อย่าปล่อยให้สุนัขเลียหน้าลูก
คุณแม่หลายคนอาจคิดว่า เวลาสุนัขที่เลี้ยงไว้เลียหน้าลูกแล้วดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่เชื่อหรือไม่ว่าการที่ อย่าปล่อยให้สุนัขเลียหน้าลูก ลูกนั้นอาจเป็นภัยร้ายที่คุณอาจคาดไม่ถึงได้นะครับ
1.ปากสุนัขคือแหล่งรวมเชื้อโรค
แม้ว่าคุณจะแปรงฟันเจ้าตูบที่เลี้ยงไว้ทุกวันก็ตาม แต่ปากของมันก็เต็มไปด้วยเชื้อโรคและสกปรกกว่าปากมนุษย์หลายเท่านัก เพราะเจ้าตูบมักจะชอบคุ้ยและเลียขยะหรือในบางครั้ง มันก็อาจจะเลียแม้แต่อุจจาระของตัวเอง
ถึงคุณพ่อคุณแม่จะไม่เคยป่วยจากการที่ถูกสุนัขที่เลี้ยงไว้ เลียหน้า แต่ภูมิคุ้มกันของลูกน้อยนั้นอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่มาก เพราะฉะนั้น จึงควรป้องกันลูกน้อยจากการเลียของเจ้าตูบ เพื่อไม่ให้ลูกน้อยสัมผัสเชื้อโรคมากมายที่มีอยู่ในปากของสุนัขครับ
อย่าปล่อยให้สุนัขเลียหน้าลูก
2.ห้ามสุนัขเลียหน้า!
สุนัขนั้นชอบเลียหน้าเจ้าของเพื่อแสดงความรักและเพื่อต้องการให้เจ้าของสนใจ คุณควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าตูบเลียหน้าลูกน้อยโดยตรง จริงๆ แล้วหากไม่จำเป็น ตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกันนะครับ เพราะเชื้อโรคที่คุณพ่อคุณแม่ได้รับอาจส่งต่อไปยังลูกน้อยได้
3.บางทีลูกอาจไม่ชอบการเลีย
เด็กไม่สามารถพูด เดินหนี หรือขัดขืนได้ บางครั้งลูกน้อยอาจไม่ชอบที่มีอะไรมาเลียเสมอไป ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกน้อยถูกสุนัขเลียหน้าจะดีที่สุดครับ
4.หรือลูกอาจชอบการเลียมากเกินไป
เด็กทารกหลายคนชอบให้เจ้าตูบเลีย เพราะการเลียจะทำให้เด็กหัวเราะสนุกสนานและมีความสุข แต่มีเด็กมากมายหลายคนที่ถูกสุนัขกัดบริเวณหัวหรือใบหน้า ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันอันตราย จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้สุนัขเลียลูกน้อยจะดีที่สุดนะครับ
โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว อันตรายมากหรือไม่?
จริงๆ แล้วหากเป็นคนที่มีภูมิต้านทานโรคดี ร่างกายปกติแข็งแรงอยู่แล้ว ร่างกายอาจต่อต้านแบคทีเรียจนหายเป็นปกติได้เอง แต่หากยังคงได้รับเชื้อแบคทีเรียจากสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง บวกกับร่างกายเริ่มไม่แข็งแรง พักผ่อนน้อย ทานอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ และไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียทำร้ายร่างกายหนักขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน ความรุนแรงของโรคจึงขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานโรค และสุขภาพของแต่ละคนด้วย
สังเกตได้อย่างไร ว่าสุนัขและแมวของเรา มีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อเราหรือไม่
เป็นเรื่องยากที่จะสังเกตจากภายนอกได้ว่า สุนัขหรือแมวมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อเราหรือไม่ เพราะเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปากของสุนัขและแมว ไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุนัขและแมวเอง แต่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ดังนั้นควรจะระวังไม่ว่าสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของ ได้รับการดูแลอย่างดีหรือไม่ก็ตาม หากมีอาการคัดจมูก ตาแดง มีไข้สูง หรือไอหนัก โดยที่บ้านมีสัตว์เลี้ยง และคลุกคลีอยู่กับสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิด อาจต้องพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และรีบทำการรักษาอย่างทันท่วงทีค่ะ
มาทำความรู้จัก โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว คืออะไร
โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย โรคนี้ทำให้เกิดหนองเลือด เป็นพิษตามผิวหนัง หรือเยื่อไขกระดูกอักเสบ หากเป็นกรณีที่ร้ายแรงมาก อาจเสียชีวิตได้
อยากรู้ว่า โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว มีสาเหตุมาจากอะไร?
โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว เป็นอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย Pastsrera ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งอาจพบจากภายในปากของสุนัข 75% และแมวมากถึง 97% เจ้าของอาจใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสัตว์เลี้ยงมากเกินไป จนทำให้ได้รับเชื้อแบคทีเรียเข้าสูงร่างกายผ่านน้ำลายของสัตว์เลี้ยง หรือการสูดเอาแบคทีเรียเข้าไปผ่านจมูก เช่น การจูบ หรือหอมสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ
โรคติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขและแมว มีอาการอย่างไร
หากติดเชื้อผ่านการสูดหายใจเอาแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านจมูก อาจทำให้มีอาการคัดจมูกคล้ายเป็นหวัด แต่จริงๆ แล้วเป็นอาการของโพรงจมูกอักเสบ เป็นหนอง หากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ดวงตา ก็อาจทำให้มีอาการตาแดง เลือดคั่งในตา นอกจากนี้ยังอาจมีไข้สูง ไอค่อนข้างหนัก จนอาจถึงขั้นไอเป็นเลือด เมื่อปอดติดเชื้อ
หากน้ำลายสุนัขกระเด็นเข้าปากจริง ก็อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ จึงอาจต้องพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า แต่หากสุนัขยังคงกินอาหารและน้ำได้ตามปกติ แสดงว่าสุนัขก็ไม่น่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ดังนั้น หากสามารถเฝ้าติดตามอาการของสุนัขได้ ก็อาจสังเกตอาการไปอีกสัก 3-4 วันก่อนก็ได้ โดยหากสุนัขไม่มีอาการผิดปกติ แสดงว่าสุนัขไม่น่าเป็นโรคพิษสุนัขบบ้า หลังจากนั้น ก็ให้ติดตามอาการไปอีก 10 วัน หากสุนัขไม่ตาย แสดงว่าสุนัขก็ไม่ได้เป็นโรคพิษสุนัขบ้า และคุณ BsK JJN ก็ไม่จำเป็นต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าค่ะ
ทั้งนี้ การที่น้ำลายสุนัขกระเด็นเข้าปาก อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษหรือพยาธิได้ ดังนั้น ก็ควรสังเกตอาการต่อไปด้วยว่าจะมีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้น แบคทีเรีย Capnocytophaga Canimorsus เป็นแบคทีเรียที่พบได้โดยทั่วไปในสุนัขและแมว ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ในน้ำลายของสุนัขที่มีสุขภาพดี และจะไม่เป็นอันตรายสู่มนุษย์ หากแต่ในบางกรณีที่พบได้ยาก น้ำลายของสุนัขที่มีเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะเป็นพิษในเลือด ซึ่งจะแสดงอาการโดยมีจุดดำเกิดขึ้นบนร่างกาย หน้าตาหมองคล้ำ มีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นบนใบหน้า รวมทั้งมีความดันลดลง มีไข้สูง และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต อย่างไรก็ดี การแพร่เชื้อจากสุนัขสู่คนนั้นจะเกิดจากการสัมผัส ทั้งการสัมผัสขนของสุนัขด้วยการกอด ลูบขน สัมผัสด้วยการโดนสุนัขเลียใบหน้าหรือบาดแผล การไม่ล้างมือให้สะอาดหลังสัมผัส สัตว์เลี้ยง หรือ ทำกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกัน นอกจากนี้การหายใจร่วมกันยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการแพร่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย โดยอาจทำให้เป็นหวัด คัดจมูก หรือในบางรายอาจเป็นมีอาการโพรงจมูกอักเสบและเป็นหนองได้
วิธีการป้องกันอันตรายจากน้ำลายสุนัข คือ พยายามอย่าให้สุนัขเลียหน้า ปาก หรือแผลเด็ดขาด หากหลีกเลี่ยงการสัมผัสไม่ได้ ให้ป้องกันด้วยการล้างมืออย่างถูกวิธีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่ได้มาตรฐาน อาบน้ำให้สุนัข รวมถึงทำความสะอาดช่องปากและฟันของสุนัขทุกครั้งที่ปล่อยสุนัขออกนอกบ้าน ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การพาสุนัขของท่านไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและสุขภาพฟันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
แม้ว่าในน้ำลายสุนัขจะมีเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เราไม่จำเป็นตื่นตระหนกตกใจจนเกิดเหตุ เพียงแค่รู้จักวิธีการป้องกันและปฏิบัติตัวในการรักษาสุขอนามัยอย่างถูกต้องและถูกวิธีก็สามารถลดโอกาสในการติดเชื้อจากน้ำลายสุนัขลงได้ ดังนั้นอย่าให้ความวิตกกังวลทำให้คุณไม่กล้าที่จะแสดงความรักต่อสัตว์เลี้ยง จงดูแลและรักษาซึ่งกันและกันไว้ เพราะอย่างน้อยสุนัขก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์
อย่าปล่อยให้สุนัขเลียหน้าลูก
ที่มา : sg.theasianparent
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ลูกเหงื่อออกตอนนอน สัญญาณโรคร้ายที่พ่อแม่ต้องระวัง
เคล็ดลับเพิ่มความสะดวกในการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน สำหรับคุณแม่ทำงาน
ปัจจัยสำคัญที่คุณแม่ควรรู้ ในการเลือกนมกล่อง UHT ให้ลูก นมโคแท้ 100% ที่ดีเป็นยังไง มาดูกัน
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!