“ลูกต้องเลี้ยงพ่อแม่” เป็นคำพูดที่หลายคนในสังคมไทยคุ้นหู และบางครั้งอาจถูกใช้เป็นเครื่องตัดสินคุณค่าของลูกคนหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงความเต็มใจหรือเงื่อนไขในชีวิตของเขาเลย ความเชื่อที่ว่า ความกตัญญู หมายถึง การเลี้ยงดูพ่อแม่ในบั้นปลายชีวิต เป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก แต่ในวันที่โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และภาระทางเศรษฐกิจเปลี่ยน คำถามใหญ่คือ ลูกควรรับผิดชอบต่อพ่อแม่มากแค่ไหนจึงจะถือว่า “พอดี”?
ความกตัญญู: จากคุณธรรมสู่วาทกรรมกดดัน
ในวัฒนธรรมไทย “ความกตัญญู” เป็นหนึ่งในคุณธรรมสูงสุด เด็กถูกสอนให้รู้จัก “ตอบแทนบุญคุณ” ผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ให้ชีวิตและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ซึ่งในอดีตนั้น ความเชื่อนี้มีบริบทที่เข้าใจได้ พ่อแม่ในยุคก่อนทำงานหนัก ไม่มีระบบประกันสังคมหรือเงินเกษียณ ลูกจึงเป็นความหวังในยามชรา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาระของลูกกลับเพิ่มขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจถดถอย รายได้ไม่มั่นคง และราคาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้เด็กยุคใหม่บางคนเริ่มตั้งคำถามว่า “เราต้องเลี้ยงดูพ่อแม่เสมอไปหรือ?” “ถ้าเรายังดูแลตัวเองไม่ได้ เราจะยังเป็นคนอกตัญญูหรือไม่?”
ความรับผิดชอบ vs ความกตัญญู: สิ่งเดียวกันหรือไม่?
ความกตัญญูเป็นเรื่องของความรู้สึก การตอบแทนด้วยใจ ไม่ใช่ข้อผูกมัดทางกฎหมาย แต่หลายครอบครัวกลับมองความกตัญญูว่าเป็น “หน้าที่โดยกำเนิด” และเปลี่ยนให้กลายเป็นภาระผูกพันของลูก
แต่หากมองในเชิงจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ ความรับผิดชอบที่ดีต้องเกิดจากความเต็มใจ ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความรู้สึกผิด หรือแรงกดดันจากสังคม หากลูกดูแลพ่อแม่เพราะความรัก นั่นคือกตัญญูที่แท้จริง แต่หากดูแลเพราะกลัวคำครหาว่า “อกตัญญู” ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเริ่มบิดเบี้ยว

แล้วลูกควรเลี้ยงพ่อแม่แค่ไหน?
ไม่มีคำตอบตายตัวสำหรับคำถามนี้ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ฐานะทางการเงินของลูก: ลูกที่มีรายได้เพียงพออาจสามารถช่วยเหลือพ่อแม่ได้ทั้งด้านการเงินและเวลา แต่ลูกที่ยังตกงานหรือมีภาระหนี้สินก็ควรมีสิทธิ์ใช้ชีวิตของตนโดยไม่ต้องรู้สึกผิด
- สุขภาพของพ่อแม่: หากพ่อแม่ป่วยหรืออยู่ในภาวะต้องพึ่งพิง ความรับผิดชอบของลูกย่อมเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์
- ความสัมพันธ์ในอดีต: ความกตัญญูไม่ได้หมายความว่าต้องลืมความเจ็บปวดในอดีต พ่อแม่ที่เคยทอดทิ้งหรือทำร้ายลูก อาจไม่ได้รับความรักตอบแทนโดยอัตโนมัติ
สิ่งสำคัญคือ ลูกควรให้ “เท่าที่ไหว” โดยไม่ทำลายตัวเอง ขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็ควรเข้าใจว่า ลูกคือมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ “แหล่งเงินสำรอง” หรือ “หลักประกันชีวิต”
พ่อแม่บางคนไม่ได้ต้องการเงิน
พ่อแม่บางคนเชื่อว่า “ลูกดีคือลูกที่ให้เงิน” จนทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวกลายเป็นเรื่องของ “การแลกเปลี่ยน” มากกว่าความรัก สิ่งเหล่านี้สร้างความอึดอัดให้กับคนรุ่นใหม่ จนหลายคนรู้สึกผิดแม้จะช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ แต่ในทางกลับกัน บางครั้ง ความกตัญญูที่พ่อแม่ต้องการที่สุด อาจไม่ใช่เงินทอง แต่คือ ความใส่ใจ การถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ การอยู่ข้าง ๆ ในวันที่พ่อแม่รู้สึกอ่อนแอ
เสียงจากคนรุ่นใหม่: ความกตัญญูต้องมาจากใจ ไม่ใช่แรงบังคับ
เมื่อถามคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับความกตัญญู หลายคนยังยืนยันว่า “เรารักพ่อแม่ อยากดูแล อยากตอบแทน” แต่สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นจากสังคมคือ ความเข้าใจว่าแต่ละคนมีขีดจำกัดต่างกัน
“ฉันอยากดูแลแม่ แต่เงินเดือนฉัน 15,000 บาท ต้องผ่อนหนี้ ส่งน้องเรียน ฉันแค่โทรหาทุกวัน ยังไม่พอเหรอ?”
“พ่อแม่หวังจะให้เราส่งเงินทุกเดือน แต่เราเพิ่งเรียนจบ ยังไม่มั่นคงเลย แล้วแบบนี้เราเรียกว่าอกตัญญูเหรอ?”
“ฉันรักแม่ แต่แม่ก็ต้องเข้าใจว่า ชีวิตฉันก็ต้องสร้างตัวเหมือนกัน”
เสียงเหล่านี้สะท้อนว่าความกตัญญูยังคงอยู่ในใจของลูกจำนวนมาก แต่พวกเขาต้องการ “พื้นที่ในการเป็นลูก” โดยไม่รู้สึกว่าถูกคาดหวังเกินไป

เมื่อพ่อแม่วางแผนชีวิต…โดยไม่หวังพึ่งลูก
หนึ่งในทางออกที่สร้างสุขภาพจิตที่ดีให้ทั้งพ่อแม่และลูก คือ การที่พ่อแม่เริ่มวางแผนชีวิตวัยเกษียณของตนเอง ไม่ใช้ชีวิตโดยหวังว่าลูกจะเป็นหลักเดียวของอนาคต การมีเงินออม มีประกันสุขภาพ และดูแลตัวเองตั้งแต่ยังไม่แก่ คือการแสดงความรักต่อลูกอย่างแท้จริง เพราะช่วยลดภาระและความรู้สึกผิดของลูกเมื่อโตขึ้น และยังเปิดพื้นที่ให้ความกตัญญูเกิดขึ้นจากใจ ไม่ใช่จากความกลัว
ความกตัญญูควรตั้งอยู่บนความรัก ไม่ใช่ภาระ
ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คำว่า “ลูกดีต้องเลี้ยงพ่อแม่” อาจต้องตีความใหม่ เราควรเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยความรักและความเข้าใจ ไม่ใช่เพราะแรงกดดันหรือการเปรียบเทียบ ลูกควรได้มีสิทธิ์ตั้งตัว มีสิทธิ์ล้มเหลว และมีสิทธิ์ที่จะดูแลพ่อแม่ตามกำลังที่ตนมี โดยไม่รู้สึกผิด หากเขาไม่สามารถให้ได้มากเท่าที่สังคมคาดหวัง ขณะเดียวกัน พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยความรัก ความเข้าใจ ไม่กดดัน ไม่คาดหวังเพียงเรื่องเงิน ย่อมได้เห็นความกตัญญูที่แท้จริงกลับคืนมาอย่างเต็มใจ
เพราะความกตัญญู ไม่ควรเป็นภาระ…แต่ควรเป็นสะพานที่เชื่อม “ใจของพ่อแม่” กับ “หัวใจของลูก” ไว้ด้วยความเข้าใจและความรักอย่างแท้จริง
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
พอได้หรือยัง ตะคอกลูก ทำร้ายจิตใจ ทำลายสมองลูก
ชีวิตที่มีลูก เข้าแล้วออกไม่ได้ : บริหารเวลายังไง ให้ชีวิตแม่มีความสุข
YONO เทรนด์ใหม่! ปี 2025 ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสุขให้ครอบครัว
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!