X
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้าเข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ตั้งครรภ์
    • คำนวณวันคลอด
    • ฉันกำลังตั้งครรภ์
    • ไตรมาสที่ 1
    • ไตรมาสที่ 2
    • ไตรมาสที่ 3
    • Project Sidekicks
    • ตั้งชื่อลูก
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • อีเว้นท์
    • TAP Awards Winners
    • TAP idol
    • TAP x Safari Largest Treasure Hunt
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

เรียนยังไงให้เกรดพุ่ง แนะนำ 13 วิธีบริหารสมอง ให้มีความจำดี ไม่ยากต้องลองทำ

บทความ 5 นาที
เรียนยังไงให้เกรดพุ่ง แนะนำ 13 วิธีบริหารสมอง ให้มีความจำดี ไม่ยากต้องลองทำ

อยากได้เกรด 4 อยากเข้าใจในบทเรียน ก่อนอื่นๆเลย เราต้องรู้ วิธีบริหารสมอง ซึ่งก็แน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือ ตัวเราเอง ที่จะต้องมีระเบียบวินัย ขยัน ตั้งใจเรียน

ทำอย่างไรดี อยากเรียนเก่ง อยากได้เกรด 4 อยากเข้าใจในบทเรียน และนำมาใช้ประยุกต์ใช้ในการเรียนกับวิชาอื่นๆ ได้ ก่อนอื่นๆเลย เราต้องรู้ วิธีบริหารสมอง ซึ่งก็แน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือ ตัวเราเอง ที่จะต้องมีระเบียบวินัย ขยัน ตั้งใจเรียน และทบทวนในเนื้อหาที่ได้เรียนไปทุกครั้ง เรามาดูกันดีกว่าว่า วิธีบริหารสมอง ง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองจะมีอะไรบ้าง เริ่มกันเลย 

13 วิธีบริหารสมอง ให้มีความจำดี

exercise your brain

exercise your brain 1

1. ฝึกเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในชีวิตประจําวัน เช่น เปลี่ยนสถานที่ซื้อของ ที่กินอาหารกลางวัน ฟังวิทยุรายการใหม่ๆ หรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไป

2. ทํางานอดิเรกที่ไม่เคยทํา เช่น งานฝีมือ เย็บปักถักร้อย เรียนดนตรี เต้นรํา เล่นกีฬา หรือฝึกโยคะ

3. เล่นเกมฝึกสมอง เช่น ปริศนาอักษรไขว้ ปัญหาเชาวน์ หมากฮอส และหมากล้อม หรือฝึกฝนความจําโดยพยายามจําหน้าและชื่อของบุคคลสําคัญ หรือเปิดพจนานุกรมท่องคําศัพท์ใหม่ๆ

4. ทําสมาธิและฝึกตั้งสติ โดยกําหนดจิตให้รู้เท่าทันตนเองว่าขณะนี้มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร กําลังทําอะไร หรือจะไปที่ไหน

5. นัดพบเพื่อนฝูง พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือข่าวสารที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน เพื่อฝึกสมองให้รู้จักคิดวิเคราะห์

6. สมัครเข้าชมรมต่างๆ ทํากิจกรรมแปลกใหม่และทําความรู้จักกับเพื่อนใหม่

7. เปลี่ยนการใช้ประสาทสัมผัสที่เคยใช้เป็นประจํา เช่น ใช้มือข้างไม่ถนัดหยิบของ เขียนหนังสือวาดรูป ปั้นดินน้ํามัน หรือ กวาดบ้าน

8. ฟังเพลงคลาสสิก ช่วยกระตุ้นการทํางานของสมอง ทําให้มีสมาธิและความจําดี

9. ฝึกผ่อนคลายสมองด้วยการมองโลกในแง่ดี มีเมตตา หมั่นนึกถึงแต่ประสบการณ์ดีๆ หัดเป็นคนยิ้มง่ายและมีอารมณ์ขัน

10. สร้างสมาธิก่อนเรียนหรือทำงาน สร้างสมาธิก่อนเรียนหรือทำงาน โดยนั่งบนเก้าอี้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหลับตา เพียงให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก กำหนดจุดเพ่งมอง ปฏิบัติประมาณ 5-10 นาที ช่วยขจัดความยุ่งเหยิงทางใจ สมองคลายเครียด พร้อมใช้ความคิด ทั้งยังรับรู้ และเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

11. ลดความเร็วในการเดิน ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับการก้าว สลับกับพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัว ช่วยผ่อนคลายความเครียด และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต สามารถประยุกต์ใช้เมื่อเดินเล่น เดินไปเรียน และทำงานได้

12. รับประทานช้าลง โดยค่อย ๆ ตักอาหาร และเคี้ยวให้ละเอียด ไม่เพียงลดอาการท้องอืด และลดการทำงานหนักของกระเพาะอาหาร ยังเป็นการฝึกรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำด้วย

13. เลี่ยงคาเฟอีนเข้มข้น แม้คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความง่วง เหนื่อยล้า เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็ว และมีสมาธิขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับในปริมาณไม่มากเกินไป โดยเฉพาะวัยเรียน อาจลดความเข้มข้นจากการดื่มกาแฟเป็นชาแทน

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ : การเรียนรู้และการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ ของเด็กวัยหัดเดินมีความสำคัญอย่างไร

 

และนี่คือ 5 วิธีที่จะทำให้น้อง ๆ มีผลการเรียนที่ดีขึ้น เกรดพุ่งทุกวิชา

exercise your brain

exercise your brain 2

1. แปลงข้อความให้เป็นภาพ อ่านง่ายขึ้น

สมองของคนเราสามารถจดจำภาพได้ดีกว่าข้อความ ดังนั้น วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยทำให้เราอ่านหนังสือได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นก็คือ การแปลงข้อความต่าง ๆ ให้เป็นภาพ ซึ่งจะช่วยทำให้เราเข้าใจและจดจำข้อมูลต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เราอาจจะแปลงเป็นแผนภูมิแท่ง แผนภูมิวงกลม และแผนที่ความคิด ก็ได้ หรืออาจจะเปลี่ยนวิธีการจดแลคเชอร์ที่มีแต่ตัวอักษรอย่างเดียวให้มีภาพประกอบด้วยก็ช่วยทำให้เราเข้าใจได้ดีเหมือนกัน

 

2. จับความรู้มาเชื่อมโยงกัน (เก่า+ใหม่)

สำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ให้เราพยายามเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้มาใหม่เข้ากับความรู้พื้นฐานที่มีอยู่แล้ว จะช่วยทำให้เข้าใจข้อมูลใหม่ ๆ ที่เราได้เรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น เช่น การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่า sue ที่แปลว่า ฟ้องร้อง ซึ่งจะมีการออกเสียงคล้าย ๆ กับคำว่า สู้ ในภาษาไทย เราก็สามารถนำคำมาเชื่อมโยงได้ว่า sue คือการสู้กันในศาล เท่ากับคำว่า ฟ้องร้อง เป็นต้น (แบบนี้ก็จะช่วยทำให้เราจดจำได้ดียิ่งขึ้น)

 

3. ติวให้เพื่อน ๆ

การติวให้กับเพื่อน ๆ นอกจากจะเป็นการทบทวนความรู้ให้กับตนเองไปในตัวแล้ว ยังช่วยทำให้สมองของเราได้มีการพัฒนา ปรับปรุง ในสิ่งที่เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันด้วย ทำให้มีการจัดวางระเบียบความรู้ได้ดียิ่งขึ้น เข้าใจสิ่งที่เรียนมากขึ้น และเกิดเป็นความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 5 ทริคพัฒนาสมอง ลูกเล่นคนเดียว ไม่ต้องเสียว วิจัยเผยเล่นคนเดียวก็ฉลาดได้

 

4. ตั้งใจเรียน ไม่นั่งจดอย่างเดียว

น้อง ๆ บางคนเวลาเรียนในห้องมักจะชอบก้มหน้าก้มตาจดตามสไลด์ ที่อาจารย์สอนอย่างเดียว เพราะกลัวจะจดไม่ทัน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าในขณะที่เรากำลังก้มหน้าจดอยู่นั้น เราได้ฟังอาจารย์อธิบายหรือเปล่า เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอนหรือไม่ ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกนะว่าการจดเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เพียงแค่อย่าลืมว่าเราจะต้องมีสมาธิในการฟังและคิดวิเคราะห์ตามที่อาจารย์กำลังสอนตามไปด้วย เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาของบทเรียนมากขึ้น และจะได้รู้ว่าตรงไหนที่อาจารย์เน้น หรือจะออกสอบ เพราะถ้าเราไม่ตั้งใจฟังอาจจะพลาดในสิ่งที่สำคัญไปได้

 

5. ฝึกจับประเด็นให้เป็น

การจับประเด็นไม่ใช่แค่การย่อความหรือสรุปความ แต่เป็นการคิดวิเคราะห์ให้เกิดความแตกฉานว่าอะไรคือหัวใจหลักในการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ หรือหัวใจหลักที่อาจารย์ต้องการจะสอน ดังนั้นเวลาที่อ่านหนังสือจบบทแล้วก็อย่าลืมตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า เรื่องที่ได้อ่านไปนั้นมีประเด็นสำคัญอยู่ตรงไหน หรือต้องการสื่อถึงเรื่องอะไรเป็นพิเศษ

exercise your brain
บทความจากพันธมิตร
LPR โพรไบโอติก เกรด A กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ลูกรักแข็งแรงพร้อมเรียนรู้
LPR โพรไบโอติก เกรด A กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ลูกรักแข็งแรงพร้อมเรียนรู้
แม่รู้ไหม? พัฒนาการสมอง ของลูกเกิดขึ้นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เสริมด้วย สารอาหารสมอง และการนอนอย่างมีคุณภาพ
แม่รู้ไหม? พัฒนาการสมอง ของลูกเกิดขึ้นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เสริมด้วย สารอาหารสมอง และการนอนอย่างมีคุณภาพ
มารู้จักกับ Phenomenon-Based Learning กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการศึกษานอกห้องเรียนมากกว่าการท่องจำ
มารู้จักกับ Phenomenon-Based Learning กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการศึกษานอกห้องเรียนมากกว่าการท่องจำ
น้องนดลต์ และน้องนภนต์ ฝาแฝดที่สูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง กับโอกาสสำคัญที่พลิกชีวิตสมาชิกทั้งครอบครัว
น้องนดลต์ และน้องนภนต์ ฝาแฝดที่สูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง กับโอกาสสำคัญที่พลิกชีวิตสมาชิกทั้งครอบครัว

exercise your brain 3

 

เวลาที่เหมาะสมในการอ่านหนังสือ

แล้วจะอ่านหนังสือตอนไหนถึงจะมีสมาธิและเข้าใจมากที่สุด แน่นอนว่าช่วงเวลาในการอ่านหนังสือ เป็นอีกปัจจัยที่มีผลค่อนข้างมากต่อการอ่านหนังสือ ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการอ่านหนังสือคือ 

1. ตอนกลางคืน

เวลาอ่านหนังสือในตอนกลางคืน คือ 20.00 น. – 23.00 น. และเวลาที่เราควรจะเข้านอนก็คือ 23.00 น. ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบจะช่วยทำให้เรามีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการความเงียบสงบ เวลาในตอนกลางคืนจึงเหมาะสมที่สุดในการอ่านหนังสือ

โดยให้เริ่มอ่านหนังสือจากวิชาที่เราถนัดเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดในการอ่านวิชาต่อไป นอกจากนี้เรายังสามารถที่จะใช้เสียงดนตรีเข้ามาช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายเวลาอ่านหนังสือได้อีกด้วย และที่สำคัญอย่าลืม!! ปิดโทรศัพท์มือถือกันด้วยนะ (กันการรบกวนและทำให้เสียสมาธิในการอ่าน)

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 5 สถานที่เสริมพัฒนาการเด็ก พัฒนาสมองผ่านการเล่นกิจกรรม

 

2. ตอนเช้า

เวลาในการอ่านหนังสือในตอนเช้า คือ 03.00 น.- 06.00 น. ส่วนเวลานอนที่ดีก็คือ เวลา 20.00 น. การอ่านหนังสือในเวลานี้จะทำให้สมองของเรามีประสิทธิภาพในการอ่านมากขึ้น เพราะได้รับการพักผ่อนก่อนอ่านหนังสือมาแล้ว เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการกระตุ้นความจำจากการอ่านหนังสือในตอนเช้า

โดยให้เราตั้งนาฬิกาปลุกแบ่งออกเป็นช่วง ๆ เพื่อกันไม่ให้เผลอหลับระหว่างการอ่านหนังสือ หรือถ้ารู้สึกง่วงก็ให้ยืดเส้นยืดสาย เพื่อเป็นการกระตุ้นร่างกายให้รู้สึกตื่น หรือจะลุกไปล้างหน้า ก็จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นได้เหมือนกัน

 

ที่มา : (1)

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ :

แจกเคล็ดลับการเรียนออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณลูกไม่ปวดตา

เทคนิค ทำอย่างไรให้ลูกรักการอ่านหนังสือ

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

sippanutpick

  • หน้าแรก
  • /
  • พัฒนาการลูก
  • /
  • เรียนยังไงให้เกรดพุ่ง แนะนำ 13 วิธีบริหารสมอง ให้มีความจำดี ไม่ยากต้องลองทำ
แชร์ :
  • คนท้องเล่นเกมได้ไหม แม่ติดเกม เล่นแบบไหนให้ปลอดภัยตอนท้อง

    คนท้องเล่นเกมได้ไหม แม่ติดเกม เล่นแบบไหนให้ปลอดภัยตอนท้อง

  • LPR โพรไบโอติก เกรด A กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ลูกรักแข็งแรงพร้อมเรียนรู้
    บทความจากพันธมิตร

    LPR โพรไบโอติก เกรด A กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ลูกรักแข็งแรงพร้อมเรียนรู้

  • แนะนำ หนังสือการ์ตูนความรู้ สำหรับเด็ก ให้ความสนุก และความรู้มากมาย!

    แนะนำ หนังสือการ์ตูนความรู้ สำหรับเด็ก ให้ความสนุก และความรู้มากมาย!

  • คนท้องเล่นเกมได้ไหม แม่ติดเกม เล่นแบบไหนให้ปลอดภัยตอนท้อง

    คนท้องเล่นเกมได้ไหม แม่ติดเกม เล่นแบบไหนให้ปลอดภัยตอนท้อง

  • LPR โพรไบโอติก เกรด A กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ลูกรักแข็งแรงพร้อมเรียนรู้
    บทความจากพันธมิตร

    LPR โพรไบโอติก เกรด A กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ลูกรักแข็งแรงพร้อมเรียนรู้

  • แนะนำ หนังสือการ์ตูนความรู้ สำหรับเด็ก ให้ความสนุก และความรู้มากมาย!

    แนะนำ หนังสือการ์ตูนความรู้ สำหรับเด็ก ให้ความสนุก และความรู้มากมาย!

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • ก่อนตั้งครรภ์
    • การคลอด
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • การคลอด
  • พัฒนาการลูก
    • ทารก
    • เด็กก่อนเข้าเรียน
    • ช่วงวัยของเด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • การวางแผนการเงิน
    • การเลี้ยงลูก
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • นมแม่และนมผง
  • โภชนาการ
    • สินค้าเด็ก
    • นมผง
    • เมนูอาหาร
    • สินค้าแม่
  • เพิ่มเติม
    • TAP สังคมออนไลน์
    • ติดต่อโฆษณา
    • ติดต่อเรา
    • Influencer Marketing (KOL)
    • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Sri-Lanka flag Sri Lanka
  • India flag India
  • Vietnam flag Vietnam
  • Australia flag Australia
  • Japan flag Japan
  • Nigeria flag Nigeria
  • Kenya flag Kenya
© Copyright theAsianparent 2023. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

theAsianparent heart icon
เราต้องการส่งแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจไปให้กับคุณ