X
TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

ดูแลฟันลูกน้อยด้วยเคล็ดลับจากคุณแม่หมอฟัน

บทความ 5 นาที
ดูแลฟันลูกน้อยด้วยเคล็ดลับจากคุณแม่หมอฟัน

รู้หรือไม่คะ ว่าเด็กส่วนใหญ่มักจะเริ่มฟันผุก่อนอายุ 4 ขวบ แถมเด็กจำนวนไม่น้อยถึงกับต้องหยุดโรงเรียนเพราะปวดฟันกันเลยทีเดียว ซึ่งการดูแลสุขภาพในช่องปากได้ไม่ดีนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพเหงือกและฟันในระยะยาว แถมยังส่งผลถึงโรคหัวใจและเบาหวานอีกด้วย

ดูแลฟันและแปรงฟันให้ลูกน้อย

ดูแลฟัน ลูกน้อยด้วยจากเคล็ดลับคุณแม่หมอฟัน

แต่ข่าวดีก็คือการป้องกันฟันผุและโรคเกี่ยวกับเหงือกและฟันของลูกน้อยไม่ได้ยากอย่างที่คุณพ่อคุณแม่คิดเลยค่ะ แต่กลับเป็นการลงทุนที่แสนจะคุ้มค่า ที่จะสร้างสุขภาพในช่องปากที่ดีและส่งผลต่อสภาพอารมณ์และบุคลิกของเด็กด้วย และอย่าลืมว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนนิสัยและ ดูแลฟัน  ของลูกน้อย เรามีเคล็ดลับการดูแลฟันแบบคุณแม่ที่เป็นหมอฟันจาก Colorado Parent มาฝากกันค่ะ

1. เริ่มต้นดูแลฟันลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ

คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มต้นที่จะดูแลฟันลูกน้อยตั้งแต่ซี่แรก ด้วยการพาไปพบหมอฟัน ถึงบางทีมันอาจจะดูเร็วไป แต่ความจริงแล้วไม่เลย เพราะการไปพบคุณหมอครั้งแรกนั้นจะเป็นการให้คุณและลูกน้อยได้รู้จักการแปรงฟันและการดูแลรักษาฟันที่ถูกวิธี โดยคุณหมอฟันจะสอนวิธีการแปรงฟันที่ถูกต้อง ให้เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยแปรงฟันให้สำเร็จ

เพื่อป้องกันฟันผุควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที ไม่มีการยกเว้น ย้ำว่าห้ามลืมแปรงเด็ดขาด และอย่าลืมใช้ไหมขัดฟันด้วย เพราะการแปรงฟันเพียงอย่างเดียวจะทำความสะอาดที่ผิวฟันได้ 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้ทำความสะอาดซอกฟันด้านใน นอกจากนี้การดื่มน้ำให้มาก ๆ หลังอาหารก็จะเป็นการช่วยลดจุลินทรีย์ในช่องปากได้ด้วย

2. ต้องแปรงฟันให้เป็นกิจวัตร

Advertisement

สิ่งที่คุณแม่หมอฟันจะทำเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายของวัน และทำเป็นประจำในทุก ๆ วัน ก็คือการแปรงฟันให้ลูกน้อย 2 นาที คุณแม่หมอฟันมักถูกผู้ปกครองถามว่าจะจูงใจเด็ก ๆ ให้ยอมแปรงฟันได้อย่างไร คำตอบคือ เราไม่ต้องจูงใจเด็ก ๆ เลย เมื่อเราอยู่บ้านเดียวกันก็เพียงแต่ทำไปด้วยกันกับเขา โดยคุณหมอยังบอกว่าเด็กส่วนใหญ่ที่อายุต่ำกว่า 8 ขวบยังไม่มีทักษะการแปรงฟันที่คล่องแคล่วนัก ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยช่วยเหลือ ส่วนเด็กที่อายุมากกว่า 8 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องหมั่นเช็คดูว่าลูกแปรงฟันสะอาดแล้วรึยัง อย่างไรก็ดี ถึงการทำให้การแปรงฟันเป็นกิจวัตร ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสนุกสนานไม่ได้ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองแปรงฟันด้วยกันกับลูก ร้องเพลงสนุกสนาน จะเต้นไปด้วยก็ไม่ว่ากัน ลองดูสิว่าลูกคุณชอบแบบไหน

3. อาหารที่กินเข้าไปก็สำคัญ

อาหารไม่ใช่เพียงเรื่องของน้ำหนักตัวหรือรอบเอวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของสุขภาพในช่องปากด้วย คุณหมอฟันมักพบเด็กวัยเตาะแตะที่ฟันผุเพราะอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยพ่อแม่ส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเองทำถูกแล้วที่ให้ลูกกินนม กินขนมจุบจิบ และกินน้ำผลไม้ตลอดวัน ซึ่งทำให้เด็ก ๆ กินไม่หยุดทั้งวัน อันที่จริงพ่อแม่ต้องเข้าใจว่าทุกครั้งที่ลูกกินอะไรก็ตาม ค่า pH ในปากของลูกจะเปลี่ยนไปซึ่งจะทำให้เกิดแบคทีเรีย ตามมาด้วยจุลินทรีย์ตัวการของฟันผุ และขนมกรุบกรอบลูกอม อาหารสำเร็จรูปทั้งหลาย ก็เป็นอาหารหลักของเจ้าจุลินทรีย์ในปากเลยทีเดียว

4. พาลูกไปพบหมอฟันอย่างสม่ำเสมอ

หัวใจสำคัญในการสร้างนิสัยที่ดีในการดูแลช่องปากให้กับเด็กก็คือการให้เด็กสร้างความคุ้นเคยและซึมซับเรื่องการดูแลปากและฟันบ่อย ๆ ฉะนั้นก็ควรหมั่นพาลูกไปพบหมอฟันด้วย ถึงจะมีค่าใช้จ่ายแต่รับรองว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนแน่นอน โดยมีงานวิจัยว่า เด็กที่ไปพบหมอฟันครั้งแรกเมื่ออายุ 1 ขวบนั้น จะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาช่องปากต่ำกว่าเด็กที่ไปพบหมอฟันครั้งแรกเมื่ออายุ 5 ขวบ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และแน่นอนว่าความเจ็บปวดจากปัญหาในช่องปากที่ต้องพบเจอก็น้อยลงด้วย การไปพบคุณหมอฟันสม่ำเสมอจึงถือเป็นการลงทุนที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาที่อาจจะต้องเสียไปในอนาคต

5. เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก

แน่นอนว่าจะให้ลูกปฏิบัติอย่างไรนั้น พ่อแม่ก็ควรปฏิบัติอย่างเดียวกัน เพื่อสร้างนิสัยที่ดีทั้งในการแปรงฟันและการกินอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีในช่องปาก ก็ต้องเริ่มที่พ่อแม่เป็นตัวอย่าง หากพ่อแม่และคนในครอบครัวมีนิสัยไม่ดูแลปากและฟันแล้ว ก็เป็นการยากที่ลูกน้อยจะมีสุขภาพฟันที่ดีได้ และหากคุณเกิดกลัวหมอฟัน คุณอาจจะต้องเปลี่ยนให้คนอื่นพาลูกไปหาหมอฟันก็เป็นอีกทางที่แนะนำค่ะ

เราจะดูแลฟันของเด็กเล็กอย่างไร

การทำให้ลูกมีนิสัยในการรักษาสุขภาพปากและฟันที่ดีเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพที่คุณสามารถสอนเขาได้ โดยรวมถึงการสอนเด็กให้แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี ลดการรับประทานอาหารว่าง และพบทันตแพทย์อย่างส่ำเสมอ

ทันตแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เด็กเริ่มรับการตรวจเมื่อเมื่ออายุครบ 2 ปี นอกจากจะเป็นการตรวจดูการเจริญเติบโตของฟันแล้ว ยังเป็นโอกาสของคุณในการเรียนรู้พัฒนาการของฟัน ความต้องการฟลูออไรด์ การช่วยให้เด็กรักษาความสะอาดของปากและฟันด้วยตนเอง การจัดการกับนิสัยเด็ก (เช่นการติดจุกนมหลอก) อาหารและโภชนาการ และการป้องกันความเจ็บป่วยของเหงือกและฟันอีกด้วย

ควรเน้นกับเด็กว่าการพบทันตแพทย์เป็นสิ่งที่ดี โดยอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าการไปพบทันตแพทย์เป็นประจำจะช่วยให้เรามีสุขภาพของเหงือกและฟันที่ดี ทัศนคติดังกล่าวจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกของคุณจะไปพบกับทันตแพทย์อย่างส่ำเสมอไปตลอดชีวิตของเขา

เราควรจะทำอย่างไรเมื่อฟันของเด็กเริ่มขึ้น
ฟันจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน จนกระทั่ง 3 ปี ซึ่งจะทำให้เด็กมีเหงือกที่นุ่ม จนทำให้เด็กรู้สึกรำคาญ คุณอาจจะนวดเหงือกของเด็กด้วยนิ้วของคุณ ช้อนคันเล็กเย็นๆ หรือ ยางกัดที่แช่เย็น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เจลแก้ปวดสำหรับเด็กเมื่อฟันเริ่มขึ้น ควรปรึกษากับทันตแพทย์หรือกุมารแพทย์ก่อนใช้ ถ้าลูกของคุณมีอาการเป็นไข้เมื่อฟันเริ่มขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ

ดูแลฟันลูกน้อยด้วยเคล็ดลับจากคุณแม่หมอฟัน

วิธีการแปรงฟันให้กับเด็กที่ถูกต้องเป็นอย่างไร
เป็นการดีที่คุณจะคอยดูเวลาเด็กแปรงฟันจนกระทั่งอายุ 6 ปี โดยปฏิบัติดังนี้

  • ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ได้รับการรับรองจาก ADA ขนาดเท่ากับเมล็ดถั่ว และคอยระวังอย่าให้เด็กกลืนยาสีฟัน
  • ใช้แปรงสีฟันที่ขนแปรงอ่อนนุ่ม โดยแปรงฟันให้ทั่วทุกซี่ด้านใน ตามบริเวณที่คราบแบคทีเรียจะสะสม และแปรงตามร่องเหงือกโดยแปรงขึ้นและลง
  • ทำความสะอาดด้านนอกด้วยการแปรงแบบเดียวกัน
  • แปรงที่บริเวณบดเคี้ยวอาหารด้วยการแปรงแบบเดียวกัน

การดูดนิ้วจะเป็นปัญหาหรือไม่ และเราจะแก้ไขได้อย่างไร 
การดูดนิ้วเป็นสิ่งปกติในเด็กทารก อย่างไรก็ตาม นิสัยการดูดนิ้วอาจก่อให้เกิดปัญหาในการเจริญเติบโตของปากและขากรรไกร ตลอดจนตำแหน่งของฟัน ถ้ามีการดูดนิ้วหลังจากที่ฟันขึ้นแล้วในช่วงอายุ 4-7 ปี อาจทำให้เด็กมีฟันหน้ายื่น และการขบฟันผิดปกติ ซึ่งจะเป็นปัญหาเวลาโตขึ้น เช่นทำให้ฟันเสื่อมก่อนวัยอันควร มีโอกาสที่ฟันจะผุได้มากขึ้น และเคี้ยวอาหารไม่สะดวก การดูดจุกนมหลอกหลังจากฟันขึ้นแล้วก็สามารถก่อให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกันได้

วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับการดูดนิ้วคือการจูงใจในทางบวก ไม่ใช่การใช้คำพูดหรือพฤติกรรมทางลบ ลูกของคุณอาจจะทำเพียงเพราะว่าเป็นธรรมชาติของเด็ก ควรใช้คำชมเมื่อเด็กไม่ดูดนิ้ว หรือพยายามแก้ไขความกังวลอันเป็นสาเหตุของการดูดนิ้วของเด็ก คุณอาจจะเอาผ้าพันแผลมาพันที่นิ้วเด็ก หรือใส่ถุงมือเพื่อเตือนใจเด็กไม่ให้ดูดนิ้ว การทาสิ่งที่ให้รสขมที่นิ้วอาจจะช่วยได้โดยต้องปรึกษาแพทย์เพื่อให้สั่งยา

ดูแลฟันลูกน้อยด้วยเคล็ดลับจากคุณแม่หมอฟัน

ที่มาจาก : https://www.colgate.com/th-th/oral-health/life-stages/childrens-oral-care/how-do-i-care-for-my-toddlers-tee

บทความ อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

บทความจากพันธมิตร
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
เคล็ดลับดูแลครรภ์ และ สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
เคล็ดลับดูแลครรภ์ และ สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
โรคภูมิแพ้ในเด็ก ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิด ด้วยนมแม่ที่มีคุณสมบัติเป็น H.A. (Hypoallergenic)
โรคภูมิแพ้ในเด็ก ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิด ด้วยนมแม่ที่มีคุณสมบัติเป็น H.A. (Hypoallergenic)
พ่อแม่ต้องรู้! วิธีป้องกัน RSV ในเด็ก ช่วยลูกไม่ป่วยหนัก
พ่อแม่ต้องรู้! วิธีป้องกัน RSV ในเด็ก ช่วยลูกไม่ป่วยหนัก

ทำอย่างไรให้ลูกแปรงฟัน

ลำดับเวลาฟันน้ำนมหลุดของเด็ก

น้ำตาล: ภัยร้ายใกล้ตัวลูก

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

ธิดา พานิช

  • หน้าแรก
  • /
  • สุขภาพ
  • /
  • ดูแลฟันลูกน้อยด้วยเคล็ดลับจากคุณแม่หมอฟัน
แชร์ :
  • อุทาหรณ์! ก้างปลาติดคอ กลืนข้าว-น้ำส้มสายชู วันรุ่งขึ้นเสียชีวิต

    อุทาหรณ์! ก้างปลาติดคอ กลืนข้าว-น้ำส้มสายชู วันรุ่งขึ้นเสียชีวิต

  • วิจัยเผย! บรอกโคลี ต้านมะเร็ง ได้!! ด้วย "ซัลโฟราเฟน" สารอาหารที่พบในบรอกโคลี

    วิจัยเผย! บรอกโคลี ต้านมะเร็ง ได้!! ด้วย "ซัลโฟราเฟน" สารอาหารที่พบในบรอกโคลี

  • แม่แชร์อุทาหรณ์ ลูกแพ้กุ้ง ตาบวมฉึ่ง ทั้งที่ปกติกินกุ้งประจำ

    แม่แชร์อุทาหรณ์ ลูกแพ้กุ้ง ตาบวมฉึ่ง ทั้งที่ปกติกินกุ้งประจำ

  • อุทาหรณ์! ก้างปลาติดคอ กลืนข้าว-น้ำส้มสายชู วันรุ่งขึ้นเสียชีวิต

    อุทาหรณ์! ก้างปลาติดคอ กลืนข้าว-น้ำส้มสายชู วันรุ่งขึ้นเสียชีวิต

  • วิจัยเผย! บรอกโคลี ต้านมะเร็ง ได้!! ด้วย "ซัลโฟราเฟน" สารอาหารที่พบในบรอกโคลี

    วิจัยเผย! บรอกโคลี ต้านมะเร็ง ได้!! ด้วย "ซัลโฟราเฟน" สารอาหารที่พบในบรอกโคลี

  • แม่แชร์อุทาหรณ์ ลูกแพ้กุ้ง ตาบวมฉึ่ง ทั้งที่ปกติกินกุ้งประจำ

    แม่แชร์อุทาหรณ์ ลูกแพ้กุ้ง ตาบวมฉึ่ง ทั้งที่ปกติกินกุ้งประจำ

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว