เมื่อแม่ต้องเผชิญ ภาวะคลอดยาก เพราะแม่นั้นอุ้งเชิงกรานแคบ ลูกหัวโต จนแม่ไม่แน่ใจว่า คลอดธรรมชาติได้ไหม หรือจำเป็นต้องผ่าคลอด cpd คือ อะไร ดิเอเชี่ยนพาเร้นท์ มีตัวอย่าง มาให้แม่ ๆ ได้อ่านกันค่ะ
ภาวะคลอดยาก อุ้งเชิงกรานแคบ cpd คือ อะไร
อุ้งเชิงกราน หรือ cpd คือ กระดูกเชิงกราน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่ห่อหุ้มช่องทางคลอด เป็นตัวกำหนด ลักษณะช่องทางคลอด อุ้งเชิงกราน เป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อระหว่างช่องท้องกับขาของคุณแม่ ในอุ้งเชิงกรานของผู้หญิงทุกคนประกอบด้วยอวัยวะสำคัญ ได้แก่ มดลูก ปากมดลูก ปีกมดลูก รังไข่ อุ้งเชิงกรานทำหน้าที่พยุงค้ำจุนอวัยวะภายในเหล่านี้ไว้
cpd คือ หนึ่งใน สาเหตุที่ทำให้คลอดยาก
- ในผู้หญิงที่มีรูปร่างเตี้ย มีผลคือ ช่องคลอดจะสั้นซึ่งน่าจะดีว่าระยะทางผ่านของทารกย่นระยะลง แต่ความจริงแล้วผู้หญิงที่มีรูปร่างเตี้ยกระดูกเชิงกรานมักจะเล็กและสอบเข้าหากันทำให้ช่องคลอดแคบ ดังนั้น เมื่อเชิงกรานแคบทำให้ช่องคลอดแคบตามไปด้วย
- โดยเฉลี่ยผู้หญิงที่มีความสูงน้อยกว่า 150 เซนติเมตร ถือว่าต้องระวัง ในขั้นตอนการคลอดทารกอาจคลอดออกมาติดหัวไหล่ ทำให้การคลอดทุลักทุเล อาจส่งผลร้ายทำให้ทารกพิการหรือเสียชีวิตได้
- หากคุณแม่ที่มีอุ้งเชิงกรานแคบ และมีความประสงค์อยากจะคลอดเองนั้นสามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ค่ะ เพียงแต่ทารกในครรภ์อาจจะต้องตัวเล็ก มีขนาดไม่เกิน 3000 กรัม
- ปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญ คือ มีลมเบ่งเก็บแรงเบ่งได้ดีมาก ลูกตัวไม่ใหญ่มาก ก็สามารถคลอดเองได้ แต่คุณแม่ต้องอึดและอดทนมากค่ะ และถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ก็สามารถคลอดเองได้ค่ะ
- ถ้าปล่อยให้เจ็บท้องคลอด คุณแม่อาจจะเจ็บทรมานยาวนานเกินไป อาจเกิดอันตรายกับคุณแม่และทารกได้ กรณีเช่นนี้ คุณหมอมักจะผ่าตัดคลอดเพื่อความปลอดภัยของแม่และลูกค่ะ
อ่านเพิ่มเติม : สาเหตุที่ทำให้คลอดยาก เป็นเพราะ 7 สาเหตุนี้
ภาวะที่อุ้งเชิงกรานแม่กับขนาดศีรษะทารกไม่เหมาะสมกัน
เพจใกล้มิตรชิดหมอ ได้โพสต์ #เรื่องเล่าจากห้องคลอด cpd คือ อธิบายถึงภาวะ cephalopelvic disproportion หรือ CPD ภาวะที่อุ้งเชิงกรานแม่กับขนาดศีรษะทารกไม่เหมาะสมกัน เป็นประสบการณ์แม่ท้องท่านหนึ่ง ไว้ว่า
คุณแม่ท้องที่สองรายหนึ่ง อายุครรภ์ 38 สัปดาห์พอดี คุณแม่น้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ ประมาณ 100 กว่ากิโลกรัม และเมื่อรีวิวประวัติหมอพบว่าความดันโลหิตของคุณแม่อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงมาตลอดการตั้งครรภ์ แม้จะยังไม่ถึงขั้นวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันสูงก็ตาม
