X
TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

ยาหยอดตาเด็ก ใช้ได้ตั้งแต่อายุเท่าไร? ควรดูแลดวงตาลูกน้อยอย่างไร?

บทความ 5 นาที
ยาหยอดตาเด็ก ใช้ได้ตั้งแต่อายุเท่าไร? ควรดูแลดวงตาลูกน้อยอย่างไร?

ทารกน้อยได้รับการหยอดตาจากแพทย์ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากช่องคลอดของมารดา อีกทั้งยังเป็นการเปิดดวงตาเพื่อให้รับแสงและรับรู้ต่อสภาพแวดล้อมภายนอก เพื่อมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อร่างกายของตนเองในการเคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆ เช่น มือ เท้า เป็นต้น

ยาหยอดตาเด็ก ถูกใช้กับทารกตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งเป็นหนึ่งในการดูแลที่แพทย์จะทำทันทีเมื่อทารกออกมาจากช่องคลอดของมารดา เพราะขณะที่ทารกกำลังถูกดึงออกจากช่องคลอดอาจมีการติดเชื้อเข้าสู่ตาและมีการอักเสบได้ ถ้าติดเชื้อต้องทำการรักษาทันทีมิฉะนั้น ดวงตาทารกอาจบอดได้

 

 

ยาหยอดตาเด็ก

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง: การมองเห็นของทารก ทารกเริ่มมองเห็นตอนไหน จะกระตุ้นพัฒนาการมองเห็นได้อย่างไร

 

ยาหยอดตาเด็ก มีความสำคัญอย่างไร ใช้ได้ตั้งแต่อายุเท่าไร

ขณะที่คุณหมอค่อยๆ เอาร่างทารกน้อยจากร่างคุณแม่ ไม่ว่าจะผ่านทางช่องคลอดหรือผ่าครรภ์ คุณหมอจะทำการหยอดตาทารกน้อยทันที ซึ่งจะทำการหยด AgNOj 1% ข้างละ 1 หยดที่เยื่อบุตา แล้วใช้สำลีซับเอานํ้ายาที่เกินออก ทิ้งไว้ 15 วินาที จึงล้างออกด้วย NSS เพื่อลดการการติดเชื้อ โรงพยาบาลบางแห่งอาจป้ายตาด้วยยาด้านจุลชีพแทน เช่น Erythromycin Eye Ointment 0.5 %, Tetracycline Eye Ointment 1% หรือ Terramycin Eye Ointment (ยาป้ายตา) เพื่อประโยชน์ต่างๆ ดังนี้

Advertisement

 

1. เชื่อมโยงดวงตาทารกกับโลกภายนอก

ดวงตาของทารกจะถูกปกป้องในถุงน้ำคร่ำมาตลอด เมื่อออกมาลืมตาดูโลกจึงต้องการการป้องกันการติดเชื้อและเชื่อมโยงกับโลกภายนอก เสมือนเป็นการต้อนรับทารกน้อยสู่โลกใบใหม่ อีกทั้งยังกระตุ้นความสามารถในการมองเห็นให้ดีที่สุด

 

2. เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านร่างกาย

การหยอดตาคือการเปิดดวงตาเพื่อการประสานอวัยวะต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น เมื่อตาเริ่มรับแสง จะช่วยกระตุ้นมือ เท้าให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกัน ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากจะเอามือเอื้อมไปจับ อยากจะขยับเท้าไปโดนสิ่งที่ดวงตาเห็นซึ่งเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ

 

3. เชื่อมโยงไปสู่สมอง

จากข้อ 1-2 เชื่อมโยงมาสู่ขอ 3  นั่นคือการรับรู้ในสิ่งที่ตาเห็น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการพัฒนาการทางสมองของทารกน้อยและไปสู่พัฒนาการทางด้านร่างกาย เช่น การคว่ำ การคลาน การนั่น การยืนและค่อยๆ ก้าวเท้าเดิน ซึ่งการมีดวงตาที่ดี จะช่วยให้เด็กมีแรงกระตุ้นจากสมองอยากจะเคลื่อนไหวตามพัฒนาการของช่วงวัย

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง: 4 เรื่องร้าย สาเหตุสายตาเสียของคุณและลูกน้อย

 

