แพทย์เตือน ฝีดาษลิง Clade 1 หวั่นระบาดไทย เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงข่าวว่า “พบชาวยุโรปป่วยฝีดาษลิง (Mpox) สงสัยเข้าข่ายเป็นสายพันธุ์ “Clade 1” (เคลด 1) รายแรกของไทย โดยคาดว่าวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคมนี้ จะยืนยันได้ 100% ว่าเป็นสายพันธุ์ใดกันแน่ ” โดยผู้ป่วยรายนี้เดินทางมาจากประเทศในแถบแอฟริกา ได้มีการแพร่ระบาดของ ฝีดาษลิงสายพันธุ์ Clade 1 b โดยเฉพาะ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มีคนติดเชื้อประมาณ 18,000 คน เสียชีวิตไปแล้วกว่า 500 ศพ
โดยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่าน องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ โรคฝีดาษลิง เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศอีกครั้งในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2565 จากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมีการแพร่กระจายของสายพันธุ์ Clade 1b อย่างรวดเร็วในประเทศแถบแอฟริกา โดยเฉพาะในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และสายพันธุ์ Clade 1b มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 10 % ซึ่งสูงกว่าสายพันธุ์ Clade 2b สายพันธ์ุก่อนหน้า
ฝีดาษลิง Clade 1 อันตรายแค่ไหน?
ฝีดาษลิงสายพันธุ์ Clade 1 ถือเป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์ Clade 2 ที่เคยพบการระบาดมาก่อนหน้านี้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Clade 1 จะมีอาการรุนแรงกว่า เช่น ไข้สูง ผื่นจำนวนมาก และอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในได้
เหตุผลที่ทำให้ Clade 1 น่ากังวล:
- อัตราการเสียชีวิตสูงกว่า: สายพันธุ์ Clade 1 มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- การแพร่ระบาด: แม้ว่า Clade 1 จะมีอัตราการเสียชีวิตสูง แต่ก็อาจไม่แพร่ระบาดรวดเร็วเท่า Clade 2 เนื่องจากผู้ป่วยมักเจ็บป่วยหนักจนเสียชีวิตก่อนที่จะมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นมากนัก
- ความรุนแรงของอาการ: ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ Clade 1 มักมีอาการรุนแรงกว่า เช่น ไข้สูง ผื่นจำนวนมาก และอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในได้
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม:
- การติดต่อ: ฝีดาษลิงติดต่อผ่านทางของเหลวจากตุ่ม ผ่านทางสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ หรือผ่านทางบาดแผล
- อาการ: อาการเริ่มต้นคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต และต่อมาจะเริ่มมีผื่นขึ้น
- การป้องกัน: วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย การรักษาความสะอาด และการฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษ (ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันฝีดาษลิงได้ประมาณ 85%)
- การรักษา: การรักษาโรคฝีดาษลิงมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน
อาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงสายพันธุ์ Clade 1
ฝีดาษลิงสายพันธุ์ Clade 1 เป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ และมักมีอาการที่รุนแรงกว่าด้วย โดยทั่วไปแล้ว อาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงจะเริ่มต้นคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ แต่จะพัฒนาไปสู่การมีผื่นขึ้นตามร่างกาย
อาการทั่วไปที่พบได้ในผู้ป่วยฝีดาษลิงสายพันธุ์ Clade 1 ได้แก่
- ไข้สูง: อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: รู้สึกเมื่อยล้า อ่อนเพลีย
- ต่อมน้ำเหลืองโต: โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ คอ หรือขาหนีบ
- ผื่น: เริ่มจากใบหน้าแล้วลามไปทั่วร่างกาย ผื่นจะมีหลายระยะ เริ่มจากตุ่มเล็ก ๆ สีแดง ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง และสุดท้ายตกสะเก็ด
- อาการอื่น ๆ : อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ หายใจลำบาก ท้องเสีย หรืออาเจียน
สิ่งที่ควรสังเกต:
- ระยะเวลา: อาการของโรคฝีดาษลิงมักจะหายไปเองภายใน 2-4 สัปดาห์
- ความรุนแรง: ความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ สุขภาพ และสายพันธุ์ของไวรัส
- ภาวะแทรกซ้อน: ในบางราย อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ
ฝีดาษลิงสายพันธุ์ Clade 1 ป้องกันได้อย่างไร ?
ฝีดาษลิงสายพันธุ์ Clade 1 เป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ การป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้
มาตรการป้องกันทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด: หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยฝีดาษลิง หรือสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ
- รักษาความสะอาด: ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังสัมผัสสิ่งของหรือพื้นผิวที่อาจปนเปื้อนเชื้อ
- สวมหน้ากาก: สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือเมื่อต้องสัมผัสกับผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง: หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับของเหลวจากตุ่ม ผื่น หรือสารคัดหลั่งอื่น ๆ ของผู้ป่วย
- ปรุงอาหารให้สุก: สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน
- หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: เช่น ผ้าขนหนู ผ้าปูที่นอน หรือเครื่องใช้ส่วนตัวอื่น ๆ
การป้องกันสำหรับกลุ่มเสี่ยง
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับหลายคน: ควรลดจำนวนคู่นอน และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- บุคลากรทางการแพทย์: ควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อขณะปฏิบัติงานกับผู้ป่วย
การฉีดวัคซีน
- วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ: แม้ว่าวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษจะไม่ได้ผลิตขึ้นมาเพื่อป้องกันฝีดาษลิงโดยเฉพาะ แต่ก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันฝีดาษลิงได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากทั้งสองโรคเกิดจากไวรัสในตระกูลเดียวกัน
- วัคซีนป้องกันฝีดาษลิง: ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงโดยเฉพาะ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในวงกว้าง
หากสงสัยว่าติดเชื้อฝีดาษลิง เช่น มีไข้ ผื่น หรือมีตุ่มหนอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
ขอขอบคุณที่มา : thairath.co.th, bbc.com
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ปลูกฝี ป้องกันฝีดาษลิงได้จริงไหม คนรุ่นใหม่ไม่เคยปลูกฝีควรทำอย่างไร ?
ฝีดาษลิง เสี่ยงเสียชีวิตสูงในกลุ่มเด็กเล็ก ป้องกันได้อย่างไร ?
โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ โรคระบาดร้ายแรงในอดีตเกิดจากอะไร รุนแรงแค่ไหน?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!