ท้องทําไงดี โดยเฉลี่ยแล้วการตั้งครรภ์จะใช้เวลาประมาณ 283 วันโดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงตามระยะการตั้งครรภ์ต่างๆ โดยแต่ละช่วงจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแตกต่างกันไป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเกิดเร็วขึ้นหรือช้าลงกว่าที่กำหนดไว้ไปตามแต่ละบุคคล และอาจเกิดขึ้นต่อเนื่องหลังจากหมดระยะการตั้งครรภ์ที่อาการได้แสดงออกมาเป็นครั้งแรก

ท้องทําไงดี ระยะแรก (สัปดาห์ที่0-12)
ช่วงระยะแรกเป็นช่วงที่สำคัญมากระหว่างคุณแม่และทารกในครรภ์ ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตประจำวันของตัวคุณแม่
ในระยะนี้ ร่างกายของคุณแม่จะเริ่มเตรียมตัวเองสำหรับอีกเก้าเดือนข้างหน้า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลจากฮอร์โมนมากมายในร่างกาย คุณแม่จะต้องพบกับประสบการณ์ต่างๆนานา จากอาการของร่างกาย และอารมณ์ของตัวเอง
ในช่วงสองเดือนแรกของการตั้งครรภ์ร่างกายอาจรู้สึกอ่อนเพลียมาก คุณแม่ไม่ควรรู้สึกแย่กับความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายกำลังทำงานอย่างหนัก และระบบภายในต่างๆกำลังปรับตัวรองรับระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น ควรหาโอกาสพักผ่อนให้ได้มากที่สุด
คุณแม่อาจจะต้องเผชิญกับอาการแพ้ท้องในตอนเช้า ซึ่งอาการจะหนักที่สุดในช่วงอาทิตย์ที่ 8-12 น้ำลายจะเริ่มถูกผลิตออกมามากผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย อารมณ์แปรปรวน รำคาญง่าย มีฝ้าบนใบหน้า ตัวพอง และอยากอาหาร หน้าอกจะมีความรู้สึกไวต่อการกระตุ้น หรือรู้สึกอวบและหนักขึ้น หัวนมและพานนมจะมีการขยายขึ้นรวมถึงมีสีที่คล้ำขึ้น
ผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญกับอาการปวดหัวในช่วงระยะแรก ซึ่งเกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำหรือเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงเวลาที่มีการยืนหรือนั่งที่เร็วเกินไป ระหว่างระยะแรกน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นมา 1-3 กิโลกรัม
คุณแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงในการแท้งบุตรซี่งเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่เกิดขึ้น คุณแม่อาจจะพิจารณาการทำอัลตร้าซาวน์ ซึ่งจะช่วยให้เห็นด้านหลังของคอทารกและสามารถวิเคราะห์โอกาสที่ทารกจะมีอาการของดาวน์ซินโดรม
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : รวม 10 เมนูอาหาร บรรเทาอาการแพ้ท้อง สำหรับคุณแม่แพ้ท้องหนัก
ทำอย่างไรให้มีความสุขเมื่อ ตั้งครรภ์
ระยะที่สอง (สัปดาห์ที่ 13 -25)
ระยะที่สอง โดยปกติ จะเป็นระยะที่คุณแม่รู้สึกดีที่สุด ในระยะนี้ คุณแม่จะรู้สึกแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมโดยรวม มีความต้องการทางเพศมากขึ้นและผิวหนังเปล่งปลั่งขึ้นพร้อมกับรูปร่างที่เปลี่ยนไป ในช่วงนี้คุณแม่จะหายจากอาการแพ้ในตอนเช้าและอาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ถ้าคุณแม่ยังรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ในการรับวิตามินบี 6 เพิ่มขึ้น
ในช่วงระหว่างนี้ คุณแม่จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ซึ่งส่วนมากจะเป็นสาเหตุมาจาก ผิวที่เริ่มแห้งกร้านช่วงบริเวณท้อง ปวดบริเวณช่วงท้อง ลมในกระเพาะอาหาร หายใจได้สั้นลง รู้สึกเสียวที่หัวใจ ผิวแตกลาย และมีอาการบวมที่บริเวณมือ เท้า ข้อเท้า และใบหน้า การเป็นตะคริวบริเวณข้อเท้าและอุ้งเท้าเป็นเรื่องปกติในการตั้งครรภ์ระยะที่สอง และอาจเกิดขึ้นจากความเหนื่อยล้าหรือได้รับแรงกดจากมดลูกลงสู่เส้นประสาทบริเวณขา ฝ่ามือและฝ่าเท้ามีอาการคันและเป็นผื่นแดงเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจน
ระหว่างช่วงที่ฮอร์โมนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะใช้เวลาทั้งหมดสามเดือนในการปรับตัว ดังนั้นคุณแม่อาจไม่สามารถทนอดกลั้นน้ำตากับหนังโศกเศร้าเคล้าน้ำตาได้ โดยไม่ปล่อยโฮออกมา
พัฒนาการการตั้งครรภ์สัปดาห์ที่ 21
ระยะที่สาม (สัปดาห์ที่26-40)
ในระยะนี้ น้ำหนักของคุณแม่จะขึ้น 0.5-1 กิโลกรัมต่ออาทิตย์จนกว่าจะเข้าสัปดาห์ที่ 36 หรือ37 ทารกจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาอีก 3 ใน 4 ของน้ำหนักตัว เพราะฉะนั้นน้ำหนักของคุณแม่จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 10-12 กิโลกรัม
เนื่องจากช่วงท้องที่มีการขยาย ร่างกายของคุณแม่จะเสียสมดุลย์ ทำให้เกิดอาการปวดหลัง การบวมของเส้นเลือดดำ อาการเจ็บบริเวณขาหนีบ หายใจสั้น และอาการเหนื่อยล้า ถือเป็นอาการปกติในช่วงระยะสุดท้ายของการ “ตั้งครรภ์” การพักผ่อนที่เพียงพอ สวมใส่เสื้อผ้ารองเท้าที่สวมใส่สบายและการออกกำลังเบาๆ เป็นสิ่งสำคัญในระหว่างการตั้งครรภ์ระยะนี้ เนื่องด้วยว่าคุณแม่จะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว อาจทำให้คุณแม่ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอเท่าที่ควร พยายามชดเชยโดยการหาเวลางีบในระหว่างวัน และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนนอนเพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นมาใช้ห้องน้ำในตอนกลางคืนบ่อยๆ
พอถึงสัปดาห์ที่ 36 คุณแม่ต้องเริ่มเตรียมตัวสำหรับการคลอด เตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็กทารกให้พร้อมกับที่วางแผนไว้ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคขวดนม ระหว่างช่วงก่อนคลอดนี้ ร่างกายของคุณแม่จะรู้สึกถึงการบีบรัดที่เพิ่มขึ้น หน้าอกของคุณแม่จะเริ่มปรับตัวสำหรับเด็กแรกเกิด และเริ่มมีน้ำนมไหลออกมา
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : เมนูอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกันหลังคลอด 6 สูตร ประโยชน์ครบสำหรับคุณแม่ในช่วงอยู่ไฟ
ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดี
ควร:
- รับประทานวิตามินสำหรับหญิง “ตั้งครรภ์”
- รักษาน้ำหนักให้คงที่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หาวิธีคลายเครียด
- พบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายก่อนคลอด
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทาน
ไม่ควร:
- สูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์
- เสพยาเสพติด
- รับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการทำให้สุก หรือ ไข่ที่ไม่สุก
บทความที่น่าสนใจอื่นๆ
ท้องแล้ว ควรฝากครรภ์เมื่อไหร่ดี?
10 คำถามกับโครงการฝากครรภ์ฟรี ให้หญิงตั้งครรภ์ไทยทุกคน
รวมแพ็คเกจฝากครรภ์ ปี 2564
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!