เด็กมีกลิ่นปาก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยหลังจากรับประทานอาหาร แต่การที่ลูกมีกลิ่นปากหลังจากแปรงฟันแล้ว อาจเป็นสัญญาณว่าเด็กกำลังมีปัญหาสุขภาพฟันหรือช่องปาก ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นเช็กและต้องรีบแก้ไข เหมือนกับข่าวนี้ เด็กชาย 7 ขวบ ถูกเพื่อนล้อเพราะมีกลิ่นปาก แม่ทนไม่ไหวตัดสินใจพาลูกไปหาหมอ หลังแพทย์เจอสิ่งผิดปกติจากปากลูก ทำเอาผู้เป็นแม่ถึงกับช็อก
เด็กชาย 7 ขวบ ถูกเพื่อนล้อเพราะมีกลิ่นปาก
เรื่องราวสุดอึ้งนี้มาจากเว็บไซต์ข่าวต่างประเทศ phunuphapluat ซึ่งได้รายงานว่าที่ประเทศจีน เด็กชายเอ (นามสมมุติ) วัย 7 ปี ถูกเพื่อนร่วมชั้นรังเกียจและล้อเลียน เพราะคิดว่าช่องปากของเด็กชายเอมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ทำให้เด็กชายทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นและเกิดการทะเลาะวิวาทกัน เมื่อคุณครูประจำชั้นรู้เหตุการณ์ จึงรีบโทรหาผู้ปกครองของเด็กชายเอทันที
แม่ของเด็กชายเอรีบไปโรงเรียนเพื่อรับฟังปัญหา และตัดสินใจพาลูกชายไปตรวจสุขภาพช่องปากที่โรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ได้ตรวจสรุปว่า เด็กชายเอมี “นิ่วทอนซิล” ทำให้ปากมีกลิ่นเหม็น หลังจากนั้นแพทย์จึงพาคุณแม่และเด็กชายเอเข้าห้องพาตัด โดยแพทย์ได้ใช้เครื่องมือค่อย ๆ หยิบสิ่งแปลกปลอมออกจากปากของเด็กชายเอ ทำให้ผู้เป็นแม่ที่เห็นเหตุการณ์นี้ตะลึงทันที เพราะเจอกับเมล็ดเล็ก ๆ ที่มีสีเหลือง ลักษณะแข็งเล็กน้อยเหมือนกับเมล็ดข้าว ซึ่งสิ่งอันไม่พึงประสงค์นี้ มีกลิ่นที่รุนแรงอย่างน่าสยดสยองเลยก็ว่าได้
โดยแพทย์ได้อธิบายว่านิ่วเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตราบใดที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารและสุขภาพช่องปากของลูกมากขึ้นในอนาคต เช่น การแปรงฟันเป็นประจำ และการรับประทานผักผลไม้เยอะ ๆ เพื่อช่วยขจัดสารส่วนเกินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเมือก สารคัดหลั่ง และของเสียออกจากปากลูก และยังเป็นการปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลูกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ฟังคำแนะนำของแพทย์แล้ว แม่ของเด็กชายเอก็อธิบายผลการตรวจให้ลูกชายเข้าใจ และพาลูกออกจากโรงพยาบาล ซึ่งผู้เป็นแม่ก็ได้อธิบายผลการตรวจให้เด็กชายเอฟังสั้น ๆ และแนะนำให้ลูกชายสร้างนิสัยในการใช้ชีวิต และการรับประทานอาหารเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา เพื่อที่เพื่อน ๆ ของเด็กชายจะเลิกล้อเลียน ซึ่งเมื่อเด็กชายเอได้ยินสิ่งที่แม่พูด ก็ได้ตอบตกลงด้วยความยินดี โดยหลังจากที่เด็กชายเอปรับตัวได้ระยะหนึ่ง ปัญหาเรื่องสุขภาพช่องปากของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้เพื่อน ๆ ในชั้นเรียนเข้าสังคมกับเด็กชายเอได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : ลูกมีกลิ่นปาก เพราะอะไร เหตุผลที่ทำให้ลูกมีปัญหากลิ่นปาก และวิธีการแก้ไขเบื้องต้น
นิ่วทอนซิล คืออะไร
นิ่วทอนซิล (Tonsillolith) คือ ก้อนขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่ว มีลักษณะสีเหลืองหรือสีขาวอยู่บริเวณต่อมทอนซิล เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ โดยเกิดจากการสะสมของเซลล์ที่ตายแล้ว รวมถึงแบคทีเรียต่าง ๆ ทำให้อวัยวะบริเวณนั้นระคายเคืองและยังส่งผลต่อบุคลิกภาพในการพูด แต่อาจไม่ทำให้เกิดอันตรายหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
นิ่วทอนซิล อาการเป็นอย่างไร
ผู้ป่วยที่มีนิ่วทอนซิลจะพบก้อนสีเหลืองบริเวณต่อมทอนซิล มีกลิ่นปาก และอาจมีความผิดปกติร่วมด้วย โดยอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเรื้อรัง กลืนอาหารลำบาก ต่อมทอนซิลบวม รู้สึกเหมือนมีอะไรติดคออยู่จนทำให้เกิดความรำคาญ และอาจมีอาการปวดร้าวบริเวณหู
ลูกมีกลิ่นปาก เกิดจากสาเหตุใดได้อีก
สุขภาพช่องปากของเด็ก เป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจ ซึ่งโดยทั่วไปกลิ่นปากมักจะเกิดขึ้นหลังจากตื่นนอนและหลังการรับประทานอาหาร รวมถึงยังมีอีกสาเหตุที่ส่งผลให้ลูกมีกลิ่นปากผิดปกติ ดังนี้
- ฟันผุจนทำให้เศษอาหารสะสมจนเกิดกลิ่นปาก
- รับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น หัวหอม กระเทียม ชีส
- ดื่มเครื่องดื่มบางชนิด เช่น นม กาแฟ โซดา
- การใช้ยาบางชนิดที่ทำให้ลูกปากแห้ง
- เกิดจากการสะสมของหินปูนที่ทำให้เป็นสาเหตุของกลิ่นปาก
- แปรงฟันไม่ทั่วถึงหรือทำความสะอาดช่องปากน้อยกว่า 2 ครั้งต่อไป
- มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดในจมูกลูก จนทำให้เกิดกลิ่นปากหรือลมหายใจเหม็น
- มีโรคประจำตัว หรืออาการป่วยจากโรค เช่น เหงือกอักเสบ ไซนัสอักเสบ กรดไหลย้อน
- ปากแห้งมาก จนทำให้ผลิตน้ำลายได้น้อยลง และทำให้แบคทีเรียในช่องปากไม่ถูกชะล้างไป
บทความที่เกี่ยวข้อง : สาเหตุของกลิ่นปาก เกิดจากอะไร รับมือกับปัญหากลิ่นปากอย่างไรดี?
วิธีเช็กกลิ่นปากของลูก
คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจเช็กกลิ่นปากของลูกเป็นประจำ ด้วยการใช้สำลีหรือผ้าก๊อซสะอาดเช็ดในช่องปากของลูกแล้วลองดม หรือให้ลูกใช้ลิ้นเลียหลังมือจากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วลองดม หากพบมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ควรรีบหาทางรักษาทันที เพราะการที่ลูกมีกลิ่นปากรุนแรง อาจหมายถึงปัญหาสุขภาพช่องปากที่น่าเป็นกังวลในอนาคตได้
วิธีแก้ปัญหาเมื่อลูกมีกลิ่นปาก
ปัญหากลิ่นปากของลูกสามารถจัดการได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เริ่มจากการให้ลูกทำความสะอาดช่องปากเป็นประจำ และควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก โดยวิธีแก้ปัญหาลูกมีกลิ่นปาก มีดังนี้
- ทำความสะอาดช่องปากเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังมื้ออาหารอย่างน้อย 30 นาที โดยคุณพ่อคุณแม่ควรจับเวลาการแปรงฟันของลูกน้อยด้วยอย่างน้อย 2 นาที
- ให้ลูกทำความสะอาดลิ้นทุกครั้งเวลาแปรงฟัน เพราะลิ้นอาจส่งผลให้มีกลิ่นปากได้
- ใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารในช่องปากหลังแปรงฟัน จากนั้นใช้น้ำยาบ้วนปากควบคู่ด้วย
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว พยายามให้ลูกดื่มน้ำบ่อย ๆ แทนการรับประทานของกินเล่นเพื่อลดเศษอาหารติดฟัน
- เคี้ยวหมากฝรั่งที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล จะช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง โดยเฉพาะหลังจากรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง
- รับประทานผักผลไม้ที่มีเส้นใยเพื่อขัดเศษอาหารออกจากฟัน หรือดื่มน้ำผลไม้เพื่อช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก
ลูกมีกลิ่นปาก เมื่อไหร่ที่ควรกังวล
หากลูกมีกลิ่นปากที่รุนแรง เรื้อรัง แม้แปรงฟันแล้วก็ยังมีกลิ่นปากอยู่ อาจหมายถึงลูกมีปัญหาสุขภาพช่องปากบางอย่างที่ต้องได้รับการรักษา คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาสุขภาพอนามัยในช่องปากอย่างถูกวิธี
บทความที่เกี่ยวข้อง : รวมเคล็ดลับ วิธีระงับกลิ่นปาก ให้ไม่มีกลิ่นเหม็น บอกลาปัญหากลิ่นปาก!