เมื่อได้ตรวจคลำหน้าท้องของคุณแม่ พบว่าเด็กตัวค่อนข้างโต หมอกะประมาณน้ำหนักน่าจะเกิน 3500 กรัม และศีรษะค่อนข้างลอย คือ ยังไม่ลงในอุ้งเชิงกราน
จึงคุยกันในทีมว่า เนื่องจากความดันคุณแม่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ แม้จะยังไม่เข้าเกณฑ์ครรภ์เป็นพิษ เพราะไม่มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ และประเมินน้ำหนักเด็กก็ดูตัวใหญ่ด้วย จึงให้ทางเลือกในการกระตุ้นคลอด ซึ่งเมื่อหมอคุยกับคุณแม่ ก็ตัดสินใจกระตุ้นคลอดตามที่หมอแนะนำ
คุณแม่รายนี้แม้จะเป็นท้องที่สอง แต่เนื่องจากท้องแรกแท้งตอนไตรมาสแรก จึงยังไม่เคยคลอดมาก่อน การประเมินจึงต้องประเมินเหมือนท้องแรก
ขั้นตอนก่อนการกระตุ้นคลอด ก็จะต้องประเมินปากมดลูกว่าพร้อมที่จะรับการกระตุ้นหรือยัง ซึ่งเมื่อประเมิน ปากมดลูกค่อนข้างนุ่ม และเปิดประมาณ 1 เซนติเมตร บางตัวนิดหน่อย ถ้าจะให้คะแนนความพร้อมของปากมดลูกก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง นั่นแปลว่าโอกาสกระตุ้นสำเร็จ สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ กับโอกาสล้มเหลวก็พอๆ กัน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการที่คุณแม่อ้วนมาก ก็จะมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ cephalopelvic disproportion หรือ CPD เพิ่มขึ้น ซึ่งแปลตามตัว คือ ภาวะที่อุ้งเชิงกรานแม่กับขนาดศีรษะทารกไม่เหมาะสมกัน อาจจะแสดงในลักษณะที่ว่ากระตุ้นคลอดไปแล้ว ปากมดลูกไม่เปิดเพิ่ม หรือปากมดลูกเปิดระยะหนึ่งแล้วศีรษะเด็กไม่ลงมาก็ได้ หลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า ปากมดลูกไม่เปิด หรือหัวเด็กไม่ลง แล้วทำให้ต้องไปผ่าคลอดกันบ่อยๆ แต่อย่างที่เคยบอก เสี่ยงเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าจะเกิดแน่ๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เหตุผลว่าจะต้องไปผ่าคลอดเลย ยังสามารถลองกระตุ้นให้คลอดทางช่องคลอดได้ แต่แค่พึงระลึกไว้ในใจว่าอาจจะเกิด CPD ได้นะ
คุณแม่ก็ได้รับแจ้งข้อมูลทั้งหมดแล้ว ทั้งวิธีการที่จะกระตุ้นคลอด และความเสี่ยง รวมถึงโอกาสล้มเหลวของการกระตุ้นคลอดแล้วอาจจะต้องผ่าคลอด หมอก็นัดคุณแม่มากระตุ้นคลอดในวันต่อมา
คุณแม่มาแต่เช้า ก็ได้รับยากระตุ้นการหดตัวของมดลูกทางน้ำเกลือตั้งแต่แปดโมงเช้า มดลูกก็หดตัวดีทุก 2-3 นาทีมาตลอด ระหว่างนั้นปากมดลูกก็เปิดอย่างช้าๆ
