X
TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

เทคนิค! จัดตารางเวลาให้ลูกวัย 0 - 10 ปี สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ ส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อย

บทความ 8 นาที
เทคนิค! จัดตารางเวลาให้ลูกวัย 0 - 10 ปี สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ ส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อย

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก สำหรับเด็กแรกเกิดจนถึง 9 ขวบ วิธีใช้เวลากับลูกให้มีคุณภาพ พ่อแม่ควรทำอย่างไร ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการอย่างไรบ้าง

การแบ่งเวลาให้กับลูกตั้งแต่เล็กมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพัฒนาการสมองที่ได้รับการสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ทำให้สร้างเซลล์สมองและเชื่อมต่อเซลล์ในสมองอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังสร้างนิสัยในการใช้เวลาที่ดีให้กับเด็ก ช่วยในการเตรียมความพร้อมเมื่อเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา รวมถึงการป้องกันการเกิดอาการเหนื่อยล้าหรือเกินความสามารถจากการทำกิจกรรมโดยไม่มีการจำกัดเวลา

ความมั่นใจของเด็กยังสามารถเสริมสร้างได้เมื่อพวกเขาทราบว่ามีเวลาที่แน่นอนสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ และสามารถปฏิบัติตามได้ การแบ่งเวลายังช่วยเสริมสร้างการสื่อสารระหว่างผู้ปกครองกับลูก และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเด็ก เนื่องจากการกำหนดเวลาการทำงานที่เฉพาะเจาะจงสำหรับกิจกรรมทำให้ลูกมีสมาธิและความมุ่งมั่นมากขึ้น

คุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกน้อยคนแรกอาจต้องการปรับตัวในช่วงที่ตนเองกำลังทำงาน และต้องเลี้ยงลูกไปด้วย ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก จะเป็นทางออกที่สำคัญให้กับปัญหานี้ โดยเรามีคำแนะนำให้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงเด็กอายุ 10 ปี ว่าควรแบ่งเวลาให้เหมาะสมได้อย่างไรบ้าง

 

แก้ปัญหาพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ทำอย่างไรดี

การที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูกเป็นสิ่งที่มีผลต่อการเติบโตทางจิตใจและพัฒนาการของลูก แต่ยังมีวิธีการที่สามารถช่วยลดผลกระทบจากปัญหานี้

การจัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ: พยายามหาช่วงเวลาที่สามารถที่จะใช้เวลากับลูก แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้น ๆ ก็ตาม การเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมประจำวันของลูก เช่น การอ่านหนังสือก่อนนอน หรือการรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการมีเวลายาว ๆ ในวันหยุด

คุณภาพเวลาที่ใช้ร่วมกัน: เมื่อมีเวลาว่าง ให้ใช้เวลานั้นอย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์หรือสื่ออื่น ๆ ในขณะที่ใช้เวลากับลูก และเน้นการสื่อสารกับลูกโดยตรง

การสนับสนุนจากญาติพี่น้อง: หากคุณมีญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ใกล้ชิด การขอให้พวกเขาช่วยดูแลลูกในช่วงเวลาที่คุณยุ่งก็น่าจะเป็นการดี

การใช้บริการครูพี่เลี้ยง: ให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมหลังเลิกเรียน หรือค่ายในช่วงวันหยุด เพื่อให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมีเวลาสนุกสนาน

Advertisement

การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง: แม้ว่าคุณจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันทุกครั้ง การสื่อสารผ่านโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชันที่สามารถทำให้คุณสามารถเห็นหน้ากันได้ เช่น FaceTime หรือ Zoom จะช่วยให้คุณสามารถรับรู้ถึงความเป็นอยู่ของลูกและแสดงความคิดเห็นในกิจกรรมที่เขาทำ

การแสดงความรัก: แม้ว่าคุณจะยุ่งเรื่องงาน ไม่ควรลืมแสดงความรักและความสนใจต่อลูก ผ่านการกอด, การบอกว่าคุณรักเขา, หรือการปลอบประโลมเมื่อเขารู้สึกไม่ดี

