ลักษณะครรภ์เป็นพิษ ภาวะครรภ์เป็นพิษ มีลักษณะเป็นอย่างไร ครรภ์เป็นพิษอันตรายมากไหม อาการที่แสดงเป็นอย่างไรบ้าง คนท้องมีอาการครรภ์เป็นพิษ ควรดูแลตัวเองอย่างไร
ครรภ์เป็นพิษ ครรภ์มีพิษ ภาวะครรภ์เป็นพิษ คืออะไร
ครรภ์ มาจากภาษาอะไร เชื่อว่าใครหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง แต่ก็อาจจะยังไม่รู้ว่าคำเหล่านี้มาจากภาษาอะไร แน่นอนว่าคำว่า “ครรภ์” ที่เราเคยได้ยินกันนั้น มาจากภาษาบาลีสันสกฤต ที่มีความหมายแปลว่า ท้อง หรือท้องที่มีลูก นั่นเอง
รกครรภ์ คืออะไรกันนะ?
รก หรือ รกครรภ์ เป็นอวัยวะชนิดหนึ่งที่จะพบได้ในเฉพาะหญิงที่กำลังตั้งครรภ์เท่านั้น โดยอวัยวะส่วนนี้จะทำหน้าที่คอยลำเลียงออกซิเจนและอาหารส่งไปยังทารกในท้อง เพราะฉะนั้น รกครรภ์ จึงถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่พิเศษสำหรับคุณแม่และลูกมากๆ เลยค่ะ
ในส่วนครรภ์เป็นพิษ หรือ ครรภ์เป็นพิษภาษาอังกฤษ เรียกว่า Pregnancy poisoning เป็นอาการที่ผิดปกติของหญิงตั้งครรภ์ โดยจะมีอาการร่วม 3 ประการ คือ อาการบวม ความดันโลหิตสูง และสารไข่ขาวในปัสสาวะ ส่วนใหญ่จะพบเมื่อมีการตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์ โดยอาการครรภ์เป็นพิษจะถูกแบ่งออกเป็น 2 อาการ คือ
- พรีอีแคลมป์เชีย (preeclampsia) จะทำให้คุณแม่มีอาการบวม ความดันโลหิตสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ แต่ไม่มีอาการชักหรือหมดสติแต่อย่างใด
- อีแคลมป์เชีย (eclampsia) จะทำให้คุณแม่มีอาการบวม ความดันโลหิตสูง มีสารไข่ขาวในปัสสาวะ และมีอาการชักหรือหมดสติ ซึ่งเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตลงได้
อาการครรภ์เป็นพิษ ครรภ์มีพิษ เกิดจากอะไร
นพ.ร่มไทร เลิศเพียรพิทยกุล สูติแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ครรภ์เป็นพิษมักเกิดกับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป พบว่า 4 ใน 100 คน ของคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการครรภ์เป็นพิษ ในจำนวนนี้ 80% มีอาการไม่รุนแรง แต่อีก 20% อาการค่อนข้างรุนแรง ทั้งนี้ ครรภ์เป็นพิษเกิดจากความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษ รกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลง จะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เช่น เส้นเลือดสมองตีบ ตาพร่ามัว ตับวาย ฯลฯ ต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะหากร้ายแรงถึงขั้นมีอาการชักร่วมด้วย อาจมีอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตทั้งแม่และลูก

ครรภ์เป็นพิษ หรือ ครรภ์เป็นพิษภาษาอังกฤษ เรียกว่า Pregnancy poisoning
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษ
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงครรภ์เป็นพิษคือ
- ผู้หญิงที่มีโรคอ้วน เส้นเลือดไม่ค่อยดี มีโอกาสตีบง่าย
- หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุเกิน 35 ปี
- มีกรรมพันธุ์หรือคนในครอบครัวมีครรภ์เป็นพิษมาก่อน
- คนที่มีบุตรยาก
- คุณแม่ที่ตั้งครรภ์เด็กมากกว่า 1 คนหรือตั้งครรภ์แฝด
- ตั้งครรภ์ครั้งแรก
- คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไต ไทรอยด์ แพ้ภูมิตนเอง (SLE) เป็นต้น
ภาวะครรภ์เป็นพิษ น่ากลัวแค่ไหน
ระดับความรุนแรงของครรภ์เป็นพิษ มีความรุนแรงหลายระดับโดยเริ่มตั้งแต่
- ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง (Non – Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน
- ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง (Severe Pre – Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ
- ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก (Eclampsia) แม่ตั้งครรภ์จะมีอาการชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง ซึ่งหากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยอาการผิดปกติทางร่างกายที่แสดงออกหากครรภ์เป็นพิษ ได้แก่
- อาการบวม เช่น บริเวณมือ เท้า หน้า
- น้ำหนักเพิ่มเร็วขึ้นผิดปกติ (โดยปกติน้ำหนักของคุณแม่จะเพิ่มเดือนละ 1.5 – 2 กิโลกรัม)
- ปวดศีรษะมาก รับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น 4
- ทารกดิ้นน้อย ตัวเล็ก โตช้า
- ความดันโลหิตสูงมากกว่าหรือเท่ากับ140/90 มิลลิเมตรปรอท ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ตาพร่ามัว ปวดหรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา

ครรภ์เป็นพิษอันตรายต่อคนท้องอย่างไร
สาเหตุที่ทำให้คนท้องมี อาการครรภ์เป็นพิษ ภาวะครรภ์เป็นพิษ
สำหรับสาเหตุของครรภ์เป็นพิษยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก ระยะเวลาและความรุนแรงของการเกิดโรคก็ไม่มีความแน่นอน ต้องรอให้อาการแสดงก่อนคุณหมอจึงจะวินิจฉัยได้ แต่มีการสันนิษฐานจากหลักฐานที่ทีมีว่า อาการครรภ์เป็นพิษ เกิดจากที่รกสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อเข้าสู่กระแสเลือดของคุณแม่จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และเกิดเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษได้ โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดครรภ์เป็นพิษ มีดังต่อไปนี้
- คุณแม่ตั้งครรภ์ในขณะอายุที่น้อยกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
- เป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรก
- มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
- ตั้งครรภ์แฝด
- ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก คือ อาการที่เนื่อเยื่อรกที่มากกว่าผิดปกติ ทำให้มีอาการท้องโตเหมือนคนท้องแต่ไม่มีเด็ก เมื่อมีการลอกตัวออกมา จะมีเลือดออกทางช่องคลอดมีก้อนเล็กๆ คล้ายไข่ปลา
- มีประวัติครรภ์เป็นพิษหรือหลอดเลือดหัวใจในครอบครัว
- มีโรคประจำตัว หรือโรคแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต เบาหวาน โรคแพ้ภูมิตนเอง (SLE) ข้ออักเสบรูมาตอยด์
- มีประวัติการเกิดครรภ์เป็นพิษ ทั้งจากตัวคุณแม่เอง หรือทางเครือญาติ
ลักษณะของ อาการครรภ์เป็นพิษ เป็นอย่างไร
- ปวดหัวรุนแรง
- มีอาการตาพร่ามัว มองเห็นแสงเป็นจุดๆ หรือเห็นแสงวูบวาบ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดตรงใต้ลิ้นปี่
- บวมตามมือ ตามเท้า และใบหน้า
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากเกินไปอย่างรวดเร็วใน 1 -2 วัน
- ปัสสาวะลดลงหรือปัสสาวะไม่ออก
- ปวดศีรษะโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย หน้าผาก
- ความดันโลหิตสูงกว่า 130/80
- อาจมีการชัก หรือหมดสติ (อันตรายมาก)
- บางรายมีอาการมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เอนไซม์ตับขึ้นสูง และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ: ประสบการณ์จริง คลอดก่อนกำหนด ครรภ์เป็นพิษ ลูกอยู่รพ.เกือบ 2 เดือน
อาการคันเป็นพิษ อาการครรภ์เป็นพิษ
อาการครรภ์เป็นพิษ กระทบต่อลูกในท้องอย่างไร
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคลมชัก
- เกิดน้ำในปอด
- เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
- มีเลือดออกจากตับ
- สูญเสียการมองเห็น
- ทารกในครรภ์เติบโตช้า
- น้ำคร่ำน้อย ทำให้ทารกเติบโตผิดปกติ
- ทารกคลอดก่อนกำหนด
- มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์
คนที่มีอาการครรภ์เป็นพิษควรทำอย่างไร
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- อย่าปล่อยให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนมากเกินไป (ตามเกณฑ์ขึ้นเดือนละไม่เกิน 2 กิโลกรัม)
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่เค็มจัด
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
- ไม่ควรทำอะไรที่เหนื่อยจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการดื่มชา หรือกาแฟ
- พยายามยกขาสูงเมื่อมีโอกาสเช่น ขณะนั่ง นอน
- งดมีเพศสัมพันธ์ เพราะในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์อาจทำให้หัวใจเต้นสูง เกิดเป็นความดันสูงได้
อาการแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์ด่วน
ในกรณีที่คุณแม่ได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอแล้วว่ามีอาการครรภ์เป็นพิษ คุณแม่ควรปฎิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และคอยสังเกตุอาการตัวเองอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
- มีความดันโลหิตที่สูงกว่าหรือเท่ากับ 160/110
- ลูกดิ้นน้อยกว่าวันละ 10 ครั้ง
- มีอาการน้ำเดิน หรือมีน้ำไหลออกจากช่องคลอด
- มีอาการปวดหัวรุนแรง ตาพร่ามัว พร้อมกับจุกแน่นที่ลิ้นปี่
การวินิจฉัยของโรคครรภ์เป็นพิษ
การวินิจฉัยของภาวะครรภ์เป็นพิษ แพทย์จะต้องตรวจความดันโลหิตก่อน เพราะภาวะความดันโลหิตสูงควบคู่กับอาการผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งหลังจากที่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์เป็นต้นไป ด้วยวิธีการตรวจต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- การตรวจสุขภาพทั่วไป เป็นการที่ชักประวัติทางการแพทย์ทั่วไปของผู้ป่วยเอง และครอบครัว ตรวจดูอาการผิดปกติเบื้องต้นก่อน เช่น มีปัญหาทางด้านสายตาหรือไม่ ปวดศีรษะอย่างต่อเนื่อง มีอากรที่ที่บ่งบอกว่าไตทำงานผิดปกติ โดยที่ภาวะของครรภ์เป็นพิษมักจะมีการตรวจพบได้ในขณะที่แพทย์นัดตรวจครรภ์ปกติ
- การตรวจวัดระดับของความดันโลหิต การที่ตรวจวัดความดันโลหิตจะทำให้ทราบว่าผู้ป่วยเข้าข่ายภาวะครรภ์เป็นพิษอยู่หรือไม่ โดยที่แพทย์อาจจะตรวจวัดอยู่หลายรอบ ซึ่งในแต่ละครั้งจะต้องทิ้งระยะห่างกันอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง หากวัดความดันโลหิตได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ก็อาจจะมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าผู้ป่วยจะมีภาวะครรภ์เป็นพิษ
- การตรวจเลือด จะช่วยให้แพทย์ทราบถึงการทำงานของตับ และไต
- การตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาโปรตีนและไข่ขาวในปัสสาวะ โดยที่ใช้แถบการตรวจปัสสาวะแบบจุ่มลงไปในปัสสาวะเพื่อทำการเทียบสี หากตรวจพบว่ามีโปรตีนในปัสสาวะ แพทย์จะทำการส่งตัวอย่างของปัสสาวะไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อที่จะทำการยืนยันผลอีกครั้ง
- การตรวจสุขภาพของทารก ตรวจสุขภาพของทารกที่อยู่ในครรภ์ โดยที่ดูอัตราการเต้นของหัวใจเมื่อทารกมีการเครื่อนไหวหรือว่าดิ้นนั้นเอง ในบางกรณีอาจจะประเมินความสมบูรณ์ของทารกด้วยการอันตราซาวด์ดูปริมาณของน้ำคร่ำร่วมกับการหายใจ การขยับของกล้ามเนื้อ หรือการเคลื่อนไหวของทารกที่อยู่ภายในม้องของแม่ ๆ
บทความที่เกี่ยวข้อง : เสริมแคลเซียมของแม่ท้อง แหล่งแคลเซียมสำหรับคนท้อง เสริมแม่ท้อง!

การวินิจฉัยของ ภาวะครรภ์เป็นพิษ
การรักษาของภาวะครรภ์เป็นพิษ
ภาวะของครรภ์เป็นพิษจะรักษาหายได้ก็ต่อเมื่อคลอดลูกออกมาเท่านั้น โดยที่อาการป่วยต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ลดหายไปเองหลังจากที่คลอดลูกออกมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามแพทย์จะต้องพิจารณาในหลาย ๆ ปัจจัยก่อนที่จะทำคลอดด้วย เช่น ระยะเวลาของการตั้งครรภ์ สุขภาพของตัวคุณแม่ หรือความรุนแรงของอาการ หากว่าคุณแม่มีอายุครรภ์น้อยแพทย์ก็อาจจะยังทำคลอดไม่ได้ในทันที จึงต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิดและประคับประคองอาการจนกว่าใกล้ถึงระยะเวลาที่พร้อมจะคลอดได้อย่างที่ปลอดภัย แต่ว่าถ้าหากมีอายุครรภ์ที่ 37 สัปดาห์ขึ้นไป แพทย์จะแนะนำให้เร่งคลอดหรือผ่าคลอด เพื่อที่จะไม่ใช้ผู้ป่วยมีอาการที่แย่ลงและลดความเสี่ยงกัยภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อีกด้วย
ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาวะครรภ์เป็นพิษ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลทำให้ครรภ์เราเป็นพิษได้ หรือมีสัญญาณอะไรหรือเปล่าที่กำลังบ่งบอกว่าครรภ์เราเป็นพิษมาดูไปพร้อมกัน
1. ครรภ์เป็นพิษ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงอาจเสียชีวิตได้
ภาวะครรภ์เป็นพิษ หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท โดยทำการวัดสองครั้ง มีระยะห่างกัน 4 ชั่วโมง และอาจมีภาวะโปรตีนรั่วออกมาปนในปัสสาวะของแม่ตั้งครรภ์ โดยความรุนแรงของโรคอาจมีตั้งแต่เล็กน้อย, รุนแรงจนกระทั่งทำให้เกิดการชักหมดสติ, มีภาวะซีดจากการที่เม็ดเลือดแดงแตกสลาย, เกล็ดเลือดลดต่ำทำให้มีเลือดออกผิดปกติ, การทำงานของตับผิดปกติ ส่งผลให้เสียชีวิตได้ทั้งแม่และทารกในครรภ์
2. โอกาสของแม่ท้องที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่
• สตรีตั้งครรภ์แรก
• สตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ครั้งก่อน
• สตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติคนในครอบครัวมีภาวะครรภ์เป็นพิษ
• สตรีตั้งครรภ์ที่ยังอายุน้อยกว่า 18 หรือที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
• สตรีตั้งครรภ์แฝด
• สตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวก่อนตั้งครรภ์ เช่น โรคไต โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
• สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคอ้วน
3. สัญญาณเตือนภัยที่จะบอกว่าภาวะครรภ์เป็นพิษมาเยือน
โดยส่วนใหญ่แล้ว แม่ท้องที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ จะไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองป่วย จนกระทั่งเกิดอาการที่รุนแรงขึ้น ได้แก่
- ปวดศีรษะ, ตาพร่ามัว, คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น รวมถึงสมองบวม หรือเลือดออกในสมอง
- เจ็บจุกแน่นที่ลิ้นปี่หรือบริเวณชายโครงขวา เนื่องจากตับโตขึ้น หรือมีเลือดออกในตับ -เหนื่อยหอบ, หายใจลำบาก, นอนราบไม่ได้ เนื่องจากน้ำท่วมปอด
- ตัวบวม, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน, ปัสสาวะออกน้อยลง เนื่องจากไตทำงานผิดปกติ มีการรั่วของโปรตีนออกมาในปัสสาวะ
ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบไปสู่ลูกในท้องด้วย เช่น เจริญเติบโตได้ช้า, น้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ และอาจเสียชีวิตได้ กรณีที่ครรภ์เป็นพิษนั้นรุนแรงมาก

4. วิธีรักษาภาวะครรภ์เป็นพิษ
หากแม่ท้องที่เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ เป้าหมายที่จะรักษาต้องคำนึงถึง 3 สิ่งต่อไปนี้คือ
- การคลอด ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงอายุครรภ์ร่วมด้วย ในกรณีที่ครรภ์เป็นพิษนั้นอยู่ในขั้นรุนแรง จำเป็นต้องพิจารณาให้คลอด ไม่ว่าอายุครรภ์จะมากน้อยเพียงใด ครบกำหนดหรือไม่ เพื่อรักษาชีวิตของมารดาเป็นสำคัญ สำหรับทารกที่อายุครรภ์ไม่ครบกำหนด อาจต้องมีการใช้ยาช่วยในการพัฒนาของปอดเพื่อให้ทารกสามารถหายใจได้เอง โดยพิจารณาเป็นราย ๆ
- การให้ยาป้องกันการชัก ภาวะชักเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะที่รุนแรง สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงต้องมีการให้ยากันชักในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษขั้นรุนแรง (แต่ผลที่ได้จากการรับยา แมกนีเซียมซัลเฟต อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกร้อนวูบวาบ, คลื่นไส้อาเจียน, ความดันโลหิตลดต่ำลง จึงจำเป็นต้องมีการวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ หลังจากที่ให้ยาตัวนี้กับผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตที่สูงมากก็อาจจำเป็นต้องพิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตแก่ผู้ป่วย ซึ่งมีทั้งที่ให้ทางหลอดเลือดหรือการรับประทาน)
- การให้ยาลดความดันโลหิต สตรีมีครรภ์ที่พบว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษจะต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจความดันโลหิต ตรวจปัสสาวะ และตรวจอัลตราซาวน์อย่างสม่ำเสมอ และในบางกรณีอาจต้องมีการใช้ยาช่วยลดความดันโลหิต เพื่อให้การตั้งครรภ์มีความปลอดภัยนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงและได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องร่วมกับขั้นตอนปฏิบัติที่ถูกวิธีสามารถป้องกันไม่ให้โรคนี้มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มารดาและทารกมีความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้การสามารถยืนยันได้ว่าสตรีมีครรภ์รายใดไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ จะช่วยให้แม่ท้องลดความกังวลใจ และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้
5. การฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยให้แพทย์ตรวจคัดกรอง ค้นหาความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ได้จากการตรวจและซักถามอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น มีการซักประวัติของผู้ป่วยว่าตั้งครรภ์มาแล้วกี่ครั้ง, เคยมีภาวะครรภ์เป็นพิษในท้องก่อนหรือไม่, มีโรคประจำตัวใดบ้าง, มีการชั่งน้ำหนัก, วัดความดันโลหิต, ตรวจปัสสาวะเพื่อหาน้ำตาลและโปรตีนว่ามีรั่วออกมาหรือไม่ รวมถึงมีการตรวจวินิจฉัยทารกโดยวิธีอัลตร้าซาวด์ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารก และทำการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ได้โดยการตรวจติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทารก พร้อมกับตรวจการหดรัดตัวของมดลูก เมื่อพบความผิดปกติที่มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ แพทย์ก็จะได้ดำเนินการรักษา ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการสูญเสียหรือทุพพลภาพของมารดาและทารกได้
