ก่อนอื่น theAsianparent ขอกอดคุณแม่แน่นๆ เลยนะคะ และอยากบอกว่า การร้องไห้หรืออารมณ์แปรปรวนระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ปกติมากค่ะ คุณแม่ไม่ได้เผชิญปัญหานี้คนเดียว และการร้องไห้เป็นครั้งคราวไม่ได้ทำร้ายลูกน้อยในครรภ์แต่อย่างใด บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจที่ว่า คนท้องร้องไห้บ่อย มีผลกระทบต่อลูกไหม พร้อมแนะนำวิธีรับมือง่ายๆ กันค่ะ
ลูกในท้องรับรู้ได้อย่างไรว่าแม่กำลังเสียใจ?
คุณแม่อาจสงสัยว่า ความรู้สึกเศร้าหรือเสียใจของเราจะส่งผลไปถึงลูกน้อยในท้องหรือไม่ คนท้องร้องไห้บ่อย มีผลกระทบต่อลูกไหม คำตอบคือ “ใช่” ค่ะ ทารกในครรภ์สามารถรับรู้ถึงสภาวะอารมณ์ของแม่ได้ โดยมีกลไกสำคัญที่เกี่ยวข้องคือการส่งผ่าน “ฮอร์โมนความเครียด” หรือที่รู้จักกันในชื่อ คอร์ติซอล (Cortisol) ผ่านทางรกไปสู่ทารกโดยตรง
การเดินทางของ “ฮอร์โมนความเครียด” จากแม่สู่ลูก
เมื่อคุณแม่เครียด วิตกกังวล หรือเสียใจเป็นเวลานาน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาในปริมาณที่สูงขึ้น แม้ว่าอารมณ์ความรู้สึกจะไม่สามารถเดินทางผ่านถุงน้ำคร่ำไปหาลูกได้โดยตรง แต่ฮอร์โมนความเครียดสามารถไหลเวียนผ่านกระแสเลือดของแม่ ซึมผ่านรก และเข้าไปสู่กระแสเลือดของทารกในครรภ์ค่ะ
- ความเครียดเพียงครั้งคราว: หากเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวแล้วหายไป ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนในปริมาณที่ไม่สูงนักและลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบที่น่ากังวลต่อทารก
- ความเครียดเรื้อรัง: แต่หากคุณแม่มีความเครียด ความเศร้า หรือความวิตกกังวลสะสมเป็นเวลานาน ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายแม่จะสูงอย่างต่อเนื่อง และทารกก็จะได้รับฮอร์โมนนี้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน เสมือนกับว่าทารกกำลังเผชิญกับสภาวะเครียดนั้นไปพร้อมกับคุณแม่

คนท้องร้องไห้บ่อยแค่ไหนถึงจะส่งผลต่อลูก?
ไม่มีจำนวนครั้งที่ระบุได้แน่ชัดว่าต้องร้องไห้กี่ครั้งถึงจะเป็นอันตราย แต่สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญไม่ใช่ “จำนวนครั้งที่ร้องไห้” แต่คือ “สาเหตุ ความรุนแรง และความต่อเนื่อง” ของอารมณ์เศร้าหรือความเครียดนั้นๆ ค่ะ
การร้องไห้ที่ “ไม่น่ากังวล” และไม่ส่งผลเสียต่อลูก
การร้องไห้ที่เกิดจากอารมณ์อ่อนไหวเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ถือเป็นการระบายความรู้สึกที่เป็นปกติและดีต่อสุขภาพจิตของคุณแม่ด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น:
- ร้องไห้เพราะดูหนังหรือฟังเพลงที่ซาบซึ้ง
- ร้องไห้เพราะความรู้สึกตื้นตันใจหรือมีความสุข
- ร้องไห้จากความเหนื่อยล้าหรือความหงุดหงิดเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็หายไป
การร้องไห้ลักษณะนี้ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ออกมาเพียงชั่วครู่แล้วระดับฮอร์โมนก็จะกลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว จึงไม่ส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์
สัญญาณเตือน: การร้องไห้ที่ “เริ่มส่งผลต่อลูก”
การร้องไห้จะกลายเป็นสัญญาณที่น่ากังวลและอาจส่งผลกระทบต่อลูกได้ เมื่อมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- เกิดจากความเครียดรุนแรงและเรื้อรัง: ร้องไห้ที่มาจากปัญหาที่แก้ไม่ตก เช่น ปัญหาความสัมพันธ์, ปัญหาการเงิน, ความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับอนาคต หรือความรู้สึกโดดเดี่ยว
- ร้องไห้บ่อยและยาวนาน: ร้องไห้แทบทุกวัน หรือร้องไห้ครั้งละนานๆ โดยไม่สามารถหยุดหรือจัดการอารมณ์ตัวเองได้
- มีอารมณ์ด้านลบอื่นๆ ร่วมด้วย: รู้สึกสิ้นหวัง, หมดไฟ, ไม่มีความสุขกับสิ่งที่เคยชอบ, มองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์
- ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต: ความเศร้าหรือความเครียดนั้นรบกวนการนอนหลับ, ทำให้เบื่ออาหารหรือกินมากเกินไป, และไม่อยากดูแลตัวเอง
คนท้องร้องไห้บ่อย มีผลกระทบต่อลูกอย่างไร?
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science พบว่าทารกในครรภ์สามารถรับรู้อารมณ์ของแม่ได้ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงอายุครรภ์ 6 เดือนเป็นต้นไป การที่ทารกได้รับฮอร์โมนคอร์ติซอลในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบชั่วคราว แต่ยังอาจมีอิทธิพลต่อพัฒนาการและทัศนคติของลูกในระยะยาวได้
เมื่อคุณแม่เครียดเรื้อรัง ลูกในท้องอาจ…
- มีภาวะเครียดเรื้อรังตามไปด้วย: การได้รับฮอร์โมนความเครียดบ่อยๆ ทำให้ระบบการตอบสนองต่อความเครียดของทารกถูกกระตุ้นอยู่เสมอ ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเครียดหรือวิตกกังวลง่ายเมื่อเติบโตขึ้น
- เสี่ยงต่ออาการโคลิค: มีงานวิจัยที่พบความเชื่อมโยงระหว่างภาวะเครียดรุนแรงของแม่ระหว่างตั้งครรภ์ กับโอกาสที่ทารกจะมีอาการร้องไห้ไม่หยุด หรือที่เรียกว่า “โคลิค” หลังคลอด
- ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง: ฮอร์โมนคอร์ติซอลในระดับที่สูงเกินไปเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้และความทรงจำของทารก
ดังนั้น การดูแลสุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะทุกอารมณ์ความรู้สึกของแม่ โดยเฉพาะความเครียดและความเสียใจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถส่งผ่านไปถึงลูกน้อยในครรภ์ได้โดยตรงผ่านฮอร์โมนความเครียด ก่อให้เกิดผลกระทบได้ตั้งแต่ในครรภ์ไปจนถึงช่วงเวลาหลังคลอด

ถ้าคุณแม่ซึมเศร้า ลูกจะ…
แม้ว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของคุณแม่จะเป็นเรื่องปกติ และมีคุณแม่เพียง 10% เท่านั้นที่จะต้องเผชิญกับภาวะนี้ แต่ลูกที่เกิดขึ้นมาจากคุณแม่ที่มีภาวะซึมเศร้านั้นจะโตขึ้นไป (อายุประมาณ 18 ปี) มีปัญหาด้านอารมณ์มากกว่าเด็กทั่วไปถึง 1.5 เท่า อาการที่แสดงออกก็อย่างเช่น มีความเกรี้ยวกราดมากกว่าเป็นต้นค่ะ
แต่รู้ไหมคะว่าพัฒนาการของลูกก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าของคุณแม่เช่นกัน กล่าวคือ
- ถ้าคุณแม่ซึมเศร้าขณะท้องและหลังคลอด พัฒนาการของลูกจะเป็นปกติ
- ถ้าคุณแม่ไม่ได้ซึมเศร้าขณะท้องและหลังคลอด พัฒนาการของลูกจะเป็นปกติ
- แต่ถ้าคุณแม่ซึมเศร้าขณะท้องแต่ไม่ได้ซึมเศร้าหลังคลอด หรือกลับกัน ถ้าคุณแม่ไม่ได้ซึมเศร้าขณะท้อง แต่ซึมเศร้าหลังคลอด ลูกก็จะมีพัฒนาการที่ช้าค่ะ

ถ้าคุณแม่มีเรื่องไม่พอใจ ลูกจะ…
อาการหงุดหงิด ไม่พอใจในบางเรื่องคือเรื่องปกติของมนุษย์ค่ะ แต่สำหรับคนเป็นแม่นั้นอารมณ์นี้จะทำให้หลายๆ สิ่งเลวร้ายลงไปอีกค่ะ เนื่องจากมีงานวิจัยที่บอกว่า คุณแม่ที่ไม่รู้สึกผูกพันธ์กับลูกในท้อง จะทำให้เด็กๆ มีปัญหาทางอารมณ์ได้นะคะ
ถ้าคุณแม่ที่ขี้แงในบางวัน ลูกจะ…
ความอ่อนไหวในเรื่องที่ไม่น่าจะต้องอ่อนไหวขณะที่ตั้งครรภ์ คุณแม่แทบทุกคนต้องเคยเจอกับอารมณ์อ่อนไหวเนื่องจากฮอร์โมน ข่าวหรือภาพยนต์ที่เข้ามากระทบจิตใจ แน่นอนว่าอารมณ์แบบนี้ไม่ทำให้ลูกหวั่นไหวไปหรอกค่ะ ถ้าคุณแม่ไม่ได้ร้องไห้ทุกวัน หรือเจอเรื่องไม่พอใจทุกวันที่ตั้งครรภ์น่ะ
การกำจัดกับความเครียด ความวิตกกังวล ความเศร้าในระยะยาวคือหัวข้อที่คุณแม่ต้องพูดคุยกับทั้งคุณหมอที่ฝากครรภ์ และคุณหมอด้านจิตวิทยา เพื่อหาทางออกในระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับลูกค่ะ
แต่ถ้านานๆ ทีมีเรื่องที่ต้องเครียด เรื่องรบกวนจิตใจ เข้ามากวนอารมณ์บ้าง การหากิจกรรมเพื่อผ่อนคลายและมีความสุขทำบ่อยๆ นั้น คือสิ่งที่ดีเลยนะคะ เพราะอย่าลืมนะคะว่า วันข้างหน้าที่ลูกจะต้องมีเรื่องพวกนี้เข้ามาในชีวิต คุณแม่ต้องเป็นที่ปรึกษาให้ลูกด้วยค่ะ
ฮอร์โมนคนท้อง อะไรบ้างที่ส่งผลต่ออารมณ์แม่ และลูกในท้อง
บทความ : ฮอร์โมนคนท้อง มีอะไรบ้าง ฮอร์โมนสำคัญของคนท้อง ถ้าฮอร์โมนต่ำ มีผลกับลูกในท้องอย่างไร
3 ฮอร์โมนสำคัญของคนท้อง มีอะไรบ้าง
ฮอร์โมนหรือสารเคมีที่ร่างกายสร้างไว้แล้วส่งไปตามกระแสเลือดในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อกระตุ้นหรือยับยั้งกระบวนการต่าง ๆ ในเซลล์ ฮอร์โมนจะช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะในร่างกายให้ทำงานปกติ เมื่อแม่ตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนในร่างกายของแม่ท้องจึงเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์นี้ จะ เริ่มตั้งแต่การปฏิสนธิ ตั้งท้อง จนถึงช่วงหลังคลอด
ฮอร์โมนคนท้องที่สำคัญ มีอะไรบ้าง
ฮอร์โมนตัวแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ hCG หรือ Human Chorionic Gonadotropin ฮอร์โมนตัวนี้จะถูกสร้างตั้งแต่เริ่มมีการปฏิสนธิ จากเซลล์ในไข่ที่ถูกผสมและมาฝังตัวอยู่ที่มดลูก เพื่อที่จะกลายเป็นรกต่อไป ในช่วงแรกที่ไข่เริ่มผสมและรกยังเจริญไม่เต็มที่ ฮอร์โมน hCG จึงมีหน้าที่ไปกระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนตัวอื่น ๆ และเมื่อรกเจริญเต็มที่แล้ว รกก็จะทำหน้าที่เป็นผู้สร้างฮอร์โมนตัวอื่นแทนรังไข่ ฮอร์โมน hCG ที่ถูกสร้างมาเพื่อกระตุ้นรังไข่ก็จะลดน้อยลงไป
คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน ในช่วงไตรมาสแรกเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน hCG ในร่างกายนี่เอง แม่ท้องบางรายที่มีอาการแพ้ท้องมาก ๆ อาจเป็นเพราะว่ามีฮอร์โมน hCG สูง ซึ่งต้องทำการตรวจเพิ่มว่าทีสิ่งผิดปกติหรือเปล่า เช่น การตั้งครรภ์แฝด หรือรกเจริญผิดปกติ
-
ฮอร์โมนคนท้อง เอสโตรเจน (Estrogen)
เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากรังไข่ ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะถูกกระตุ้นจากฮอร์โมน hCG เพื่อมาช่วยเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ให้อ่อนนุ่มขึ้น ยืดขยายได้ดีขึ้นในขณะตั้งครรภ์ได้ดี และมีหน้าที่อื่น ๆ เช่น
-
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะไปกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้น รับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ไข่ที่ผสมแล้วมาฝังตัวทำให้มดลูกของคุณแม่ขยายขนาดขึ้น ผนังมดลูกหนาขึ้น เสริมสร้างเนื้อเยื่อเซลล์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ในตอนท้องมดลูกจึงขยายใหญ่เป็นร้อย ๆ เท่าหรือเมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนดมดลูกจะขายจนมีความจุถึง 3-5 ลิตร จากก่อนตั้งครรภ์ที่มีความจุเพียง 10 มิลลิลิตร และมีส่วนทำให้ผนังช่องคลอดหนาตัวและยืดขยายได้ดีขึ้นด้วยเพื่อให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ในส่วนของช่องคลอด
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีส่วนเปลี่ยนเนื้อเยื่อให้ยืดขยายได้ จะไปทำให้เอ็น ข้อต่อหลวม โดยเฉพาะที่เชิงกราน เพื่อจะได้เหมาะแก่การคลอด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แม่ท้องบางคนรู้สึกปวดเมื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังช่วยกระตุ้นให้เลือดในร่างกายของแม่ท้องมีการไหลเวียนมากขึ้น ไปหล่อเลี้ยงที่มดลูกเพื่อนำอาหารและออกซิเจนไปให้แก่ลูกน้อยในครรภ์ และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นให้ทารกในครรภ์มีการพัฒนา มีการสร้าง และการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆอีกด้วย
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังทำให้ผนังหลอดเลือดมีการเปลี่ยนแปลงขยายใหญ่ขึ้น ทำให้พวกสารน้ำต่าง ๆ ในระบบไหลเวียนเลือดมีการซึมออกมาที่เนื้อเยื่อข้างนอกได้ง่าย เป็นสาเหตุให้คุณแม่มีอาการบวมได้ง่ายเมื่อต้องเดินมาก ๆ หรือยืนนาน ๆ
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังทำให้เนื้อเยื่อของมดลูก ปากมดลูกนุ่มยืดขยายได้ง่ายขึ้น พร้อมที่จะหดรัดตัวได้ดีเมื่อคุณแม่เจ็บท้องคลอด และยังทำให้ภายในช่องคลอดของคุณแม่มีภาวะเป็นกรดมากขึ้น ช่วยทำให้ติดเชื้อต่างๆได้ยากขึ้นอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะค่อยๆ เปลี่ยนไปตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ คุณแม่อาจจะสังเกตเห็นว่าผิวหนังบริเวณหน้าท้องหรือเต้านมจะมีสีเข้มขึ้น บางคนอาจมีผื่นแดง ๆ ขึ้นได้ง่าย และมีผลทำให้ท้องอืดง่ายเนื่องจากส่วผลต่อระบบย่อยอาหารด้วย
นอกจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงตั้งครรภ์แล้ว ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลให้อารมณ์แม่ท้องแปรปรวนไม่คงที่ได้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังคลอดคือ ทำให้เต้านมขยายใหญ่ขึ้นทั้งมีการสร้างและขยายขนาดของท่อน้ำนมอีกด้วย
-
ฮอร์โมนคนท้องโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนนอกจากจะมีหน้าที่แบบเดี่ยว ๆ แล้ว ยังทำงานร่วมกันหรือประสานงานเป็นทีมกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ช่วยกันสนับสนุนหรือไปยับยั้งฤทธิ์ของฮอร์โมนตัวอื่นเพื่อไม่ให้ออกฤทธิ์ในช่วงที่ไม่จำเป็น เช่น
-
- ช่วยลดความตึงตัวของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในกรณีเมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนจะไปทำให้มดลูกขยายและพร้อมจะมีการหดรัดตัว แต่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะไปยับยั้งอาการทำให้มดลูกยังไม่มีการหดรัดตัวมากเพื่อให้ทารกมาฝังตัวที่มดลูกได้ไม่แท้งออกไปและจะลดต่ำลงเมื่อใกล้คลอดเพื่อให้มดลูกสามารถหดรัดตัว และคลอดทารกออกมาได้
- ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนได้ทำงานร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในการปรับเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสมแก่การฝังตัวด้วยคือทำให้หนาขึ้น มีเส้นเลือดมาเลี้ยงดีขึ้น ฯลฯ และยังทำให้แม่ท้องมีการสะสมไขมันมากขึ้นสำหรับใช้เป็นพลังงาน เป็นแหล่งของสารอาหารให้กับทารกในช่วงตั้งครรภ์
- ถึงแม้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะช่วยทำการยับยั้งเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างน้ำนมของเต้านมในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ แต่ก็ได้ร่วมมือกับฮอร์โมนเอสโตรเจนเตรียมเต้านมให้พร้อมสำหรับการผลิตน้ำนมให้ลูกหลังคลอด ช่วยขยายต่อมน้ำนมให้โตขึ้นและท่อน้ำนมให้มากขึ้น มีเซลล์ที่ช่วยสร้างน้ำนมได้เยอะขึ้นและให้ลูกกินได้ทันทีเมื่อแรกคลอด
- ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนยังมีส่วนที่ทำให้กล้ามเนื้อ เอ็นข้อต่อยืดขยาย เป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ท้องปวดเมื่อยได้ง่าย ไม่ค่อยมีแรง ผลจากการกระตุ้นให้ร่างกายปรับตัวและหายใจเร็วขึ้นเพื่อเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดเยอะ ๆ เมื่อมีการแลกเปลี่ยนบ่อย ๆ ก็จะทำให้แม่ท้องเหนื่อยง่ายด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลังคลอดฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดต่ำลง เพราะว่าฮอร์โมนทั้งคู่นี้สร้างจากรก หลังคลอดเมื่อรกหลุดออกไปฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้ก็เลยหายไปด้วย
ถ้าฮอร์โมนคนท้องต่ำ จะกระทบต่อทารกในครรภ์หรือไม่
ปกติแล้วหน้าที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน คือการทำให้เยื่อบุมดลูกพร้อมในการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว หรือกล่าวคือเป็นฮอร์โมนที่ทำให้คุณแม่พร้อมต่อการมีลูก ทั้งยังทำหน้าที่ส่งเสริมการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน เพิ่มการสะสมไกลโคเจน (Glycogen คือน้ำตาลที่อยู่ในกล้ามเนื้อและตับ มีหน้าที่ให้พลังงานแค่ร่างกายเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง) อีกทั้งยังทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้มดลูกหดรัดตัวระหว่างการตั้งครรภ์ และหลังคลอดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะช่วยให้ร่างกายคุณแม่ผลิตน้ำนมอีกด้วยค่ะ
เมื่อฮอร์โมนคนท้องโปรเจสเตอโรนต่ำ
ถ้าฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมีปริมาณต่ำ ก่อนที่คุณแม่จะตั้งครรภ์ จะทำให้คุณแม่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และถ้าคุณแม่มีปริมาณฮอร์โปรเจสเตอโรนต่ำระหว่างตั้งครรภ์ นั่นก็แสดงว่าการตั้งครรภ์ในครั้งนี้อาจจะล้มเหลวได้ เป็นการแท้งโดยธรรมชาตินั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วจะแก้ไขได้โดยการรับประทานฮอร์โมนที่สั่งโดยคุณหมอ อาจจะเปลี่ยนเป็นการฉีดหรือเหน็บยาได้ โดยส่วนใหญ่แล้ววิธีที่จะทำให้รู้ว่าคุณแม่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำลง สังเกตได้ง่าย ๆ จากการที่อุณหภูมิร่างกายของคุณแม่ต่ำลงตัวเย็นขึ้นนั่นเอง เพื่อความปลอดภัย หากแม่ท้องสังเกตว่าตัวเองมีความผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ
5 วิธีรับมือความเครียดและอารมณ์เศร้าสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
แม้ว่าคุณแม่จะไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ได้ แต่เราสามารถหาวิธีรับมือเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากอารมณ์ที่แปรปรวนเหล่านั้นได้ ซึ่งจะช่วยลดอาการร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ หรือทำให้อารมณ์ของคุณแม่มั่นคงขึ้นได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
1. พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนน้อยเกินไปจะยิ่งเพิ่มระดับความเครียดและทำให้คุณแม่หงุดหงิดง่ายขึ้น ควรตั้งเป้าหมายการนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
2. เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับการออกกำลังกายเบาๆ ที่เหมาะสมสำหรับคนท้อง เพื่อช่วยเพิ่มพลังงานและส่งเสริมสุขภาพจิตให้ดีขึ้น เช่น การเดินเล่น, ว่ายน้ำ, หรือเข้าคลาสแอโรบิกเบาๆ
3. พูดคุยกับคุณแม่คนอื่นๆ
การได้เข้าร่วมกลุ่มพูดคุยกับคุณแม่ตั้งครรภ์ท่านอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มในพื้นที่หรือกลุ่มออนไลน์ จะช่วยลดความกลัวและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี การได้แบ่งปันคำแนะนำ, เล่าเรื่องราวส่วนตัว, และเป็นกำลังใจให้กันและกัน ถือเป็นการเยียวยาจิตใจที่ยอดเยี่ยม
4. ไม่กดดันตัวเองมากจนเกินไป
เป็นเรื่องจริงที่การเตรียมตัวต้อนรับลูกน้อยอาจทำให้รู้สึกวุ่นวายและเครียดได้ แต่คุณแม่ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนลูกคลอด การกดดันตัวเองมากเกินไปอาจนำไปสู่ความหงุดหงิด, ความรู้สึกผิด, และทำให้อารมณ์อ่อนไหวได้ง่าย
5. หากสงสัยว่าอาจเป็นภาวะซึมเศร้า ควรปรึกษาแพทย์
หากคุณแม่รู้สึกเศร้าหรือหดหู่อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์ทันที การรักษาภาวะซึมเศร้าตั้งแต่เนิ่นๆ ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression: PPD) ได้อีกด้วย
ร้องไห้แบบไหนที่ควรปรึกษาคุณหมอ?
แม้ว่าอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงและอาการร้องไห้จะเป็นเรื่องปกติของการตั้งครรภ์ แต่ในบางครั้ง การร้องไห้ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตที่จริงจังกว่านั้น เช่น ภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์
การแยกความแตกต่างระหว่างอารมณ์แปรปรวนตามปกติของคนท้องกับภาวะซึมเศร้านั้นอาจเป็นเรื่องที่ยาก โดยหลักการง่ายๆ คือ ภาวะซึมเศร้ามักจะไม่ได้มีแค่อาการร้องไห้อย่างเดียว แต่จะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยเสมอ ซึ่งอาการเหล่านี้ได้แก่:
- ไม่มีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้ลำบาก
- เบื่ออาหาร
- หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบทำ
- รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
- รู้สึกผิดอย่างไม่มีเหตุผล
- นอนมากเกินไป หรือ นอนไม่หลับ/นอนน้อยเกินไป
- มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น
ในบางครั้ง ภาวะซึมเศร้าอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่และหายไปเองได้ แต่หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ต่อเนื่องนาน 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสมต่อไป
ท้ายที่สุดนี้ อยากย้ำเตือนคุณแม่ทุกคนว่า สุขภาพใจของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์นั้นมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสุขภาพกายเลย การตัดสินใจเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือน่าอาย แต่เป็นสัญญาณของความรักและความใส่ใจที่คุณแม่มีต่อตัวเองและลูกน้อยในครรภ์
ดังนั้น หากรู้สึกว่าอารมณ์เศร้าหรือความเครียดนั้นหนักเกินกว่าจะรับมือไหว อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญนะคะ เพราะคุณแม่ที่มีความสุข คือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับลูกค่ะ
ที่มา: josephroofehmd , healthline , familyshare
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง:
อาการแม่ท้องแบบไหนเสี่ยงให้ลูกเกิดภาวะเครียดในครรภ์
ความเจ็บปวด 8 เรื่องของแม่ที่อยากแชร์ให้โลกรู้
อุ้มลูกอยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ใบเตย อาร์สยาม มีอาการ เบบี้บลู หลังคลอดน้องเวทย์มนตร์
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!