ท้องนอกมดลูกคืออะไร อันตรายแค่ไหน รักษาอย่างไร?

สำหรับผู้หญิงหลายคนเวลาตั้งครรภ์แล้วมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ย่อมเกิดความกังวลใจเป็นเรื่องปกติ ยิ่งเกิด อาการท้องนอกมดลูก ด้วยแล้วยิ่งเครียดหนักเข้าไปใหญ่ ปกติแล้วเวลาที่เราซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์มาเพื่อทดสอบว่าเราท้องหรือเปล่า มันไม่มีอะไรบอกว่าคุณท้องแต่ท้องนอกมดลูกสักหน่อย อาการของคนท้องนอกมดลูกก็ไม่มีความแตกต่างจากอาการของคนท้องทั่วไป
ท้องนอกมดลูกคืออะไรอันตรายแค่ไหน ?
ท้องนอกมดลูกคืออะไร อันตรายแค่ไหน เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย สำหรับผู้หญิงท้องที่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ย่อมเกิดความกังวลใจ ยิ่งเกิดอาการท้องนอกมดลูกด้วยแล้วยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ อ่านสาเหตุและการรักษาท้องนอกมดลูกที่นี่
ท้องนอกมดลูก คืออะไร?
โดยปกติแล้วรังไข่จะผลิตไข่และปล่อยให้ไข่เดินทางผ่านท่อนำไข่ จากนั้นก็ปฏิสนธิกับอสุจิและเคลื่อนตัวมาที่มดลูก แต่กรณีของการท้องนอกมดลูกคือ ไข่ได้รับการปฏิสนธิแต่ไม่เคลื่อนลงมาฝังตัวที่มดลูกเลยค้างอยู่ที่บริเวณท่อนำไข่
ประมาณสัปดาห์ที่ 8 คุณจะเริ่มสังเกตอาการต่าง ๆ อย่างปวดท้องเฉียบพลัน มีเลือดออกที่อวัยวะเพศ เวียนศีรษะ ความดันต่ำ
การท้องนอกมดลูกเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและมีผลกระทบต่อจิตใจของว่าที่คุณแม่ เนื่องจากคุณต้องเอาเด็กออก การสูญเสียในครั้งนี้ต้องใช้เวลาฟื้นตัวทั้งทางร่างกายแต่จิตใจมากทีเดียว คุณอาจจะตั้งความหวังไว้ว่าคุณสามารถตั้งครรภ์ปกติในครั้งต่อไปก็ได้เพื่อให้คุณทำใจได้เร็วขึ้นและก้าวผ่านประสบการณ์นี้ไปอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด
การท้องนอกมดลูกพบได้ไม่บ่อยนัก แต่อันตรายมากเพราะไข่ยังคงติดอยู่ที่รังไข่หรืออวัยวะภายในช่องท้องส่วนล่าง หากตัวอ่อนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องอาจทำให้อวัยวะฉีกขาด ทำให้มีเลือดออกเป็นจำนวนมากและสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ที่มีอาการนี้ หากคุณมีอาการตั้งครรภ์ในช่วงแรกอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว คุณควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ท้องนอกมดลูกพบได้บ่อยขนาดไหน?
การท้องนอกมดลูกเกิดขึ้นไม่บ่อย อาจพบในผู้หญิงร้อยละ 1 การที่ท่อรังไข่อุดตันอาจเกิดจากการติดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการท้องนอกมดลูก
หากคุณกำลังวางแผนจะมีลูกแต่กำลังเป็นโรคติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ ทางออกที่ดีที่สุดคือ รักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วจึงค่อยพยายามมีลูก
วิธีการรักษาภาวะท้องนอกมดลูก
การท้องนอกมดลูกสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและอายุครรภ์ของแต่ละคน ดังนั้นหากคุณคิดว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์นอกมดลูกคุณควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที หากปล่อยรอไว้จนกระทั้งอวัยวะภายในมีการฉีกขาดอาจมีอันตรายถึงชีวิต แพทย์ต้องใช้การผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อรักษาอาการท้องนอกมดลูก
หากอายุครรภ์ที่ตรวจพบว่าท้องนอกมดลูกยังไม่มากและไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร แพทย์จะใช้วิธีการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อเอาตัวอ่อนออกและเย็บซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย อีกทางเลือกหนึ่งคือ แพทย์อาจให้ยาเพื่อยุติการตั้งครรภ์
หากแพทย์เลือกใช้ยา Methotrexate ในการรักษา คุณอาจมีเลือดออกประมาณ 2-3 อาทิตย์ไม่ต้องกังวลไปนะคะ
ช่วงที่พักรักษาตัวหลังการรักษาอาการท้องนอกมดลูก คุณควรพักสักระยะหนึ่งเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจหลังจากต้องเผชิญกับความผิดหวังและสูญเสียลูกในเวลาเดียวกัน เรื่องที่เกิดเป็นเรื่องธรรมชาติ คุณไม่ควรโทษตัวเองและทำร้ายจิตใจตัวเอง
คุณสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและกลุ่มต่าง ๆ ที่คอยให้กำลังใจและความช่วยเหลือแก่ผู้หญิงที่ต้องเสียลูก นอกจากนี้คุณควรทิ้งช่วงสักระยะหนึ่งก่อนจะเริ่มพยายามมีลูกอีกครั้ง โดยทั่วไปแล้วคุณหมอแนะนำว่าควรรอสัก 3-6 เดือน
ผู้หญิงที่ท้องนอกมดลูกมาก่อนก็สามารถมีลูกที่แข็งแรงได้ในอนาคตเหมือนคนอื่นทั่วไป แม้ว่าบางคนจะเหลือท่อนำไข่ข้างเดียวก็ตาม หากสาเหตุที่คุณท้องนอกมดลูกเกิดจากความเจ็บป่วยหรือการติดเชื้อแล้วแพทย์ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ค่ะ

คือการตั้งครรภ์ที่มีการฝังตัวของตัวอ่อนนอกโพรงมดลูก
การตั้งครรภ์นอกมดลูก (ectopic pregnancy)
คือการตั้งครรภ์ที่มีการฝังตัวของตัวอ่อนนอกโพรงมดลูก มีอุบัติการณ์ร้อยละ 0.5-1.5 ของการตั้งครรภ์ไตรมาสแรกทั้งหมด ร้อยละ 95 ของการตั้งครรภ์นอกมดลูกเกิดที่ท่อนำไข่ (fallopian tube) ส่วนอีกร้อยละ 5 เกิดที่รังไข่ เยื่อบุช่องท้อง ปากมดลูก หรือแผลผ่าตัดคลอดเดิม (รูปที่ 1) มีรายงานการเกิดครรภ์แฝดที่มีทั้งการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูกและนอกมดลูก (heterotopic pregnancies) แต่เกิดน้อยมาก ประมาณ 1 ต่อ 30,000 การตั้งครรภ์
- มีพยาธิสภาพ หรือเคยได้รับการผ่าตัดที่ท่อนำไข่
- เคยตั้งครรภ์นอกมดลูก
- เคยติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ หรือเคยมีอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- ใช้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ช่วยในการมีบุตร
- สูบบุหรี่
- อาการ 3 อย่างที่พบบ่อย ได้แก่ ประจำเดือนขาด เลือดออกทางช่องคลอด และปวดท้องน้อย
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกวิงเวียน หรือหมดสติ หากการตั้งครรภ์นอกมดลูกแตกและมีเลือดออกในช่องท้องปริมาณมาก
- ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการหลุดออกของ decidua หรือเยื่อบุโพรงมดลูกที่เปลี่ยนแปลงเตรียมรับการตั้งครรภ์ และแสดงให้เห็นเป็นชิ้นเนื้อปนเลือดหลุดออกทางช่องคลอด นักศึกษาควรซักประวัติถึงลักษณะชิ้นเนื้อและพิจารณาแยกโรคกับการแท้ง หากไม่สามารถยืนยันได้ ควรคิดถึงการตั้งครรภ์นอกมดลูกไว้เสมอ
-
1. ตรวจสัญญาณชีพ เพื่อหาสัญญาณของ hypovolemic shock
2. ตรวจหน้าท้องและตรวจภายใน
i. พบจุดกดเจ็บบริเวณท้องน้อย
ii. เจ็บภายในอุ้งเชิงกราน เมื่อโยกปากมดลูก
iii. อาจคลำได้ก้อนการตั้งครรภ์บริเวณข้างมดลูก
iv. มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นได้จากการกระตุ้นของฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์
3. เลือดที่ออกในช่องท้องทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระบังลม ทำให้เกิดอาการปวดไหล่ได้
1. การตรวจการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ (urine pregnancy test) หากผู้ป่วยยังไม่เคยได้รับการตรวจ
2. การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) ทางหน้าท้อง หรือช่องคลอด
a. หากไม่พบถุงการตั้งครรภ์ในมดลูกจากการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง ให้สงสัยว่าอาจมีการตั้งครรภ์นอกมดลูก โดยอาจพบการตั้งครรภ์ที่อยู่นอกมดลูกหรือไม่ก็ได้ ในการตั้งครรภ์ปกติจะเริ่มเห็นถุงการตั้งครรภ์จากตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอดที่อายุครรภ์ 4.5 สัปดาห์
b. ควรตรวจอย่างรอบคอบว่าถุงการตั้งครรภ์ที่พบ คือถุงการตั้งครรภ์จริง ไม่ใช่ของเหลวที่ขังอยู่ในมดลูก โดยถุงการตั้งครรภ์ควรมีลักษณะดังนี้ (รูปที่ 2)
– พบ yolk sac (อายุครรภ์ 5.5 สัปดาห์) หรือ embryo ภายในถุง
– อยู่ในตำแหน่งข้างในข้างหนึ่งของเยื่อบุโพรงมดลูก
– พบ double decidual sac sign หรือ intradecidual sign คือเห็นวงสีขาวสองวง คือ decidual capsularisและ decidual parietalis หุ้มรอบถุงการตั้งครรภ์
c. ตรวจหาการตั้งครรภ์ในตำแหน่งปีกมดลูกทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากการตั้งครรภ์นอกมดลูกส่วนใหญ่เกิดที่ท่อนำไข่
d. ตรวจหาพยาธิสภาพที่รังไข่ทั้ง 2 ข้าง เพื่อหาสาเหตุอื่นของอาการปวดท้องน้อย
e. ตรวจหาน้ำที่ขังอยู่หลังมดลูก (cul-de-sac) ซึ่งอาจเป็นเลือดที่ออกสู่ช่องท้อง
3. การวัดระดับของ beta human chorionic gonadotropin (β-hCG) ในเลือด ในกรณีที่คลื่นเสียงความถี่สูงไม่สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูกหรือนอกมดลูก อาจเป็นเพราะมีการตั้งครรภ์นอกมดลูกที่ยังหาไม่พบหรืออาจเป็นการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูกปกติในระยะเริ่มแรกซึ่งยังไม่สามารถเห็นถุงการตั้งครรภ์ได้ ระดับของ β-hCG ซึ่งเพิ่มขึ้นตามอายุครรภ์จึงถูกนำมาใช้บ่งบอกอายุครรภ์โดยประมาณว่าควรเห็นการตั้งครรภ์ในมดลูกแล้วหรือไม่ โดยมีการศึกษาถึงระดับของ β-hCG ในค่าต่างๆกัน พบว่าระดับที่ >3510 mIU/mL จะตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงพบถุงการตั้งครรภ์ในมดลูกในการตั้งครรภ์ปกติ ได้ร้อยละ 99
4. การตรวจนับเม็ดเลือด
a. อาจพบความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำลง การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาจต้องใช้เวลาในการติดตามหลายชั่วโมง
b. อาจพบความเข้มข้นของเม็ดเลือดขาวมากขึ้น
การสืบค้นเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยการตั้งครรภ์นอกมดลูกและการดูแลรักษา ในที่นี้จะเน้นการตั้งครรภ์ที่ท่อนำไข่ ซึ่งเกิดขึ้นร้อยละ 95 ของการตั้งครรภ์นอกมดลูกทั้งหมด
1. หากสงสัยการตั้งครรภ์นอกมดลูกแตก (rupture tubal pregnancy) และสงสัย hypovolemic shock ควรทำการผ่าตัดฉุกเฉินทางหน้าท้อง เพื่อตัดท่อนำไข่ส่วนที่มีการตั้งครรภ์ออก (salpingectomy)
2. หากสงสัยการตั้งครรภ์นอกมดลูกและผู้ป่วยมีสัญญาณชีพคงที่ ทำการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด พบก้อนการตั้งครรภ์นอกมดลูก พิจารณารักษาได้ 3 แนวทาง
2.1 การรักษาด้วยยา methotrexate ซึ่งเป็นยาประเภท antimetabolite ทำให้การสร้างสาย DNA และ RNA ของตัวอ่อนชะงักลง
เลือกใช้ในผู้ป่วยที่มีลักษณะต่อไปนี้
– ติดตามระดับ β-hCG ก่อนการรักษาต่ำกว่า 5000 mlU/mL
– มีขนาดถุงการตั้งครรภ์เล็กกว่า 4 เซนติเมตร
– ยังไม่พบการเต้นของหัวใจทารก จากการตรวจคลื่นเสียงความถึ่สูง
– ไม่มีลักษณะบ่งชี้ว่ามีการแตกของก้อนการตั้งครรภ์ เช่น มี Generalize peritonitis หรือตรวจพบเลือด ออกในช่องท้อง
ข้อดี ใช้รักษาได้ผลดีมากถึงร้อยละ 90
ข้อเสีย
– ยามีผลข้างเคียงต่ออวัยวะที่มีการเจริญของเนื้อเยื่อสูง ทำให้เกิด gastroenteritis, transaminitis หรือการกดไขกระดูกได้
– จำเป็นต้องมีการวัดระดับ β-hCG ต่อเนื่อง เพื่อติดตามความสำเร็จในการรักษา
– หากระดับ β-hCG ไม่ลดลงหลังการรักษา ผู้ป่วยควรได้รับการผ่าตัด
– มีการแตกของการตั้งครรภ์นอกมดลูก (rupture ectopic pregnancy) ระหว่างการรักษาได้
ข้อห้ามของการใช้ยา methotrexate
– สงสัยมีการแตกของก้อนการตั้งครรภ์นอกมดลูกแล้ว
– สัญญาณชีพไม่ดี
– ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้แน่ชัดว่าเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก (methotrexate เป็น potent teratogenic agent)
– กำลังให้นมบุตร
– มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
– มีภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่ำหรือเกล็ดเลือดต่ำ
– มีโรคของทางเดินหายใจ
– มีแผลในกระเพาะอาหาร
– การทำงานของตับบกพร่อง
– การทำงานของไตบกพร่อง
– ผู้ป่วยไม่สามารถมาติดตามการรักษาหลังจากให้ยาได้
ที่ใสจาก : https://meded.psu.ac.th/binlaApp/class05/388_561/First_trimester_uterine_bleeding/index2.html
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
คนท้องมีตกขาวไหม ตกขาวคนท้องสีอะไร ตกขาวแบบไหนผิดปกติ
ตรวจครรภ์ตอนเช้าหรือตอนเย็น และทุกข้อสงสัยเรื่องการตรวจครรภ์