ครรภ์แฝดน้ำ คืออะไร อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คุณแม่ต้องระวัง
(รูปจาก shutterstock.com)
ปัจจัยเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรใส่ใจ และเฝ้าระวังมากๆ ส่วนใครที่ยังไม่รู้ว่าสาเหตุเหล่านี้เกิดจากอะไร หรือมีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลทำให้เราต้องเกิดอาการเหล่านี้ มาดูกัน
ครรภ์แฝดน้ำ เรียกได้ว่าเป็นความผิดปกติชนิดหนึ่งที่เกิดในช่วงของการตั้งครรภ์ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ อาจเนื่องมาจากที่คุณแม่มีปริมาณน้ำคร่ำในท้องมากจนเกินไป ซึ่งหากเราไม่รีบทำการรักษา หรือปล่อยไว้นานจนเกินไป สิ่งนี้อาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อลูกในท้องและคลอดก่อนกำหนดได้เลย ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะพบในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 4 – 5 เดือนนั่นเอง โดยอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1. สาเหตุมาจากทารกในครรภ์
คุณแม่คนไหนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ นั่นอาจกำลังบ่งบอกเราว่าลูกในท้องของเรามีอาการผิดปกติ เพราะฉะนั้นเราควรรีบทำการรักษาและขอคำแนะนำจากคุณหมอให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นลูกในท้องอาจเกิดมาเป็นเด็กพิการ ได้ง่าย ๆ
2. สาเหตุมาจากคุณแม่
อีกหนึ่งสาเหตุที่จะทำให้อาการเหล่านี้ได้ อาจเป็นเพราะว่าคุณแม่บางคนมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจนเกินไป เพราะเมื่อไหร่ที่เราระดับน้ำตาลในเลือดสูง สิ่งนี้ก็จะส่งผลทำให้เราปัสสาวะบ่อย ที่สำคัญยังเสี่ยงต่อการเป็นภาวะครรภ์แฝดน้ำได้เช่นกัน
3. สาเหตุมาจากรกในครรภ์
ปัจจัยอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างมาก นั่นคือรกในครรภ์ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ภาวะครรภ์แฝดน้ำ เกิดจากรกในครรภ์ สิ่งนี้ก็จะส่งผลทำให้เกิดน้ำคร่ำในปริมาณที่มาก อีกทั้งยังทำให้เกิดเนื้องอกในรกได้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณแม่ต้องระวัง
หลังจากที่เราได้พาคุณแม่มาทำความรู้จักกับครรภ์เป็นพิษ และครรภ์แฝดน้ำ กันแล้ว เชื่อว่าหลายคนอาจจะเข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการเหล่านี้เกิดจากอะไรบ้าง ดังนั้นรถ้าคุณแม่อยากให้ลูกในท้องของเราเติบโตมาเป็นเด็กที่แข็งแรงสมบูรณ์ ยังไงอย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองด้วยนะคะ แอดขอให้เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปให้ได้นะคะ
ที่มา: thaihealth, หนังสือพิมพ์แนวหน้า, haamor
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
อาหารต้านหวัดคนท้อง เมนูอาหารต้านหวัด แก้ไอ เสริมสร้างภูมิต้านทานคนท้อง
คนท้องดื่มน้ํากี่ลิตร คนท้องกินน้ําเย็นดีไหม คนท้องกินน้ำมากเป็นไรไหม แม่ท้องต้องกินน้ำกี่แก้วต่อวัน
ท้องแล้วไม่อยากกินข้าว เบื่ออาหาร มีวิธีแก้ไหม คนท้องควรทำอย่างไร
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!