เคล็ดลับการเลือกแปรงสีฟันสำหรับเด็ก
การเลือกแปรงสีฟันสำหรับเด็กเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ คุณพ่อคุณแม่ควรรู้จักการเลือกแปรงสีฟันที่ถูกต้องเพื่อช่วยให้เขาแปรงฟันได้ง่ายขึ้น และไม่เจ็บช่องปากขณะทำความสะอาดฟัน ซึ่งวิธีการเลือกแปรงสีฟันสำหรับเด็กง่าย ๆ มีดังนี้
1. พิจารณาด้ามจับแปรง
ปัจจุบันแปรงสีฟันเด็กมีด้ามจับแบบหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นด้ามแบน ด้ามกลม และด้านเหลี่ยม คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้เลือกซื้อด้วยตนเอง ตามความถนัดและลายที่ลูกชอบ หากลูกอยู่ช่วงก่อนวัยเรียน อาจเลือกด้ามจับแปรงที่มีลักษณะใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ แต่ใช้ด้ามที่ใหญ่กว่าและหัวเล็กกว่าเล็กน้อย
2. ดูลักษณะขนแปรง
ขนแปรงที่ดีต้องมีลักษณะนุ่ม ปลายมน เพื่อป้องกันแปรงทิ่มเหงือกลูกจนเลือกออก และขนแปรงต้องมีหน้าดัดตรงเพื่อช่วยทำความสะอาดคราบแบคทีเรียในช่องปาก และป้องกันไม่ให้ตัวแปรงทำร้ายเหงือกลูก เพราะหากใช้ขนแปรงที่แข็งจนเกินไปอาจทำให้ลูกเจ็บช่องปาก และทำให้เคลือบฟันสึกได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่ยังมีฟันน้ำนมที่สึกง่ายและเคลือบฟันไม่แข็งแรงเหมือนกับฟันแท้
3. เลือกขนาดหัวแปรง
คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกขนาดหัวแปรงตามมาตรฐานของกรมอนามัย โดยแบ่งเป็นช่วงอายุของเด็กต่างกันดังนี้
- เด็กวัย 0-3 ปี หัวแปรงไม่ควรกว้างเกิน 11 มม. ยาวเกิน 20 มม. และไม่ควรหนาเกิน 6 มม.
- เด็กวัย 3-6 ปี หัวแปรงไม่ควรกว้างเกิน 11 มม. ยาวเกิน 23 มม. และไม่ควรหนาเกิน 6 มม.
- เด็กวัย 6-12 ปี หัวแปรงไม่ควรกว้างเกิน 11 มม. ยาวเกิน 27 มม. และไม่ควรหนาเกิน 6 มม.
เรื่องสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจ ดังนั้น ควรพาลูกน้อยไปพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อตรวจเช็กสุขภาพฟันและรักษาปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะโรคฟันผุในเด็ก ซึ่งจะช่วยให้ลูกมีฟันที่แข็งแรงและมีสุขภาพอนามัยช่องปากที่ดี
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
5 วิธีเลือก แปรงสีฟันเด็ก เลือกอย่างไรให้เหมาะกับวัยของลูก
ปัญหาเรื่อง ฟันผุ ปวดฟัน ส่งผลเสียต่อการพัฒนาการของลูกหรือไม่
10 น้ำยาบ้วนปาก ยี่ห้อไหนดี ลดกลิ่นปาก ป้องกันฟันผุ ช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่น
ที่มา : siamnews.com, sanook.com, homeydentalclinic.com, homeydentalclinic.com, petcharavejhospital.com
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!