#ความรู้เพิ่มเติม โดยปกติช่วงแรกตั้งแต่ปากมดลูกเริ่มเปิดจนเปิดประมาณ 3-4 เซนติเมตร จะเปิดอย่างช้าๆ ค่ะ เรียกช่วงนี้ว่า latent phase ซึ่งระหว่างนั้นก็อาจจะดูแลห่างๆ เช่นมาจับการหดตัวของมดลูกเป็นระยะๆ ทุก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ระยะนี้อาจจะกินเวลานานเป็นครึ่งวัน เป็นวันหรือหลายวันก็ได้ ดังนั้นคุณแม่ท่านไหนยังอยู่ในระยะนี้และไม่มีสาเหตุอะไรให้ต้องรีบคลอด ก็ไม่ต้องไปสงสัยนะคะ ถ้าคุณหมอ คุณพยาบาลจะแค่มาประเมินนานๆ ครั้ง
กลับมาที่คนไข้ของหมอกันต่อ คุณแม่ได้รับยากระตุ้นตั้งแต่ 8 โมงเช้า เธอก็เจ็บท้องถี่ๆ มาเรื่อยๆ (อย่างที่บอกว่าทุก 2-3 นาที) ระหว่างนั้นหมอกับพยาบาลก็ผลัดกันมาดูการแข็งตัวของมดลูกและการเต้นของหัวใจเด็กเป็นระยะ อย่างน้อยก็ 30 นาทีครั้ง ซึ่งมดลูกก็หดตัวดีตลอด และหัวใจทารกก็เต้นดีตลอด
ประมาณเที่ยง ปากมดลูกก็เปิดประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่เนื่องจากศีรษะทารกยังอยู่สูง จึงไม่ได้กระตุ้นเพิ่มด้วยการเจาะถุงน้ำคร่ำ
ตอนบ่ายสอง คุณแม่ก็มีน้ำเดินเอง คุณหมอประจำห้องคลอดจึงมาตรวจภายในอีกครั้ง พบว่าปากมดลูกเปิดเพิ่มเป็น 4 เซนติเมตร และบางตัวเพิ่มขึ้น
หมออยู่เวรต่อคืนนั้น ก็มารับเวรตอน 4 โมงเย็น (ตอนเช้าเป็นเวรของหมอท่านอื่น) จึงประเมินปากมดลูกซ้ำ ก็พบว่ายัง 4 เซนติเมตรอยู่เท่าเดิม ณ ตอนนี้อาจจะวินิจฉัยว่า เป็นภาวะ CPD ได้ เนื่องจากปากมดลูกไม่เปิดเพิ่ม
นับเวลาตั้งแต่เริ่มกระตุ้นคลอดจนถึงตอนที่หมอมารับเวร คือ คุณแม่เจ็บท้องมา 8 ชั่วโมงแล้ว
ถึงเวลานั้น หมอซึ่งเป็นอาจารย์เวรคืนนั้น และทีม คือ น้องๆ หมอที่กำลังเรียนเฉพาะทางสูติ ก็คุยกันถึงแนวทางการดูแลต่อข้างเตียง ร่วมกับคนไข้ (ซึ่งกำลังนอนเจ็บครรภ์ทุก 2-3 นาทีและดูเจ็บมาก แต่มีสติไม่โวยวาย)
เรา (หมายถึงหมอ ทีมของหมอ และคนไข้) คุยถึงทางเลือกหลังจากนี้ โดยมี 2 ทางเลือก คือ
- ไปผ่าตัดคลอด เลย ด้วยข้อบ่งชี้ คือ CPD ซึ่งหมอก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าการผ่าคลอดอาจจะไม่ง่าย เพราะว่าคนไข้อ้วนมาก ชั้นไขมันหนา ในทางเทคนิคการผ่าตัดจะยากกว่าคนที่ไม่อ้วน และเพราะไขมันหนาก็ทำให้เสี่ยงต่อการที่แผลผ่าตัดจะมีปัญหา เช่น แผลแยก แผลติดเชื้อได้เยอะกว่าคนไม่อ้วน นอกจากนี้เวลาผ่าตัดคลอดต้องระงับความรู้สึกด้วยการฉีดยาเข้าไขสันหลัง หรือบล๊อคหลัง ก็ทำได้ยากกว่าคนไม่อ้วน เพราะคลำกระดูกสันหลังยาก หาตำแหน่งยาก และคำนวณระดับยาได้ยากซึ่งเป็นปัญหาในการผ่าตัดคนอ้วนที่อาจจะเกิดได้ และคนไข้ต้องทราบก่อน
- ให้ยากระตุ้นต่อ และรอประเมินอีกครั้งอีกประมาณ 2 ชั่วโมงข้างหน้า ถ้าปากมดลูกเปิดเพิ่ม ก็เฝ้าคลอดต่อไปเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่เปิดเพิ่มก็คงต้องผ่าคลอด เพราะว่าไม่อยากให้การกระตุ้นคลอดใช้เวลานานเกินไป เพราะเสี่ยงต่อการที่มดลูกจะล้า แล้วอาจจะเกิดปัญหามดลูกแข็งตัวไม่ดีแล้วตกเลือดหลังคลอดได้