การวางแผนร่วมกัน: พยายามวางแผนกิจกรรมหรือการท่องเที่ยวร่วมกันในช่วงวันหยุด หรือวันนั้น ๆ ที่คุณมีเวลา

ความคิดเห็นของพ่อแม่มีผลต่อความรู้สึกและความมั่นใจของลูก ดังนั้น การใช้เวลาที่มีกับลูกโดยให้ความสำคัญและคุณภาพจึงสำคัญมาก

 

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูกตามช่วงวัย

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก อยากให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยพ่อแม่ควรจัดกิจกรรมให้ลูกอย่างไร เราลองมาดูวิธีบริหารจัดการเวลา สำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 10 ขวบกันดีกว่าค่ะ

 

เด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี

ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งทางร่างกายและสมอง ส่วนใหญ่ของเวลาจะมุ่งไปที่การนอนและการหลับ การแบ่งเวลาเล่นให้สั้น ๆ แต่บ่อย ๆ จะช่วยเสริมสร้างการสัมผัสและการพัฒนาการสติปัญญา, การฟังเพลง, การอ่านเรื่องสั้น ๆ, หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกับเด็ก ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาการภาษาและการฟัง

สำหรับเด็กวัยนี้ มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านไม่แนะนำให้เด็กอยู่กับหน้าจอพวกโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ หากจำเป็นให้ลูกดูจริงๆ พ่อแม่ก็ควรอยู่กับลูกด้วยอย่าปล่อยให้ลูกดูเพียงลำพัง แต่ควรแบ่งเวลาให้ลูกทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของลูกด้วยอย่างน้อย 30 นาที เช่น กิจกรรมให้ลูกนอนคว่ำค่ะ หรือจะให้ลูกนั่งรถเข็น นั่งเล่นเก้าอี้ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้ (เวลาไม่จำกัดค่ะ) และอย่าลืมปล่อยให้น้องได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยการนอนของเด็กที่มีอายุ 0-3 เดือน จำเป็นต้องใช้เวลานอนทั้งวันประมาณ 14-17 ชั่วโมง ส่วนเด็กอายุ 4-11 เดือน จำเป็นต้องใช้เวลานอนทั้งวัน 12-16 ชั่วโมงค่ะ

 

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก 10

 

เด็กวัยหัดเดิน อายุ 1-2 ปี

ในช่วงอายุนี้ เด็กเริ่มเรียนรู้การเดิน การคลาน และการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว การเล่นจึงมีความสำคัญในการช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวและการประสาทสัมผัส ของเล่นที่สามารถจับและดึงจะช่วยเสริมสร้างสติปัญญา และการฟังเพลงหรือการอ่านเรื่องยาวกว่าเดิมจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านภาษา

กิจกรรมสำหรับเด็กวัยนี้ พ่อแม่อย่าลืมแบ่งเวลาอย่างน้อย 180 นาที ให้ลูกได้ออกกำลังกายออกแรงบ้าง เพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายของลูกน้อยเช่นเดียวกัน แล้วอาจจะเปลี่ยนมาให้ลูกนั่งรถเข็น หรือนั่งบนเก้าอี้บ้างในเวลาที่มากกว่า 1 ชั่วโมงต่อครั้ง ที่สำคัญพ่อแม่ไม่ควรให้ลูกน้อยที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี นั่งดูโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตนิ่งๆ อยู่ลำพัง หากอยากให้ลูกได้เล่นเพื่อเสริมพัฒนาการต้องรอให้ลูกมีอายุ 2 ขวบขึ้นไปก่อน และไม่ควรปล่อยให้เล่นนานเกิน 1 ชั่วโมงนะคะ สำหรับน้องวัยนี้ควรได้รับการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 11-14 ชั่วโมงต่อวัน

บทความที่เกี่ยวข้อง : พัฒนาการเด็กวัย 2 ขวบถึง 2 ขวบครึ่ง และเทคนิคส่งเสริมพัฒนาการตามวัย

เด็กวัยก่อนเรียน อายุ 3-5 ปี

เด็กในช่วงนี้มีความสามารถในการเรียนรู้ที่สูงขึ้น การวาดรูป, เล่นกับเพื่อน, หรือการเรียนรู้ตัวอักษร ตัวเลข และสีจะช่วยในการพัฒนาทักษะและความสามารถต่าง ๆ การทำงานบ้านร่วมกันหรือเล่นเกมกับครอบครัวจะช่วยสร้างความสัมพันธ์และนิสัยที่ดี

