วิตามินเอ เป็นอีกหนึ่งประเภทวิตามิน ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา และเป็นวิตามิน ที่ร่างกายสามารถสะสมเอาไว้ได้ แบ่งเป็นสอง ชนิด ได้แก่ วิตามินเอ แบบสำเร็จ เรียกว่า เรตินอล และ โปรวิตามินเอ หรือ เรียกว่าแคโรทีน
วิตามินเอ คืออะไร?
วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินชนิดหนึ่ง ที่เป็นสารประกอบที่ละลายในไขมัน ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพของร่างกาย ในหลาย ๆ ประการ เช่น การบำรุงสายตา การช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน และอวัยวะภายในทำงานได้อย่างปกติ ช่วยในการเจริญเติบโต ของทารกในครรภ์ เป็นต้น
วิตามินเอ มีกี่ชนิด?
วิตามินเอ มักพบได้ใน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ และ พืช โดยจะมีสองรูปแบบ ได้แก่ พรีฟอร์ม วิตามินเอ และ โปรวิตามินเอ
- พรีฟอร์มวิตามินเอ (Preformed Vitamin A) สามารถพบได้ใน เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ นม และ จะมีสารประกอบเรตินอล และกรดเรติโนอคด้วย ซึ่งพรีฟอร์มวิตามินเอ จะถูกร่างกาย นำเอาไปใช้ได้เลย
- โปรวิตามินเอ (Provitamin A) เป็นสารแคโรทินอยด์ ที่พบได้จากพืช เช่น แอลฟาแคโรทีน เบต้าแคโรทีน เบตาคริพโทแซนทิน ซึ่งสารเหล่านี้ จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ในภายหลัง เช่น เบต้าแคโรทีน จะถูกเปลี่ยนเป็น เรตินอย โดยลำไส้เล็ก เป็นต้น
10 ประโยชน์ของวิตามินเอ
- ช่วยสร้างภูมิต้นทาน การติดเชื้อทางเดินหายใจ
- ช่วยบำรุงการมองเห็น และ รักษาโรคทางตาได้หลายโรค อีกทั้งยังช่วยสร้างเม็ดสี ที่มีคุณสมบัติไวต่อแสง
- ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้ม กันในร่างกาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วย จากโรคต่าง ๆ
- ช่วยลดรอยจุดด่างดำ รอยแผลเป็น และรอยสิวได้ดี
- ช่วยสร้างเนื้อเยื่อชั้นนอก ของอวัยวะต่าง ๆ ให้ดูสุขภาพดีขึ้น
- ช่วงเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้ง ผิวพรรณ ผม ฟัน เหงือก และยัง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
- ช่วยรักษาโรคถุงลมโป่งพอง และ โรคไทรอยด์เป็นพิษ
- ช่วยรักษาสิว และ ลดรอยสิวตื้น ๆ
- ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ชนิดตุ่มพอง ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชันนะตุ และ แผลเปิดต่าง ๆ
แหล่งของวิตามินเอ
-
อาหารที่มี Preformed Vitamin A หรือ เรตินอล (Retnol)
อาหารที่มีวิตามินเอสูงที่สุด ได้แก่ ตับ และ น้ำมันปลา และอาหารอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งของวิตามินเอ ได้แก่ ปลา ไข่ นม และ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากนม
โปรวิตามินเอ ส่วนมากมักพบใน อาหารประเภทพืชผักใบเขียว ผักที่มีสีส้มเหลือง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากมะเขือเทศ ผลไม้ และ น้ำมันพืชบางชนิด เช่น แครอท บร็อคโคลี่ แคนตาลูป มันเทศ และฟักทอง เป็นต้น
-
อาหารที่มี เบต้า-แคโรทีน (Beta-Carotene)
มักพบได้ในผักและผลไม้ต่าง ๆ ดังนี้
ผลไม้สีส้มเหลือง ได้แก่ แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ เป็นต้น
ผักที่มีสีส้มเหลือง ได้แก่ แครอท ฟักทอง มันเทศ เป็นต้น
ผักที่มีสีเขียวเข้ม ได้แก่ บล็อคโคลี่ ผักโขม เป็นต้น
-
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
วิตามินเอ มีขายในรูปแบบอาหารเสริม มีทั้งรูปแบบวิตามินรวม และ วิตามินเดี่ยว ซึ่งสัดส่วนของวิตามินเอ ในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บางชนิดจะอยู่ในรูปแบบของ เบต้า-แคโรทีน และ พรีฟอร์มวิตามินเอ ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ละรูปแบบ จะมีฉลากผลิตภัณฑ์ที่ระบุรูปแบบของวิตามินเอาไว้
ปริมาณวิตามินเอที่พอเหมาะกับแต่ละช่วงวัย
ปริมาณวิตามินเอ ที่ร่างกายควรได้รับ ตามแต่ละช่วงอายุ มีดังนี้
- ทารก อายุ แรกเกิด – 6 เดือน ควรได้รับวิตามินเอ จากน้ำนมแม่เป็นหลัก
- ทารก อายุ 6 เดือน – 3 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 400 ไมโครกรัม ต่อวัน
- เด็ก อายุ 4-5 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 450 ไมโครกรัม ต่อวัน
- เด็ก อายุ 6-8 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 500 ไมโครกรัม ต่อวัน
- ผู้หญิง ที่มีอายุ 9 ปี ขึ้นไป ควรได้รับวิตามินเอ 600 ไมโครกรัม ต่อวัน
- ผู้ชาย ที่มีอายุ 9-15 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 600 ไมโครกรัม ต่อวัน
- ผู้ชาย ที่มีอายุ 16 ปี ขึ้นไป ควรได้รับวิตามินเอ 700 ไมโครกรัม ต่อวัน
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับวิตามินเอ เพิ่มจากปกติ 200 ไมโครกรัม ต่อวัน
- ผู้หญิงให้นมบุตร ควรได้รับวิตามินเอ เพิ่มจากปริมาณปกติ 375 ไมโครกรัม ต่อวัน
ที่มาข้อมูล : pobpad , geneusdna , vrunvride
บทความที่เกี่ยวข้อง :
6 วิตามิน สารพัดประโยชน์ สารอาหารดี ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
วิตามิน D หาได้จากไหน มีอาหารหรือผลไม้ชนิดไหนที่มีวิตามินDบ้าง?
ผัก ผลไม้วิตามินซีสูง ดีต่อสุขภาพคนท้องอย่างไร? ป้องกันหวัดลูกได้จริงหรือไม่