
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
9 วิธีเลี้ยงลูกให้ สนิทกับลูก อยากสนิทกับลูกทำยังไงดี ? วิธีเลี้ยงลูกให้สนิทกับแม่
ลูกร้องไห้ไม่หยุด ลูกร้องแบบนี้บอกอะไร พ่อแม่ต้องทำยังไง ?
10 วิธี การเลี้ยงลูกให้ฉลาด อยากให้ลูกฉลาดเติบโตเป็นคนเก่ง ต้องอ่าน !!
ที่มาข้อมูล : trueplookpanya , brainfit
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!