บทความจากพันธมิตร
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023

เช่นเดียวกับเด็กวัยหัดเดิน พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกเล่นออกกำลังกายประมาณ 180 นาที ไม่ควรให้เด็กนั่งเฉยๆ และควรจัดกิจกรรมอย่างน้อย 60 นาที ให้ลูกได้ทำกิจกรรมที่กระฉับกระเฉงมากขึ้น อาจจะเป็นการเล่นกีฬาอย่างว่ายน้ำ เล่นฟุตบอล หรือตีแบดมินตันก็ได้ค่ะ แน่นอนว่าไม่แนะนำให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตนานกว่า 1 ชั่วโมงนะคะ และพ่อแม่ต้องคอยดูลูกเล่นอยู่เสมอเพื่อที่ลูกจะได้ใช้หน้าจอเพื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สำหรับการนอนที่เหมาะสมคืออยู่ประมาณ 10-13 ชั่วโมงต่อวันค่ะ

เด็กวัยเรียน อายุ 6-9 ปี

ในช่วงนี้ เด็กเริ่มมีความสนใจในกิจกรรมต่าง ๆ และมีความสามารถในการรับรู้เพิ่มขึ้น การเล่นกีฬาหรือกิจกรรมกายภาพจะช่วยในการพัฒนาทักษะด้านกายภาพ ในขณะที่การบ้านและการอ่านจะช่วยเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้

พ่อแม่ควรเน้นกิจกรรมที่ให้ลูกได้เล่นหรือมีส่วนร่วมกับเพื่อน เพราะจะทำให้เด็กได้พัฒนาทักษะการอยู่ร่วมกัน ได้เสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็ก แต่ไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่พ่อแม่ยัดเยียดให้ลูกทำกับเพื่อนนะคะ พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกเลือกเองว่าอยากทำกิจกรรมนี้หรือไม่ เด็กจะได้ไม่รู้สึกเครียดหรือกดดันตลอดเวลาค่ะ เพราะถ้าพ่อแม่บังคับลูกจนเกินไปจะทำให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่าย ขาดการเป็นตัวเอง ขาดการกระตือรือร้น ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ค่ะ ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่จะพอทำได้คือการคอยดูแลเอาใจใส่ ให้ความรักความอบอุ่น และคอยตอบสนองความต้องการของลูกอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการพูดคุยและการสอบถามความต้องการของลูกบ้างค่ะ

เด็กวัยอายุ 10 ปี ขึ้นไป

เมื่อเด็กเข้าสู่วัย 10 ปีขึ้นไป หรือที่เรียกว่า “วัยรุ่นกำลังเติบโต” พวกเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ, อารมณ์, และสติปัญญาอย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้ ความสนใจเฉพาะทางของเด็กเริ่มมีรูปร่างชัดเจน และการเรียนรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย, การอ่านหรือการเขียน ที่สำคัญ คือการสนับสนุนให้พวกเขาสามารถพัฒนาทักษะและความสามารถที่ต้องการได้

ขณะเดียวกัน ความรู้สึกและอารมณ์ของเด็กวัยนี้มักจะแปรปรวน การสื่อสารกับพวกเขาในเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน, แนะนำและอภิปรายปัญหาต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การให้ความสนใจ, การฟัง และการแสดงความเข้าใจต่อความรู้สึกของพวกเขาจะช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว

การเล่นกีฬา, กิจกรรมศิลปะ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสนใจเฉพาะทาง ไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาทักษะและความสามารถของเด็ก แต่ยังเป็นแหล่งให้พวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ และชุมชน การทำงานร่วมกันเป็นทีม, การรับผิดชอบ และการพัฒนาด้านความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากกิจกรรมเหล่านี้

สุดท้าย การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยรุ่นและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะต้องการความรู้ในเรื่องการเป็นผู้มีภาวะผู้นำ การตัดสินใจ, การจัดการกับปัญหา, และการเรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมและจริยธรรม การสนับสนุนและการท้าทายในเรื่องเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการเติบโตของเด็ก