#ตัดสินใจ
ท้ายที่สุดแล้ว เพจใกล้มิตรชิดหมอ ได้สรุปเหตุการณ์ว่า คุณแม่ซึ่งกำลังเจ็บปวดจากการที่มีมดลูกบีบตัว แต่มีสติตลอดที่หมอและคุณแม่กำลังคุยปรึกษากันนั้นก็ตัดสินใจว่าจะรออีก 2 ชั่วโมง แล้วค่อยประเมินอีกครั้ง
สองชั่วโมงต่อมา น้อง resident ตรวจภายในประเมินแล้วบอกว่าเปิดเพิ่มเป็น 8 เซนติเมตร
#ความรู้เพิ่มเติม ระยะหลังจากที่ปากมดลูกเปิด 3-4 เซนติเมตร ปากมดลูกจะเปิดด้วยอัตราเร็วที่เพิ่มขึ้น เรียกระยะนี้ว่า active phase ระยะนี้คุณหมอกับคุณพยาบาลจะมาดูคนไข้ถี่ขึ้นเป็นทุก 15-30 นาทีค่ะ
นั่นแสดงว่า ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง เข้าสู่ระยะ active phase แล้ว น้อง resident บอกว่าศีรษะเด็กก็เริ่มเข้าสู่อุ้งเชิงกรานแล้ว ดูแนวโน้มน่าจะเป็นไปในทางที่ดี
หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง ปากมดลูกก็เปิดหมด 10 เซนติเมตร คุณพยาบาลจึงให้แม่ลองซ้อมเบ่ง พอศีรษะเด็กเริ่มเคลื่อนลงมาจนเกือบตุงตรงปากช่องคลอด ก็ย้ายไปห้องเบ่งคลอดและตามคุณหมอ resident มาทำคลอด (หมออาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าคนไข้ตลอด เพราะต้องแบ่งหน้าที่กันไปดูคนไข้ส่วนอื่นๆ เช่น คนไข้ในบนหอผู้ป่วย หรือรับปรึกษาคนไข้สูตินรีจากคุณหมอที่ห้องฉุกเฉิน)
ย้ายเข้าไปไม่นาน คุณแม่เบ่งคลอดตามที่หมอและพยาบาลบอกอย่างถูกวิธี คือ รอจังหวะให้มดลูกบีบตัว ซึ่งหมอกับพยาบาลจะส่งสัญญาณบอก สูดหายใจเข้าสุดแล้วกลั้นไว้ แล้วเบ่งฮึบเต็มแรงเหมือนเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระ ไม่กรีดร้องดราม่าเหมือนในละครให้เสียแรง เบ่งแค่สองสามทีก็คลอด
เด็กน้อยคลอดออกมาด้วยน้ำหนัก 3560 กรัม เท่าที่หมอคาดคะเนไว้ตอนแรก
แล้วคุณหมอ resident ก็ทำคลอดรก และเย็บแผล เป็นอันเสร็จพิธี
อ่านเพิ่มเติม : เพจใกล้มิตรชิดหมอ
สรุปได้ว่า การผ่าตัดคลอด ไม่ได้จำเป็นสำหรับคุณแม่ทุกท่าน ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ทางร่างกาย จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยแต่ละกรณีไป
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
6 สัญญาณเตือน โค้งสุดท้ายใกล้คลอด คุณแม่เตรียมตัวได้เลย
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บท้องคลอด วิธีสังเกต และแยกระหว่างปัสสาวะรั่วกับถุงน้ำคร่ำแตก
ผ่าคลอดแนวยาว ผ่าคลอดแนวขวาง ข้อดีข้อเสีย และวิธีดูแลแผลผ่าคลอด
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!