หลังจากมีเพศสัมพันธ์ 1 สัปดาห์ สามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ท้อง 1 สัปดาห์ ตรวจเจอไหม และมีวิธีสังเกตอาการท้อง 1 สัปดาห์อย่างไร บทความนี้เราจะพาไปหาคำตอบกันค่ะ
สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
ท้อง 1 สัปดาห์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะยังไม่รู้สึกถึงอาการใดๆ ในสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ แต่บางคนอาจเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น อ่อนเพลีย เต้านมคัดตึง หรือปวดเกร็งบริเวณท้องน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นภายใน 5-6 วันแรกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
การนับสัปดาห์ของการตั้งครรภ์
โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะเริ่มนับสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์จากวันแรกของรอบเดือนครั้งสุดท้ายของคุณแม่ ซึ่งการนับแบบนี้ช่วยให้แพทย์สามารถคำนวณวันครบกำหนดคลอดโดยประมาณได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยจะเริ่มนับจากสัปดาห์แรกหลังการปฏิสนธิ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการตั้งครรภ์ค่ะ
การปฏิสนธิและการฝังตัว
การตั้งครรภ์ หรือ การปฏิสนธิ เกิดขึ้นเมื่อไข่ตกและมีอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ โดยปกติจะเกิดขึ้นประมาณ 14 วันหลังจากวันแรกของรอบเดือนปกติ 28 วัน แต่ช่วงเวลานี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความยาวของรอบเดือน
หลังจากการปฏิสนธิ ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะเคลื่อนที่ไปตามท่อนำไข่ และฝังตัวในผนังมดลูก กระบวนการฝังตัวนี้จะเริ่มขึ้นประมาณ 5-6 วันหลังจากการปฏิสนธิ ในระหว่างการฝังตัว หลอดเลือดเล็กๆ ในผนังมดลูกอาจแตกออก ทำให้เกิดเลือดออกเล็กน้อย หรือที่เรียกว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” และอาจมีอาการปวดเกร็งบริเวณท้องน้อยร่วมด้วย
อาการเริ่มต้นของการตั้งครรภ์
อาการของการตั้งครรภ์ในแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป บางคนอาจมีอาการชัดเจน ในขณะที่บางคนอาจไม่มีอาการใดๆ เลย อาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดของการตั้งครรภ์ในระยะเริ่มต้น คือ การขาดประจำเดือน อย่างไรก็ตาม อาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย เต้านมคัดตึง คลื่นไส้ และปัสสาวะบ่อย อาจเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงสัปดาห์ต่อๆ มา

ท้อง 1 สัปดาห์ อาการที่สังเกตได้
ท้อง 1 สัปดาห์ มักมีอาการไม่ชัดเจน และหลายอาการคล้ายกับอาการก่อนมีประจำเดือน โดยอาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
-
ประจำเดือนขาด
โดยปกติแล้ว ประจำเดือนจะมาทุกๆ 28 วัน (บวกลบ 7 วัน) หากรอบเดือนมาตรงเวลาเสมอ การขาดประจำเดือน อาจเป็นสัญญาณแรกๆ ของการตั้งครรภ์ แต่ในสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ (นับจากวันปฏิสนธิ) ระดับฮอร์โมนยังไม่เปลี่ยนแปลงมากพอที่จะทำให้ประจำเดือนขาด ดังนั้น อาจต้องรอให้เลยช่วงที่ประจำเดือนควรจะมา ถึงจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
-
เลือดออกเล็กน้อย (เลือดล้างหน้าเด็ก)
เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อนในผนังมดลูก มักเกิดขึ้นประมาณ 6-12 วันหลังจากไข่ได้รับการปฏิสนธิ
โดยเลือดล้างหน้าเด็กจะมีปริมาณน้อยกว่าประจำเดือนมาก อาจเป็นแค่เลือดหยดเล็กๆ หรือมีสีชมพูจางๆ ปนกับตกขาว สีของเลือดล้างหน้าเด็กมักเป็นสีชมพูอ่อน น้ำตาล หรือแดงเข้ม อาจมีอาการปวดเกร็งร่วมด้วย แต่ไม่รุนแรงเท่าปวดประจำเดือน
อย่างไรก็ตาม หากมีเลือดออกมาก หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์
-
ปวดเกร็ง
เกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวในผนังมดลูก ทำให้มดลูกมีการบีบตัว มักรู้สึกปวดหน่วงๆ หรือตึงๆ บริเวณท้องน้อย คล้ายปวดประจำเดือน แต่อาจมีความรุนแรงน้อยกว่า บางคนอาจรู้สึกปวดร้าวไปถึงหลังส่วนล่าง หรือขาหนีบได้ ทั้งนี้ อาการปวดมักเป็นๆ หายๆ และหายไปเองภายใน 1-2 วัน แต่หากปวดรุนแรง มีไข้ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์
-
อาการอื่นๆ
- คลื่นไส้ มักเกิดขึ้นในช่วง 2-8 สัปดาห์หลังจากปฏิสนธิ ในสัปดาห์แรก อาจมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อย หรือเวียนหัวบ้าง
- เต้านมคัดตึง อาจรู้สึกคัดตึง เจ็บ หรือไวต่อการสัมผัสมากขึ้น บางคนอาจมีเส้นเลือดที่เต้านมชัดเจนขึ้น
- อ่อนเพลีย ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ง่วงนอน
- ปัสสาวะบ่อย เกิดจากการที่มดลูกเริ่มขยายตัว ไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ
- อารมณ์แปรปรวน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้รู้สึกหงุดหงิดง่าย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ
อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน และอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การตั้งครรภ์ได้ หากคุณสงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรตรวจสอบด้วยชุดตรวจครรภ์ และปรึกษาแพทย์เพื่อยืนยันและรับคำแนะนำในการดูแลตัวเองค่ะ

ท้องกี่สัปดาห์ตรวจเจอ ท้อง 1 สัปดาห์ ตรวจเจอไหม?
หากต้องการตรวจการตั้งครรภ์ สามารถตรวจได้อย่างเร็วที่สุด 10 วันหลังปฏิสนธิ โดยชุดตรวจครรภ์บางชนิดมีความไวสูงมาก อาจตรวจพบฮอร์โมน hCG ได้เร็วถึง 10 วันหลังจากการปฏิสนธิ แต่ในช่วงเวลานี้ ระดับ hCG ยังต่ำมาก ผลลัพธ์อาจไม่แน่นอนค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว ต้องรอประมาณ 3 สัปดาห์หลังปฏิสนธิ ร่างกายจึงจะมี hCG เพียงพอที่จะให้ผลตรวจเป็นบวกที่เชื่อถือได้ ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจการตั้งครรภ์คือ 1 สัปดาห์หลังประจำเดือนขาด เพราะระดับ hCG จะสูงขึ้นมากพอ ทำให้ผลตรวจมีความแม่นยำสูง
-
ท้อง 1 สัปดาห์ ตรวจเจอไหม?
โดยส่วนใหญ่ ท้อง 1 สัปดาห์ยังตรวจไม่เจอการตั้งครรภ์ค่ะ เนื่องจากในสัปดาห์แรกหลังปฏิสนธิ ระดับ hCG ยังต่ำมาก ชุดตรวจครรภ์ส่วนใหญ่จะยังไม่สามารถตรวจพบได้
อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจบางชนิดที่มีความไวสูง อาจตรวจพบ hCG ได้ตั้งแต่ 10 วันหลังปฏิสนธิ แต่ก็อาจเกิดผลลบปลอมได้เช่นกัน (False negative) คือ ตั้งครรภ์จริงแต่ผลตรวจเป็นลบ เนื่องจากระดับ hCG ยังไม่สูงพอ
หากต้องการผลตรวจที่แม่นยำ ควรรออย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังปฏิสนธิ หรือ 1 สัปดาห์หลังประจำเดือนขาด แล้วจึงตรวจด้วยชุดตรวจครรภ์ หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ
ท้อง 1 สัปดาห์ คุณแม่ควรดูแลตัวเองยังไง
ท้อง 1 สัปดาห์ เป็นช่วงเริ่มต้นที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการตั้งครรภ์ แม้ว่าคุณแม่อาจจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าตั้งครรภ์หรือไม่ แต่การดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรงตลอดการตั้งครรภ์ค่ะ
-
ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการสร้างอวัยวะและระบบต่างๆ ของทารก คุณแม่ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพ และพัฒนาการของลูกน้อย
สารอาหารสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
- วิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมสร้างกระดูกและฟันของทั้งคุณแม่และลูกน้อย พบมากในปลาทะเล ไข่แดง และเห็ด
- กรดโฟลิก ช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาท และสมองของทารก พบมากในผักใบเขียว ธัญพืช และถั่ว
- แคลเซียม เสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาท พบมากในนม โยเกิร์ต ชีส และผักใบเขียว
- ธาตุเหล็ก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะโลหิตจาง พบมากในเนื้อแดง ตับ ไข่แดง และผักใบเขียวเข้ม

อาหารแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
- ผักและผลไม้หลากสี
- เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น ปลา ไก่ และเนื้อแดง
- ไข่
- นม โยเกิร์ต และชีส (เลือกชนิดไขมันต่ำ)
- ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท
- ถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณ
- คาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา และน้ำอัดลม อาจทำให้เกิดอาการใจสั่น นอนไม่หลับ และส่งผลต่อการดูดซึมธาตุเหล็ก
- อาหารดิบหรือไม่สุก เช่น ปลาดิบ เนื้อดิบ ไข่ดิบ อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเป็นอันตรายต่อทารก
- อาหารที่มีเกลือ น้ำตาล หรือไขมันสูง เช่น ขนมหวาน อาหารทอด และอาหารแปรรูป อาจทำให้น้ำหนักขึ้นมากเกินไป เสี่ยงต่อโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และความดันโลหิตสูง
- แอลกอฮอล์ เป็นอันตรายต่อพัฒนาการของทารก อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย และสติปัญญา
2. งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทันที
ตลอดการตั้งครรภ์คุณแม่ต้องดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกน้อยในครรภ์เติบโตอย่างแข็งแรง และมีพัฒนาการที่สมวัย ดังนั้น สิ่งคุณแม่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด คือ บุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงต่อลูกน้อย
บุหรี่
สารพิษในบุหรี่ เช่น นิโคติน และคาร์บอนมอนอกไซด์ จะเข้าสู่กระแสเลือดของคุณแม่ และส่งผ่านไปยังลูกน้อยในครรภ์ ทำให้ทารกได้รับออกซิเจนน้อยลง ส่งผลกระทบต่อทารก ทำให้น้ำหนักตัวน้อย คลอดก่อนกำหนด เสี่ยงต่อการแท้งบุตร และการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ นอกจากนี้เมื่อคลอดออกมา อาจมีปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ และพัฒนาการล่าช้า นอกจากงดสูบบุหรี่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่สูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการสูดดมควันบุหรี่มือสองด้วย
แอลกอฮอล์
งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ ไวน์ หรือสุรา แม้ในปริมาณเล็กน้อยก็อาจเป็นอันตรายต่อทารกได้ เนื่องจาก แอลกอฮอล์สามารถผ่านรกไปยังทารกได้โดยตรง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของอวัยวะต่างๆ
- ความผิดปกติทางร่างกาย เช่น ใบหน้าผิดรูป หัวใจพิการ และปัญหาการได้ยิน
- ความผิดปกติทางสติปัญญา เช่น ภาวะปัญญาอ่อน สมาธิสั้น และปัญหาการเรียนรู้
- เสี่ยงต่อการแท้งบุตร และการเสียชีวิตของทารกในครรภ์
3. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ปรับสมดุล และเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอด โดยเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม ดังนี้
- โยคะ: ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และฝึกการหายใจ
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิก: เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน: เช่น การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise) ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เตรียมพร้อมสำหรับการคลอด และป้องกันปัญหาปัสสาวะเล็ดหลังคลอด
4. ฝากครรภ์
ควรรีบฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์ เพื่อรับการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้แพทย์ติดตามสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อย ตรวจหาความผิดปกติ ให้คำแนะนำ และเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอด เลือกสถานพยาบาลที่ไว้วางใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อการตั้งครรภ์ที่ราบรื่น และลูกน้อยที่แข็งแรงสมบูรณ์ค่ะ
ที่มา : medicalnewstoday , hellokhunmor
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ตั้งครรภ์ คัดเต้าตอนไหน ? ไขข้อสงสัยอาการเบื้องต้นของ คนท้อง
สรุป! อาการตั้งครรภ์ แต่ละสัปดาห์ และพัฒนาการลูกน้อยตลอด 40 สัปดาห์
ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง อันตรายไหม? มีสาเหตุจากอะไร?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!