 

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก 11

 

ในทางตรงข้าม หากพ่อแม่กลับปล่อยละเลยลูก ให้ลูกทำอะไรตามลำพังคนเดียว เด็กก็จะหันไปหาสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่สุดอย่างโทรทัศน์ เกม โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตแทน และบางคนยังใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากกว่าอยู่ในห้องเรียนอีก จนกลายเป็นเด็กเฉื่อยชา และท้ายที่สุดเด็กก็คิดว่าเขามีโทรทัศน์ เกม โทรศัพท์มือถือเป็นเพื่อน เป็นเหมือนพี่เลี้ยงค่ะ สำหรับเวลาที่เด็กควรดูโทรทัศน์นั้นต้องไม่เกิน 30 นาที – 1 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ต้องไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงต่อวันค่ะ และพ่อแม่ควรคอยสังเกตดูด้วยว่าลูกดูอะไรอยู่ คอยพูดคุยกับลูกถึงสิ่งที่ลูกได้ดู คอยสอดแทรกความคิดเห็นและสอนลูกในเรื่องต่างๆ ด้วยค่ะ เพราะเด็กพอโตขึ้นเวลาที่อยู่กับพ่อแม่ก็จะน้อยลง พ่อแม่จึงควรเก็บเกี่ยวช่วงที่ลูกเล็กๆ ไว้นะคะ

สำหรับเด็กในวัยเรียน การแบ่งเวลาให้กับลูกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะได้เป็นการฝึกวินัยให้กับลูกไปในตัวด้วย โดยเฉพาะเด็กที่เริ่มเข้าชั้นประถม เด็กจะเริ่มมีการบ้าน มีโครงงาน มีงานกลุ่มเยอะแยะไปหมด ดังนั้นพ่อแม่อาจต้องช่วยลูกในการวางแผนด้วยค่ะ โดยมีวิธีการดังนี้

  • ดูสมุดจดการบ้านลูก พ่อแม่ควรเช็กว่าวันนี้ลูกมีการบ้านอะไรบ้าง กำหนดส่งวันไหน งานยากหรือง่ายอย่างไร ต้องหาอุปกรณ์เพิ่มเติมหรือเปล่า ลูกจะได้มีงานส่งทันกำหนดค่ะ
  • กำหนดเวลาทำการบ้านที่แน่นอน เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีสมาธิในการทำงานไม่เหมือนกัน บางคนรีบทำการบ้านก่อน บางคนขอเล่นก่อนค่อยทำ จนสุดท้ายก็ลืมทำการบ้านไป ดังนั้น พ่อแม่ควรกำหนดเวลาทำการบ้านที่แน่นอนให้กับลูก เช่น ให้ทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเล่น หากไม่ยอมทำการบ้านหรือทำการบ้านไม่เสร็จ ก็จะถูกงดกิจกรรมที่ชอบ
  • ให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ เช่น พ่อแม่อาจจัดสรรตารางเวลาให้ลูก เช่น หลังทานอาหารเย็น ให้เวลาลูกครึ่งชั่วโมงทำกิจกรรมอะไร แล้วค่อยอาบน้ำ ก่อนเข้านอน
  • ให้ความสำคัญกับลักษณะนิสัยของเด็ก พ่อแม่จะรู้ว่าลูกแต่ละคนนิสัยเป็นอย่างไร เด็กบางคนชอบอ่านหนังสือ ชอบเล่นกีฬา ชอบเล่นเกม หรือใช้เวลาไปกับการทำกิจกรรมอื่นๆ ดังนั้น พ่อแม่อาจจะต้องคุยกับลูก กำหนดเวลาให้กับลูก ทำข้อตกลงร่วมกัน จะได้ไม่เป็นปัญหาค่ะ
  • เขียนกิจกรรมของคนในครอบครัวลงในปฏิทิน เพื่อที่ลูกจะได้ให้ทุกคนในลูกรู้จักหน้าที่ของตัวเอง อาจจะทำในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ โดยที่พ่อแม่และลูกช่วยกันทำ เช่น เวลาเล่นเกม ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ทำความสะอาดบ้าน เก็บผ้า เป็นต้น