ยาหยอดตาเด็ก

การดูแลดวงตาลูกเบื้องต้น

นอกจากการหยอดตาแรกเกิดแล้ว การดูแลดวงตาของลูกอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่าโภชนาการ เช่น อาการตาแฉะ มักพบบ่อยมากในทารกอายุ 2-3 สัปดาห์ หรือยังไม่ถึง 1 เดือน สาเหตุเนื่องมาจากท่อน้ำตาของลูกน้อยยังเปิดไม่เต็มที่นั่นเอง ดังนั้น เรามีวิธีดูแลดวงตาของลูกอย่างง่ายๆ คือ

 

1. คุณแม่สามารถหยอดตาทารกได้

หากคุณแม่พาลูกน้อยไปพบคุณหมอ แน่นอนว่าในเบื้องต้นคุณหมอจะทำการหยอดตาให้ ซึ่งเป็นยาหยอดแก้อักเสบ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ จนไหลออกมาเป็นขี้ตาแฉะ ซึ่งถ้าไม่มีขี้ตามาก ก็สามารถหยอดได้วันละครั้งก่อนนอน แต่หากลุกมีขี้ตาเยอะมาก ตาแฉะจนเกินไป คุณหมอจะแนะนำให้หยอดวันละ 4 เวลา ซึ่งยานี้ไม่มีผลข้างเคียงและก่ออันตรายต่อทารกแต่อย่างใดค่ะ

 

2. หมั่นทำความสะอาดดวงตาของลูกน้อย

การทำความสะอาดดวงตาไม่ใช่ทำการล้างตาลูกนะคะ แต่หมายถึงการทำความสะอาดรอบดวงตา โดยใช้สำลีเช็ดน้ำสะอาด บีบพอหมาดๆ แล้วค่อยๆ เช็ดรอบดวงตา เอาขี้ตาและฝุ่นละอองออกไปบริเวณนั้น เพื่อป้องกันการกลับเข้าไปสู่ดวงตาลูกน้อยอีกค่ะ

 

3. นวดหัวตาให้ลูกน้อย

คุณแม่บางท่านอาจกังวลว่า สามารถนวดดวงตาลูกได้หรือ? ตรงนี้สามารถทำได้ค่ะ เพราะจะช่วยกระตุ้นให้ท่อน้ำตาเปิดเร็วขึ้นโดยใช้นิ้วกดบริเวณหัวตาเบาๆ แล้วค่อยๆ คลึงรูดลงมาตามจมูกเบาๆ ทำประมาณ 10-20 ครั้งอย่างเบามือก่อนอาบน้ำก็ได้ค่ะ และทำครั้งสุดท้ายตอนก่อนนอนจากนั้นใช้ยาหยอดตาที่คุณหมอจ่ายมาหยอดให้เขา

 

 

มารู้จักโรคเยื่อตาอักเสบในทารก

นอกจากอาการท่อน้ำตายังไม่เปิดหรือโรคตาแฉะ ยังมีโรคเยื่อตาอักเสบในทารก ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงอายุ 1 เดือน หากร้ายแรงอาจเสี่ยงทำให้ตาบอดได้ ทารกที่ติดเชื้อจะมีลักษณะหนังตาตก บวม เยื่อบุตาแดงบวม มีขี้ตาหลืองลักษณะคล้ายหนอง ซึ่งมีสาเหตุมาจาก

บทความจากพันธมิตร
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
เคล็ดลับดูแลครรภ์ และ สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
เคล็ดลับดูแลครรภ์ และ สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
โรคภูมิแพ้ในเด็ก ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิด ด้วยนมแม่ที่มีคุณสมบัติเป็น H.A. (Hypoallergenic)
โรคภูมิแพ้ในเด็ก ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิด ด้วยนมแม่ที่มีคุณสมบัติเป็น H.A. (Hypoallergenic)
พ่อแม่ต้องรู้! วิธีป้องกัน RSV ในเด็ก ช่วยลูกไม่ป่วยหนัก
พ่อแม่ต้องรู้! วิธีป้องกัน RSV ในเด็ก ช่วยลูกไม่ป่วยหนัก
  • ติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
  • ติดเชื้อหนองในเทียมระหว่างคลอดจนเกิดหนองในเทียมที่ลูกตา
  • ติดเชื้อหนองในจากช่องคลอดมารดาที่เป็นโรคทางเพศสัมพันธ์จนทำให้ตาบอด

 

 

คุณแม่สามารถป้องกันโรคตาของลูกน้อยก่อนและหลังตั้งครรภ์ได้อย่างไร

การใช้ยาหยอดตาเด็กเพื่อป้องกันโรคเยื่อตาอักเสบ ตั้งแต่แรกเกิดต้องทำด้วยความเชี่ยวชาญและระมัดระวังเป็นอย่างสูงถ้าหากพบว่ามีผลข้างเคียง เช่น หนังตาบวม เยื่อบุตาบวมแดงร้อน จะต้องรับการรักษาทันทีแม้จะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตาเด็กทารกก็ตาม  ทั้งนี้การติดเชื้อต่างๆ ของทารกนั้นผ่านทางมารดา ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถป้องกันได้โดย

  • ผู้หญิงเราต้องรู้จักป้องกันโรคต่างๆ จากการมีเพศสัมพันธ์ ฉะนั้น หากยังไม่พร้อมมีบุตร ควรเช็คร่างกายของตนเองและคนรัก อย่าลืมสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในขณะตั้งครรภ์เลยค่ะ เพราะจะทำให้ทารกมีความพิการทางตา เช่น ตาห่าง ตาเหล่ สายตาสั้น หนังตาตกผิดปกติ
  • หมั่นตรวจสุขภาพและโรคทางเพศสัมพันธ์เสมอ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องที่ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายควรป้องกัน
  • แน่ใจว่าทารกได้รับการหยอดตาทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคเยื่อตาอักเสบ โดยเชื้อโรคนั้นก็อยู่ตามช่องคลอดของมารดา นั่นคือสาเหตุว่าทำไมคุณแม่ต้องรักษาสุขภาพให้ดี
  • ก่อนตั้งครรภ์และก่อนคลอด หากคุณแม่พบว่าตนเองมีโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ควรปรึกษาคุณหมอถึงการวางแผนมีบุตรและการคลอด
  • ห้ามรับประทานยาที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญของดวงตาทารก ยิ่งช่วงไตรมาสแรกการรับประทานทุกชนิดค่อนข้างอันตราย หากต้องใช้จริงๆ ควรปรึกษาแพทย์
  • หากพบกว่าลูกน้อยมีการติดเชื้อที่ดวงตา แม้จะทำการหยอดตาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบพาลูกน้อยมาพบแพทย์ทันที พร้อมกับตรวจสุขภาพของทั้งคู่ด้วย

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง: ลูกเล่นโทรศัพท์จนตาอักเสบหวิดตาบอด เคยได้ยินมาไม่อยากเชื่อ จนลูกเป็น!

 

สิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะจะส่งผลเสียตาดวงตาลูก

1. การถ่ายรูปทารกโดยใช้แฟลช

การถ่ายรูปลูกน้อยลงโซเชียลฯ หรือพาเขาไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึกตอนแรกเกิดมักจะเป็นที่นิยมในสมัยนี้มาก ซึ่งคุณแม่ต้องระวังการถ่ายภาพโดยเปิดแฟลช หากถ่ายภาพในระยะใกล้และกระทบแสงแฟลชบ่อยๆ จะทำให้ทารกเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจก หากโดนกระทบเพียงสั้นๆ มีผลเสียน้อยก็จริง แต่เพื่อความปลอดภัย หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพโดยใช้แฟลชจะดีกว่า

 

2. อย่าเอาน้ำนมแม่หยอดตาทารก

ในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า น้ำนมแม่นั้นมีความบริสุทธิ์ สามารถชะล้างสิ่งสกปรกและรักษาโรคตาฟางของทารกน้อยได้ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้คือความเชื่อที่ผิดมหันต์ เพราะน้ำนมแม่คืออาหารชั้นดีของเชื้อโรค ถ้าออกมาโดนอากาศแล้วปะปนเชื้อไปโดนดวงตาลูก จะเกิดการติดเชื้อได้ง่าย บางคนเห็นลูกเป็นตาแดงจึงเอาน้ำนมแม่หยอดตาเด็ก ซึ่งจะยิ่งเพิ่มการอักเสบรุนแรงมากขึ้น เสี่ยงต่อการทำลานกระจกตาและบอดในที่สุดค่ะ

 

 

ยาหยอดตาเด็ก

สัญญาของโรคทางดวงตาที่ต้องรีบมาพบแพทย์อีกครั้ง

ดังนั้นทางการแพทย์ จึงทำการป้องกันโรคที่เกิดจากการติดเชื้อต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในทารก โดยการใช้ยาหยอดตาทันทีเมื่อพวกเขาคลอดออกมาทุกราย เนื่องจากไม่อาจทราบได้ว่า คุณแม่มีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาอย่างดีหรือไม่ หรือคุณแม่ตั้งครรภ์มรโรคประจำตัว ช่องคลอดมีการติดเชื้อมากกน้อยแค่ไหน วิธีการหยอดตาทารกแรกเกิดจึงเป้นวิธีที่ดีที่สุด ทั้งสะอาด ปลอดภัย ทำได้ทันที ลดการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้หากเขามีการติดเชื้อทางดวงตาหลังกลับจาโรงพยาบาลไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตุอาการลูกดังนี้ เพื่อมาทำการรักษาอีกครั้ง

  • ทารกมีน้ำตาเอ่อ คลอบริเวณดวงตาตลอด
  • มีขี้ตาสะสมมาก แม้จะเช็ดแล้วก็จะเกิดขึ้นมาอีก
  • มีอาการตาแดง เนื่องจากการติดเชื้อจนอักเสบ
  • สังเกตดูว่าบริเวณแก้วตาหรือเลนส์ตามีฝ้าขาว
  • หนังตาบวม ลุกตาดูผิดรูป ผิดปกติกว่าเคย
  • รูม่านตาไม่เท่ากัน รวมทัี้งสีของม่านตาเปลี่ยนไป
  • หนังตาตก มีลักษณะตาเข จนลูกชอบเอียงคอไปด้านใดด้านหนึ่ง
  • ทารกอาจมีความพิการของใบหน้า ตัวเล็กจนมีความเจริญเติบโตช้าหรือมีพัฒนาการผิดปกติ

 

 

แม้ทารกน้อยจะลืมตาเมื่อเขาออกจากน้ำคร่ำ แต่จริงๆ แล้วดวงตาเริ่มมีพัฒนาการตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ประมาณ 4 – 5 สัปดาห์ นั่นหมายความว่า คุณแม่ท้องแค่ 1 เดือนแต่ดวงตาของเขาเริ่มสร้างเนื้อเยื่อสำคัญ ยิ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ไปถึง 7  เดือนนั่นคือ ทารกสามารภลืมตาและตอบสนองต่อแสงสว่างได้ ทั้งนี้ตั้งแต่แรกเกิดไปถึงอายุ 6 – 7 ปี คุณแม่ต้องให้ความสำคัญต่อดวงตาลูก หมั่นดูแลสุขภาพตาและการมองเห็น หากสังเกตว่ามีการติดเชื้อใดๆ ควรรีบพาลูกไปพบจักษุแพทย์ทันที รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การใช้โทรศัพท์ ดูทีวี ที่ส่งผลเสียต่อดวงตาของลูกด้วยค่ะ

 

 

บทความที่น่าสนใจ

6 ความเชื่อที่โบราณว่าไว้เกี่ยวกับทารกแรกเกิด

โกจิเบอร์รี่ช่วยบำรุงสายตาและช่วยชะลอความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม

6 อาหารบำรุงสายตา ให้ลูกกินอะไรบำรุงสายตาดี อาหารอะไรที่ทำให้ลูกสายตาดี

 

ที่มา: rakluke ,  2

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

Chatchadaporn Chuichan

  • หน้าแรก
  • /
  • เจ็บป่วย
  • /
  • ยาหยอดตาเด็ก ใช้ได้ตั้งแต่อายุเท่าไร? ควรดูแลดวงตาลูกน้อยอย่างไร?
แชร์ :
  • ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูกที่แม่ต้องรู้!

    ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูกที่แม่ต้องรู้!

  • อย่ามองข้าม! อึติดปลายจู๋ ลูกชายเสี่ยงติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ ไตวายไม่รู้ตัว

    อย่ามองข้าม! อึติดปลายจู๋ ลูกชายเสี่ยงติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ ไตวายไม่รู้ตัว

  • ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้ เช็ก 10 สัญญาณเตือน โรคมะเร็งปอดในผู้หญิง

    ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้ เช็ก 10 สัญญาณเตือน โรคมะเร็งปอดในผู้หญิง

  • ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูกที่แม่ต้องรู้!

    ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูกที่แม่ต้องรู้!

  • อย่ามองข้าม! อึติดปลายจู๋ ลูกชายเสี่ยงติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ ไตวายไม่รู้ตัว

    อย่ามองข้าม! อึติดปลายจู๋ ลูกชายเสี่ยงติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ ไตวายไม่รู้ตัว

  • ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้ เช็ก 10 สัญญาณเตือน โรคมะเร็งปอดในผู้หญิง

    ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้ เช็ก 10 สัญญาณเตือน โรคมะเร็งปอดในผู้หญิง

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว