แผลบาดทะยัก อาจเกิดขึ้นได้ตอนที่เด็กวิ่งเล่น ซุกซน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูก ๆ เป็นบาดทะยักหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบมาให้คุณแม่
บาดทะยัก คืออะไร
บาดทะยักเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อคลอสทริเดียม เททานี (Clostridium Tetani) ซึ่งอยู่ในดินและอุจจาระของสัตว์ โดยมักจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง และผ่านเส้นประสาทไปยังสมองหรือไขสันหลังทำให้ระบบประสาทของกล้ามเนื้อทำงานไม่ปกติ ความจริงแล้ว บาดทะยักไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ก็เป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยมักจะระบาดในช่วงหน้าร้อน หรือในช่วงที่อากาศอบอ้าว
กลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นบาดทะยักนั้น อาจมีดังนี้
- เด็กที่อาศัยอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา จึงไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
- เด็กที่ไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักตั้งแต่เด็ก
- เด็กที่แม่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักตอนตั้งครรภ์
- เด็กที่สะดือไม่สะอาด หรือไม่มีคนทำความสะอาดสะดือให้หลังจากคลอด
- เด็กที่กระดูกหัก และมีกระดูกแทงทะลุผิวหนัง
- เด็กที่โดนสัตว์ทำร้าย หรือแมลงกัดต่อย
- เด็กที่เข้ารับการผ่าตัด หรือเข้ารับการรักษาทางทันตกรรม
- เด็กที่มีแผลไฟไหม้ หรือแผลที่เกิดจากของมีคม
- เด็กที่ชอบเจาะหรือสักตามร่างกาย
- เด็กที่ใช้เข็มฉีดยาที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
ซึ่งหลังจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายเด็กผ่านทางแผลแล้ว เด็กจะเริ่มมีอาการภายใน 3-21 วัน สำหรับเด็กทารก อาจจะต้องใช้เวลา 3-14 วัน กว่าคุณแม่จะสังเกตเห็นความผิดปกติ
บทความที่เกี่ยวข้อง : วัคซีนโรคบาดทะยัก 100 เรื่องพ่อแม่ต้องรู้ก่อนลูก 1 ขวบ
แผลบาดทะยัก เกิดได้จากแผลไฟไหม้ แผลจากของมีคม หรือแผลสุนัขกัด (ภาพโดย pixabay.com)
แผลบาดทะยัก เป็นแบบไหน
โดยทั่วไป บาดทะยักมักจะเกิดจากแผลลึก แผลผิวหนังไหม้ ผิวหนังที่ตายแล้ว แผลน้ำเหลือง แผลที่เกิดจากแรงกระแทก แผลสุนัขกัดหรือแมวข่วน รวมถึงแผลที่เปื้อนดิน น้ำลาย หรืออุจจาระของสัตว์ รวมทั้งยังเกิดได้จากการสักหรือเจาะตามร่างกาย ซึ่งเด็กที่เป็นบาดทะยัก มักมีอาการต่อไปนี้
- กรามค้าง กรามกระตุก
- กล้ามเนื้อหน้าท้อง หลัง แขน และขาตึง
- มีปัญหาในการดูดนม และร้องไห้ตลอดเวลา
- ปวดกล้ามเนื้อคอ ไหล่ และหลัง
- กล้ามเนื้อใบหน้ายึดตึง
- มีปัญหาในการปัสสาวะ
- กระสับกระส่าย หงุดหงิด
- มีเหงื่อออก
- กลืนอาหารได้ลำบาก
- ปวดศีรษะ
- มีอาการชัก
- ชีพจรเต้นไว
- มีไข้
นอกจากนี้ เด็กบางคนที่เป็นบาดทะยัก อาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น หายใจลำบาก เนื่องจากเส้นเสียงทำงานผิดปกติ กล้ามเนื้อชักเกร็งจนกระดูกหัก ติดเชื้อในปอด ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเส้นเลือดอุดตันในปอด เป็นต้น แต่เด็กบางคน ก็อาจมีอาการเหมือนกับโรคทั่วไปอย่างไข้หวัด จนคุณแม่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ
แม้ว่าบางครั้ง อาจเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็นอาการได้ แต่หากเด็ก ๆ มีแผลลึก แผลไฟไหม้ แผลขนาดใหญ่ที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ โดนสุนัขหรือแมวกัด หรือมีสิ่งสกปรกปะปนอยู่ในแผลและล้างไม่ออก คุณแม่ควรรีบปฐมพยาบาลแผลเบื้องต้นให้เด็ก จากนั้นควรรีบพาเด็กไปพบหมอ เพื่อรับการรักษาและป้องกันโดยด่วน ซึ่งเมื่อเข้าพบแพทย์ แพทย์อาจทำการซักประวัติ และสอบถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่ผิวหนังของเด็ก รวมถึงทำการตรวจผิวหนังบริเวณที่เกิดแผล ซึ่งวิธีการรักษา จะขึ้นอยู่กับอายุ อาการ และโรคประจำตัวของเด็ก โดยคุณหมออาจฉีดยาต้านบาดทะยัก และให้รับประทานยาปฏิชีวนะ แต่หากเด็กคนไหนมีอาการรุนแรง ก็อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว รวมทั้งหากหายใจลำบาก ก็อาจจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และให้รับประทานยาแก้อาการชัก
บทความที่เกี่ยวข้อง : วัคซีนป้องกันบาดทะยักสำคัญอย่างไรเมื่อตั้งครรภ์
หากเด็กมีแผลบริเวณขา ให้ติดพลาสเตอร์เอาไว้ เพื่อไม่ให้แผลปนเปื้อนดิน (ภาพโดย shutterstock.com)
ป้องกันแผลบาดทะยักในเด็กยังไงดี
มีวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยป้องกันเด็กจากโรคบาดทะยักได้ วิธีที่ว่านี้ ก็คือการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก ซึ่งโดยปกติเด็ก ๆ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโรคหลัก ๆ 3 โรคอย่างโรคบาดทะยัก โรคคอตีบ โรคไอกรน โดยควรเริ่มฉีดครั้งแรกเมื่ออายุ 2 เดือน และฉีดครั้งสุดท้ายตอนอายุไม่เกิน 6 ปี นอกจากนี้ คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ก็ยังควรเข้ารับการฉีดวัคซีนดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้ ที่อาจเกิดในระหว่างการตั้งครรภ์
และนอกจากการฉีดวัคซีนกันบาดทะยักแล้ว คุณแม่ยังสามารถปกป้องน้อง ๆ ไม่ให้เกิดบาดแผลได้ ด้วยวิธีต่อไปนี้
- ไม่ปล่อยให้เด็ก ๆ เล่นตามลำพัง คอยสอดส่องอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ป้องกันได้ทัน หากกำลังจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเด็ก
- ไม่ให้เด็กเล่นอยู่บริเวณที่จอดรถ เพราะคนใช้รถอาจมองไม่เห็นเด็ก
- ให้เด็กสวมหมวกกันน็อกทุกครั้งที่ปั่นจักรยาน
- ไม่ให้เด็กอยู่ใกล้อาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อน เพราะเด็กอาจโดนความร้อนจนทำให้เป็นแผลได้
- ไม่ให้เด็กเข้าใกล้สัตว์ตอนที่สัตว์กำลังนอน หรือกำลังกินอาหารอยู่
- ไม่ให้เด็กเข้าใกล้สุนัข หรือแมวของคนอื่น เพราะสัตว์อาจจะไม่คุ้นเคยกับเด็กมากพอ
- ตรวจดูเครื่องเล่นที่สนามเด็กเล่นให้เรียบร้อยก่อนที่เด็กจะเล่นเครื่องเล่น
- ไม่วางเก้าอี้หรือโซฟาไว้ใกล้หน้าต่าง เพราะเด็กอาจปีนขึ้นไปและกระโดดออกทางหน้าต่างได้
- ไม่วางสิ่งของมีคมหรือวัตถุที่อาจทำอันตรายต่อเด็กไว้ในที่ ๆ เด็กเอื้อมถึง
บทความที่เกี่ยวข้อง : การห้ามเลือดหากลูกบาดเจ็บ หรือเป็นแผลต้องทำอย่างไร
วิธีปฐมพยาบาลเด็ก เมื่อเด็กเป็นแผล
หากเด็กเป็นแผล คุณแม่ยังสามารถปฐมพยาบาลให้เด็กเบื้องต้นได้ดังนี้
- สวมถุงมือก่อนเริ่มปฐมพยาบาลทุก ๆ ครั้ง
- ใช้น้ำสะอาดล้างแผลเด็กให้สะอาด เพื่อล้างดินและสิ่งสกปรกออกจากแผล
- ไม่ควรล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ล้างแผล
- ทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ แผลด้วยสบู่
- ใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าก็อซกดแผล เพื่อห้ามเลือด
- หากเลือดซึมผ่านผ้าก็อซ ให้นำผ้าก็อซแผ่นอื่นมากดทับไปเรื่อย ๆ
- เมื่อเลือดหยุดไหล ให้กดแผลต่ออีกประมาณ 1-2 นาที
- ยกบริเวณที่เกิดแผลให้อยู่สูง เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลได้อีกครั้ง
- เมื่อเลือดหยุดไหล ให้ทายาฆ่าเชื้อชนิดครีม
- หากแผลอยู่บริเวณต่ำ และเสี่ยงที่จะปนเปื้อนดิน ให้ติดพลาสเตอร์ที่แผล หรือใช้ผ้าพันแผลเอาไว้
- หมั่นเช็คดูว่าแผลมีอาการอักเสบ หรือรุนแรงขึ้นหรือเปล่า
เป็นเรื่องยาก ที่จะห้ามไม่ให้เด็กเล่นสนุก เพราะเขาอยู่ในวัยที่ชอบสำรวจ ชอบทดลอง และขี้สงสัย สิ่งที่คุณแม่สามารถทำได้ ก็คือคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเมื่อเขากำลังเล่นอยู่ เพื่อไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหากเขาหกล้มจนเป็นแผล คุณแม่ก็ควรดูแลรักษาแผลให้ดี ไม่ให้เกิดอาการอักเสบหรือรุนแรงจนเกิดเป็นบาดทะยัก
บทความที่เกี่ยวข้อง : แผล ลูกมีแผลทำไงดี วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นง่าย ๆ ที่คุณแม่ก็ทำได้
ที่มา : urmc.rochester , stanfordchildrens , kidshealth , theasianparent , drugs , ucsfbenioffchildrens
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!