 

พื้นฐานสำหรับเด็กคืออะไร ทำไมต้องให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง

การให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตทางจิตใจและปัญญาของเด็ก สามารถขยายความเข้าใจได้ดังนี้:

1 กระบวนการทำความเข้าใจ: เมื่อเด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง, พวกเขาจะเริ่มสำรวจและคิดค้นด้วยตนเอง ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจในกระบวนการและหลักการของสิ่งที่พวกเขากำลังทำ ไม่ใช่เพียงแค่จำแนกและตอบตามคำสั่งจากผู้ใหญ่เท่านั้น

2 ความมั่นใจ: การได้ทดลอง, ผิดพลาด, และประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง สามารถสร้างความมั่นใจและทำให้เด็กรู้สึกว่าพวกเขาสามารถพัฒนาและปรับปรุงตนเอง

3 ประสบการณ์การเรียนรู้: เด็กไม่เพียงแค่รับความรู้ที่ได้มา, แต่ยังได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการสัมผัส, การรับรู้, และการคิดค้น

4 ทักษะการแก้ปัญหา: การเรียนรู้ด้วยตัวเองช่วยเสริมสร้างทักษะในการแก้ปัญหา ทำให้เด็กสามารถมองหาแนวทางและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง

5 การยอมรับความไม่สมบูรณ์: การเรียนรู้ทำให้เด็กเห็นความไม่สมบูรณ์และความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ทำให้พวกเขาเรียนรู้ว่าความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องผิด  แต่ต้องยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด

6 ความสนใจและความสงสัย: การเรียนรู้ด้วยตัวเองเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองและสำรวจตามความสนใจ ทำให้พวกเขาเกิดความสงสัยและต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตนเอง

7 ความรับผิดชอบ: เมื่อเด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะเรียนรู้ถึงความรับผิดชอบในการเรียนรู้ และรับผิดชอบในการตัดสินใจที่มีผลต่อตนเอง

การให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเองไม่เพียงแต่เป็นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตทางจิตใจและปัญญาของเด็กเท่านั้น แต่ยังช่วยในการขยายขอบเขตความเข้าใจและประสบการณ์การเรียนรู้ของเขาด้วย การเรียนรู้ด้วยตัวเองทำให้เด็กได้สำรวจและคิดค้นด้วยตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในกระบวนการและหลักการที่เขากำลังศึกษา พวกเขาจะไม่แค่รับความรู้แบบถูกบังคับ แต่ยังได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายผ่านการสัมผัส, การรับรู้, และการคิดค้น

ความมั่นใจเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ พวกเขาจะสามารถทดลอง, ผิดพลาด, และประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง การที่ได้เผชิญหน้ากับความไม่สมบูรณ์และความผิดพลาดก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ การเรียนรู้ด้วยตัวเองยังช่วยสร้างความสนใจและความสงสัย ซึ่งทำให้เด็กมีโอกาสที่จะสำรวจและศึกษาในสิ่งที่พวกเขาสนใจ นอกจากนี้ การเรียนรู้ด้วยตัวเองยังส่งเสริมความรับผิดชอบในการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เด็กเรียนรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาตนเอง ดังนั้น, การให้เด็กมีโอกาสในการเรียนรู้ด้วยตัวเองนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเติบโตในอนาคต

ถ้าพูดเรื่องพื้นที่การเรียนรู้สำหรับเด็ก ต้องนี่เลยค่ะ M Card Junior Club คลับที่ให้เด็กเรียนรู้และเปิดโลกกว้าง

 

M Card Junior Club คืออะไร

คือ ศูนย์รวมของสิทธิประโยชน์ กิจกรรม และข่าวสารดีๆ สำหรับลูกน้อย ที่มุ่งเน้นเรื่องของการเสริมสร้างพัฒนาการ ทักษะการเรียนรู้ของเด็กให้เติบโตได้อย่างฉับไว

โดยใน M Card Junior Club เป็นส่วนหนึ่งของ M Card Application ที่เน้นสำหรับครอบครัวที่มีลูก หรือเด็กในความดูแลโดยเฉพาะ มอบสิทธิพิเศษมากมาย ให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ได้ทำกิจกรรมหลากหลาย ให้พร้อมจะเติบโตมีพัฒนาการอย่างมีความสุข

เด็กๆ จะได้รับสิทธิพิเศษจากแบรนด์ที่ร่วมรายการกว่า 40 แบรนด์ทั้งภายในและภายนอกห้างฯ และได้รับสิทธิ์เข้าร่วม Exclusive Workshop ทำอาหาร ขนม และศิลปะ รวมถึงได้เข้าร่วมกิจกรรมดี ๆ และรับของขวัญตามเทศกาลต่าง ๆ

 

M Junior Club

สุดยอดอัฉริยะรุ่นเยาวน์ ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและศักยภาพ น้องธีร์ “หนูน้อยอัจริยะเปียโน”, น้องปอร์เช่ “ยอดนักกีฬารุ่นเยาว์”, น้องเพลง “จิตอาสาตัวน้อย” มาเล่าเรื่อง ทำไมถึงชอบใช้เวลากับครอบครัว

ชมคลิปสัมภาษณ์น้องๆ ได้ที่เลยค่ะ : https://www.facebook.com/mcardforall/videos/354755640339249/

 

โดยสามารถสมัครสมาชิกได้ที่ M Card Application ได้ง่ายๆ ดังนี้

พิเศษ สมัครสมาชิก ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้จาก M Card Junior Club รวมมูลค่าสูงสุดมากกว่า 55,000 บาท

M Junior Club

 

 

M Junior Club Benefit

 

คุณพ่อคุณแม่คงได้แนวทางการแบ่งเวลาให้ลูกตามที่เราแนะนำไปแล้ว อย่าลืมการปรับตัวหรือแก้ไขให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อให้มีความเหมาะสมตามรูปแบบของแต่ละครอบครัวด้วยนะคะ

 

ความคิดเห็นของคุณคืออะไร

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลดการเล่นโทรศัพท์ แบ่งเวลาเล่นโทรศัพท์ มาเล่นกับลูก ลดการใช้มือถือต้องทำทั้งครอบครัว

ลูกชอบแย่งของเล่นกัน เล่นด้วยกันได้ไม่นานก็ทะเลาะกันตลอด ควรทำอย่างไรดี

ลูกอายุเท่าไหร่ให้เล่นมือถือ-แท็บเล็ตได้ ทำอย่างไรไม่ให้ลูกติดจอ

 

ที่มา:  clinicdek, Australian Government Department of Health and Aged Care,3

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

Khunsiri

  • หน้าแรก
  • /
  • ชีวิตครอบครัว
  • /
  • เทคนิค! จัดตารางเวลาให้ลูกวัย 0 - 10 ปี สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ ส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อย
แชร์ :
  • หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

    หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

  • เทคนิคเลี้ยงลูกตามวัย สร้างสายใยไว้ใจ เลี้ยงลูกยังไง ให้กล้าคุยกับพ่อแม่

    เทคนิคเลี้ยงลูกตามวัย สร้างสายใยไว้ใจ เลี้ยงลูกยังไง ให้กล้าคุยกับพ่อแม่

  • อย่ามองแค่เกรด! 5 ทักษะที่มีค่าที่สุด ช่วยลูกรับมือกับอุปสรรคในชีวิต

    อย่ามองแค่เกรด! 5 ทักษะที่มีค่าที่สุด ช่วยลูกรับมือกับอุปสรรคในชีวิต

  • หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

    หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

  • เทคนิคเลี้ยงลูกตามวัย สร้างสายใยไว้ใจ เลี้ยงลูกยังไง ให้กล้าคุยกับพ่อแม่

    เทคนิคเลี้ยงลูกตามวัย สร้างสายใยไว้ใจ เลี้ยงลูกยังไง ให้กล้าคุยกับพ่อแม่

  • อย่ามองแค่เกรด! 5 ทักษะที่มีค่าที่สุด ช่วยลูกรับมือกับอุปสรรคในชีวิต

    อย่ามองแค่เกรด! 5 ทักษะที่มีค่าที่สุด ช่วยลูกรับมือกับอุปสรรคในชีวิต

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว