ตารางการนอนทารกแรกเกิด – 15 เดือน พ่อแม่รู้ไหมว่าลูกน้อยควรนอนนานเท่าไหร่ในแต่ละวัน แบ่งเป็นกลางวันกี่ชั่วโมง การคืนกี่ชั่วโมง และจำเป็นต้องนอนบ่อยแค่ไหนกันนะ วันนี้เราจะมาบอก ตารางการนอนทารกแรกเกิด ที่ควรนอนในแต่ละวัน ลูกน้อยควรนอนนานเท่าไหร่ถึงจะดีต่อทารกที่สุด มาดูกันเลย

เริ่มฝึกลูกนอนเป็นเวลาได้ตอนอายุเท่าไหร่
การนอนหลับของทารก เป็นหนึ่งในพัฒนาการของเด็กเช่นเดียวกัน ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถทำได้ภายใน 4 – 5 สัปดาห์แรกหลังจากที่ลูกคลอดออกมา เพราะว่าเด็กยังมีพัฒนาการทางด้านระบบประสาทไม่ดีพอ ต้องรอให้ทารกอายุได้ประมาณ 4 เดือนก่อน พ่อแม่จึงจะเริ่มฝึกลูกให้นอนเป็นเวลาได้ ซึ่งก็ต้องค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ ฝึกลูกกันไป ให้ลูกน้อยได้พัฒนาเรื่องการนอนด้วยตัวเอง
โดยทาง American Academy of Pediatrics ระบุว่า ทารกยังไม่มีวงจรการนอนหลับแบบปกติจนกว่าพวกเขาจะมีอายุ 6 เดือน ดังนั้น พ่อแม่อาจต้องอดทนรอไปจนกว่าลูกน้อยจะพร้อมในการฝึกการนอนเป็นเวลา
ตารางการนอนของทารก
|
ช่วงอายุของทารก |
จำนวนการนอน (ครั้ง/วัน) |
ชั่วโมงการนอนกลางวัน |
ชั่วโมงการนอนกลางคืน |
แรกเกิด – 4 เดือน |
4 – 5 |
7-8 |
15 – 16 |
4 – 6 เดือน |
3 |
3 – 4½ |
10 – 12 |
6 – 9 เดือน |
2 |
3 – 4 |
10½ – 12 |
9 – 12 เดือน |
1 |
3 + |
10½ – 12 |
12 – 15 เดือน |
1 |
2 – 2½ |
10½ – 12 |
วิธีพาลูกเข้านอนในแต่ละวัน
สำหรับคุณแม่ที่ต้องพาลูกเข้านอนในช่วงกลางวัน แนะนำว่า ให้ลูกเข้านอนในช่วงเวลาไม่เกินบ่าย 2 หรือ บ่าย 3 เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกนอนนานเกินไปจนไม่สามารถนอนตอนกลางคืนได้ โดยที่ระหว่างวันคุณแม่ต้องปล่อยให้ลูกได้เล่นได้อย่างเต็มที่ หรือถูกกระตุ้นด้วยการพูดคุย การร้องเพลง การอ่านหนังสือ การให้เจ้าตัวน้อยได้เล่นระหว่างวันจะทำให้ลูกนอนหลับได้ดีในตอนกลางคืน
สำหรับในช่วงกลางคืน แนะนำว่า คุณแม่ควรทำให้ลูกหลับภายในระยะเวลา 30 นาที และควรพาลูกเข้านอนก่อนเวลา 20:00 น. เพราะถ้าหากลูกนอนดึกไปมากกว่ากว่านี้จะยิ่งทำให้ลูกหลับยากขึ้น และตื่นกลางดึกบ่อย คุณแม่ก็จะเหนื่อยมากขึ้น และได้พักผ่อนน้อยลงไปอีก ซึ่งวิธีการกล่อมลูกนอนหลับ มีดังต่อไปนี้
1. หรี่ไฟในห้องนอนลง อย่าให้สว่างเกินไป หรือมืดเกินไปจนคุณมองไม่เห็น
2. อ่านหนังสือ หรือ อ่านนิทานให้ลูกฟัง
3. ร้องเพลงเบา ๆ เพื่อขับกล่อมให้ลูกนอน
4. นวดผ่อนคลายลูกเบา ๆ
5.ใช้ผ้าห่อตัวลูก แต่อย่าให้แน่นเกินไป และควรเว้นบริเวณช่วงจมูกไว้ด้วย เพื่อป้องกันโรคไหลตายในทารก
6. หากลูกติดผ้าหรือตุ๊กตาก็ควรหยิบมาให้ลูกกอด
8. ตบหลังลูกเบา ๆ เป็นจังหวะให้ลูกเคลิ้มจนหลับไป
9. ใช้เสียงธรรมชาติให้ลูกหลับ ที่เรียกว่า White Noise เช่น เสียงพัดลม เสียงฝน
10. อุ้มลูกแล้วโยกตัวไปมา จนกว่าลูกเคลิบเคลิ้มแล้วหลับไป

วิธีทำให้เด็กหลับยาวมากยิ่งขึ้น
1. การพาเด็กเข้าห้องนอนก่อนเด็กจะหลับ เป็นอีกวิธีทำให้เด็กหลับยาว
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ มักจะเผลอปล่อยให้ลูกนอนหลับขณะที่ตนกำลังอุ้มลูกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการอุ้มพาดบ่า หรืออุ้มแนบอก การที่เด็กหลับขณะที่เราอุ้มอยู่นั้นจะทำให้เด็กติดเป็นพฤติกรรม หมายความว่า ต่อจากนี้ไป เด็กจะไม่ยอมนอนจนกว่าเราจะอุ้มไว้ และเมื่อเราเอาลูกไปวางบนที่นอนหลังจากที่หลับคาอกเราแล้ว เมื่อเด็กตื่นขึ้นมา เด็กจะร้องและไม่สามารถหลับต่อได้เอง เนื่องจากว่าสภาวะก่อนที่เขาจะหลับได้เปลี่ยนไปแล้ว
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรที่จะพาลูกไปนอนยังที่นอนของเขาก่อนที่เขาจะหลับเสมอ หากเป็นช่วงที่กินนม แล้วเขาเผลอกินแล้วหลับละก็ ลองอุ้มลูกไปที่นอนจากนั้นก็อาจจะกระตุ้นให้แกตื่นด้วยการลูบเบา ๆ ที่หัวแม่เท้า หรือจักจี้ที่ฝ่าเท้าเบา ๆ เพื่อเด็กรู้สึกตัวอีกครั้ง จากนั้นคุณค่อยให้ลูกนอนหลับ ฝึกแบบนี้บ่อย ๆ จะทำให้เด็กชินกับที่นอนมากกว่าการนอนบนอกหรือบ่าของคุณพ่อคุณแม่ หรืออาจจะเลื่อนเวลาในการให้นมให้เร็วขึ้นอีกนิด เพื่อที่เขาจะได้กินนมหมด แล้วยังพอมีเวลาที่คุณจะพาแกไปยังที่นอน
2. วิธีทำให้เด็กหลับยาว ด้วยการบอกเด็กทุกครั้งว่าถึงเวลาเข้านอน
การพูดกับลูก แม้ว่าลูกจะยังเป็นทารก หรือเด็กที่เริ่มโตแล้วก็ตาม เด็กจะสามารถเรียนรู้ได้ อย่าเพิ่งคิดว่าแกฟังไม่รู้เรื่อง หากคุณพาแกไปยังที่นอนแล้ว คุณควรที่จะใช้คำพูดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกครั้งในการบอกแกว่า ได้เวลานอนแล้ว น้ำเสียงควรจะเป็นโทนต่ำ ราบเรียบ เพื่อเป็นการฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ว่า เมื่อพ่อแม่พูดคำนี้ น้ำเสียงแบบนี้บนที่นอน นี่คือสัญญาณว่าได้เวลานอนแล้ว
3. วิธีทำให้เด็กหลับยาว ด้วยการให้เด็กหลับด้วยวิธีเดียวกันเสมอ ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการนอนตอนกลางวัน กลางคืน คุณควรที่จะฝึกให้เขาเรียนรู้ว่า เมื่อคุณปฏิบัติตามเคล็ดลับที่ 1 และ 2 แล้ว นั้นคือเวลาเข้านอนของเขาแล้ว แรก ๆ เด็กอาจจะปรับตัวไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป เด็ก ๆ จะสามารถเรียนรู้ได้เอง คุณพ่อคุณแม่ต้องอดทนและให้เวลากับลูกให้มาก
4. วิธีทำให้เด็กหลับยาว ด้วยการพยายามอย่าอุ้มเด็กขึ้นมาเมื่อเด็กตื่น
หากลูกรู้สึกตัว อาจเกิดจากกำลังขับถ่าย หรืออาจจะเพราะได้ยินเสียงดังเลยตกใจตื่น หรือด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามที่เราเห็นว่าแกยังนอนไม่เต็มอิ่ม คุณไม่ควรที่จะอุ้มแกขึ้นมากล่อม แค่เพียงพูดคุยในประโยคเดิม ๆ ว่าได้เวลานอนแล้ว สัมผัสแกให้รู้ว่าคุณอยู่ข้าง ๆ และให้แกรู้สึกว่าปลอดภัย จะสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้องมาคอยอุ้มกล่อมลูกในยามดึกได้
5. จัดบรรยากาศของห้องนอน เป็นอีกหนึ่งวิธีทำให้เด็กหลับยาว
ก่อนที่ลูกจะหลับตาลงนั้น สภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแสง อากาศ เสียง หรืออุณหภูมิในห้อง เด็ก ๆ ล้วนบันทึกไว้ก่อนหลับแล้ว คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรที่จะเปลี่ยนหรือทำให้สภาวะห้องเปลี่ยนไป เพราะเมื่อเด็กตื่นขึ้น หากเขาเห็นว่าห้องไม่เหมือนเดิม เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัย และร้องไห้มากกว่าเดิม
คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มฝีกได้ตั้งแต่วัยแบเบาะเลย ไม่ยากใช่ไหม ยิ่งเริ่มฝึกเร็วยิ่งส่งผลดีแต่คุณพ่อคุณแม่ ลูกน้อยจะมีพฤติกรรมการนอนที่ดี ส่งผลให้พัฒนาการทางกายดีและพัฒนาการทางอารมณ์เยี่ยมไปด้วยเช่นกัน
เด็ก 2 – 4 เดือนแรก พบเสียชีวิตจากการนอนมากที่สุด
เด็กขวบปีแรกเสี่ยง SIDS ที่สุด SIDS มักเกิดในเด็กแรกเกิด – 1 ปี ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กอายุ 2 – 4 เดือน ซึ่งเสียชีวิตขณะนอนหลับ คือนอนแล้วไม่ตื่นอีกเลย โดยที่ก่อนนอนนั้นเด็กไม่มีโรคหรืออาการผิดปกติแต่อย่างไร แต่มักพบว่า เด็กที่เสียชีวิตด้วยโรค SIDS นั้น ส่วนใหญ่มารดาสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า อายุน้อยกว่า 20 ปี ขณะตั้งครรภ์ เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด หรือ เด็กทารกที่แรกคลอดน้ำหนักตัวน้อย และ ยังพบในเด็กที่อยู่ในบ้านที่มีผู้สูบบุหรี่อีกด้วย

คำแนะนำสำหรับการนอนที่ปลอดภัย
1. นอนหงายเท่านั้น เว้นแต่มีคำแนะนำจากแพทย์เป็นบางกรณี
2. ก่อนลูกนอนตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีวัสดุนุ่มนิ่ม เช่น ผ้าห่มฟูๆ หมอน หมอนข้าง วัสดุกันกระแทกรอบๆเตียงที่อาจอุดจมูกหรือปากของลูกจนหายใจไม่ได้
3. เลือกใช้อุปกรณ์สำหรับทารกนอนหรือเตียงชนิดที่มีมาตรฐานความปลอดภัย
4. ห้องนอนลูกควรมีอุณหภูมิที่เย็นพอ ไม่อุ่นหรืออบอ้าวจนเกินไป เพราะอากาศร้อนอบอ้าวจะทำให้หายใจได้ลำบากขึ้น
5. คุณแม่ไม่ควรใส่เสื้อผ้าหลายชั้นหรือพันแน่นตัวลูกเกินไป ทำให้หายใจไม่สะดวก และความร้อนมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ SIDS
6. คนในบ้านไม่สูบบุหรี่ในที่มีลูกน้อย เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ SIDS และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูก
อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว คุณแม่หลายๆคนกังวลใจ จนไม่นอนหลับนั่งจ้องลูกทั้งคืน หากคุณแม่จัดสิ่งแวดล้อมและท่านอนตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว ก็อย่าได้กังวลใจไปเลย ที่สำคัญตรวจสอบที่นอนก่อนลูกนอนทุกครั้ง
ที่มา: healthyway
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
ทำไมทารกร้องไห้หลังกินนม ลูกดูดนมแล้วร้องไห้เป็นเพราะอะไร??
ตารางพัฒนาการ ทารกแรกเกิด-6 ปี ด้านการเคลื่อนไหว มองเห็น และสื่อสารภาษา
ทารกติดโรค จากผู้ใหญ่ ทารกป่วยบ่อย ติดเชื้อจากพ่อแม่ ครอบครัว คนป่วยต้องอยู่ให้ห่างลูก
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!