สาว ๆ คนไหนที่ไม่มีอาการปวดท้องประจำเดือน คงจะเป็นที่น่าอิจฉาของเพื่อน ๆ มาก เพราะส่วนใหญ่แล้ว อาการปวดท้องน้อย มักจะอยู่เป็นเพื่อนกับการมาของประจำเดือนอยู่เสมอ ปวดมาก หรือน้อย ก็แล้วแต่คนไป แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว อาการ ปวดท้องประจำเดือน อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้นกับร่างกายของสาว ๆ หากเดือนไหนรู้สึกว่า ปวดท้องประจำเดือน แบบนี้ไม่ปกติแล้ว สาว ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในร่างกาย ก่อนที่จะสายเกินแก้
ทำไมจึงปวดท้องประจำเดือน ปวดท้องเมน
ประจำเดือน หรือ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Menstruation คือการที่มีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดเป็นประจำทุกเดือน สาเหตุเกิดจากร่างกายได้สร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์อย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) เพื่อทำให้เยื่อโพรงมดลูกหนาขึ้น รองรับการฝังตัวของตัวอ่อน หลังจากการปฏิสนธิ แต่หากไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น หนังเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ ก็จะหลุดออกมา กลายเป็นประจำเดือนนั่นเอง และสาเหตุที่ทำให้สาว ๆ รู้สึกปวดท้องประจำเดือน (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Period pain) ก็เกิดจากการบีบ และคลายของมดลูกในกระบวนการลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูกนั่นเอง
ปวดท้องเมนส์ ปวดท้องเมน แบบไหนอันตราย
เคยได้ยินโรค "ช็อกโกแลตซีสต์ " กันหรือไม่ ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) หรือ ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ (Endometriosis)" เพราะปกติแล้ว เวลาที่มีประจำเดือน เยื่อบาง ๆ จะหลุดลอกปะปนมากับเลือดทางช่องคลอด แต่กลับมีบางส่วนที่ไหลย้อนขึ้นไปที่ท่อนำไข่ แล้วพาตัวเองนี้ไปฝังตัวอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ เยื่อบาง ๆ นี้สามารถเติบโตได้เหมือนกับเมล็ดพืช จากหล่อเลี้ยง และสะสมของเลือดในทุก ๆ เดือน และทำให้รู้สึกปวดท้องหนักมาก จนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังทำให้คุณมีลูกยาก จากการตีบตันของท่อรังไข่
นอกจากช็อกโกแลตซีสต์แล้ว ยังมีซีสต์อีก 2 ชนิด คือ ฟังก์ชันนัล ซีสต์ (Functional Cyst) เกิดจากการทำงานตามปกติของรังไข่ เพื่อสร้างไข่ที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายหญิง จะเป็นถุงน้ำที่โตขึ้นแล้วแตก ทำให้เซลล์ไข่ไหลออกมา หลังจากนั้นถุงน้ำนี้ก็จะค่อย ๆ ยุบตัวไปเอง ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เนื้องอกถุงน้ำรังไข่ หรือซีสต์รังไข่ (Ovarian Tumor หรือ Ovarian Cyst) ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (ไม่ใช่มะเร็ง) หรือ ชนิดร้ายแรง (มะเร็ง) ก็ได้
โดยส่วนมากแล้ว เนื้องอกแต่ละชนิดมักจะมีลักษณะเฉพาะ แต่อาการของซีสต์แต่ละประเภทมีความคล้ายคลึงกัน จึงยากที่จะรู้ได้ว่า ซีสต์ที่อยู่ในร่างกาย เป็นประเภทที่รุนแรงขนาดไหน ฉะนั้น ควรมีการตรวจร่างกายประจำปี หรือตรวจทันที เมื่อมีอาการ ดังต่อไปนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง : 20 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับประจำเดือน เช็กเลยว่าอาการไหนคือความผิดปกติ!
ลักษณะอาการปวดท้องประจำเดือนที่เกิดจากซีสต์
อาการปวดท้องประจำเดือนที่เกิดจากช็อกโกแลตซีสต์ มักจะปวดท้องมากทุกครั้งที่มีประจำเดือน โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย ถ้าทางด้านหน้า จะรู้สึกปวดตั้งแต่สะดือ ไปจนถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลัง จะรู้สึกปวดร้าวตั้งแต่ช่วงเอวไปจนถึงก้นกบ พร้อม ๆ กับมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ลำไส้แปรปรวน ท้องอืด ท้องเสีย ปวดเสียดในท้อง และจะปวดมากเวลาขับถ่าย อุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด และเข้าห้องน้ำบ่อย ส่วนอาการปวดท้องประจำเดือนที่เกิดจากรังไข่ จะมีการปวดที่ท้องน้อย ปวดหน่วง ๆ เวลามีประจำเดือน ปัสสาวะบ่อย หน้าท้องโต หรือประจำเดือนผิดปกติ มามากไป มาน้อยไป
ปวดท้องประจำเดือนแบบไหน ควรไปพบแพทย์
ทุกครั้งที่มีการปวดท้องประจำเดือน แนะนำให้สังเกตตัวเองว่าปวดท้องบริเวณไหน แล้วก่อนหน้านี้เคยปวดหรือเปล่า ปวดระดับไหน แตกต่างจากครั้งก่อนมากไหม ปวดหนักขึ้น และถี่ขึ้นหรือเปล่า หากปวดมาก จนไม่สามารถทำอะไรได้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
วิธีการรักษา เมื่อตรวจพบซีสต์ในร่างกาย
หากตรวจพบให้ระยะแรก ๆ หรือมีอาการไม่รุนแรง หมออาจจะให้ทานยา แต่ถ้าตรวจอย่างละเอียดพบว่ามีก้อนขนาดใหญ่ และมีแนวโน้มจะขยายใหญ่ขึ้น หมอทำการรักษาโดยการผ่าตัดแบบส่องกล้อง วิธีนี้แผลจะเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว แต่ถ้ามีขนาดใหญ่มาก หมออาจจะผ่าตัดช่องท้องยาวเหมือนผ่าคลอด
ปวดท้องประจำเดือน แต่ประจำเดือนไม่มา เสี่ยงเกิดภาวะ "มดลูกผิดปกติ"
อาการปวดท้องประจำเดือน ไม่เพียงแต่เกิดจากการบีบตัวของมดลูกเท่านั้น แต่อาจจะเป็นสัญญาณของมดลูกที่ผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดอาการดังนี้
- ประจำเดือนมาช้า มาไม่ปกติ หรือขาดไปเลย 2 - 3 เดือน
- มีอาการตกขาวมาก หรือมีสีผิดปกติ
- ปวดปัสสาวะบ่อยมาก หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อาจเกิดจากมดลูกเคลื่อนตัวต่ำ มากดทับบริเวณท่อปัสสาวะ
- ช่องคลอดมีกลิ่น จากการสะสมของเสียภายในมดลูก
- เกิดภาวะแท้งบ่อย หรือมีบุตรยาก
บทความที่เกี่ยวข้อง : อาการปวดมดลูก 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 71
ยาแก้ปวดท้องประจำเดือน ยาแก้ปวดท้องเมนส์ มีอะไรบ้าง
ยาที่ช่วยในเรื่องการปวดท้องประจำเดือนเรียกว่า เอ็น-เสด หรือ NSAIDs ซึ่งเป็นกลุ่มยต้านการอักเสบ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาชนิดนี้จะไปยับยั้งการสร้างโพรสตาแกลนดิน จึงทำให้ลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ กลุ่มยาเอ็น-เสด ได้แก่ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพร๊อกเซนโซเดียม (Naproxen sodium) เมฟีนามิกแอซิด (Mefenamic Acid) ซีลีค๊อกสิบ (Celecoxib) กลุ่มยาเหล่านี้ ควรมีการปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชก่อนการใช้ เนื่องจากอาจส่งผลร้ายแรงต่อผู้ที่มีประวัติการแพ้ยา หรือผู้ที่มีอาการป่วยอยู่แล้ว
การรับประทานยากลุ่มเอ็น-เสดนี้ ควรจะรับประทานภายใน 1 - 2 วันก่อนมีประจำเดือน จึงจะให้ประสิทธิภาพดีที่สุด ยาอีกตัวหนึ่งที่รู้จักกันดีนั่นคือ พอนสแตน (Ponstan) และโกเฟน (Gofen) ซึ่งเป็นยาแก้ปวดทั่วไป ยาแก้ปวดประจำเดือน มีขายใน 7-11 ที่มีเภสัชกรประจำการ และร้านขายยาทั่วไป หากต้องการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
วันนั้นของเดือน หากปวดท้องประจำเดือน กินอะไรดี
หากปวดไม่มาก อาการไม่หนักหน่วงนัก ลองรับประทานอาหารอุ่น ๆ อาจจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ ในวันมามากนี้ สาว ๆ ควรจะหลีกเลี่ยงคาเฟอีน อย่างกาแฟ ชา หรือน้ำอัดลม เพราะจะยิ่งทำให้ปวดท้องมากขึ้น เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้มีอาการปวดในช่องท้องมากขึ้นอีก ในระหว่างวันควรดื่มน้ำเยอะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่าอุ่น ๆ น้ำผึ้งผสมมะนาว หรือน้ำขิง ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวด ช่วยให้เลือดไหลเวียน และลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ที่มักจะเกิดขึ้นในวันนั้นของเดือนอีกด้วย
มื้อเช้า สำหรับวันนั้นของเดือน : รับประทานโจ๊ก หรือนมอุ่น ๆ ควรหลีกเลี่ยงคาเฟอีน
มื้อกลางวัน และเย็น สำหรับวันนั้นของเดือน : เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง แคลอรีต่ำ ช่วยลดความแปรปรวนของฮอร์โมน และช่วยในการขับถ่าย ส่วนแมกนีเซียม จะช่วยลดความหดเกร็งของกล้ามเนื้อ อาหารสำหรับมื้อกลางวัน และเย็น อาจจะเป็นผัดผักใบเขียว สุกี้ นม โยเกิร์ต กล้วย เพิ่มของว่างเป็นถั่วอัลมอนด์ หรือผลไม้ก็ได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : ของกิน แก้ปวดประจำเดือน ในเซเว่น หาซื้อง่าย ปวดท้องเมนส์ กินอะไรดี?
รับประทานวิตามิน แก้ปวดท้องประจำเดือน ปรับสมดุลฮอร์โมนให้ร่างกาย
หากร่างกายแข็งแรง ความผิดปกติต่าง ๆ รวมทั้งอาการปวดท้องประจำเดือน ก็อาจจะบรรเทาลงได้ สาว ๆ ควรจะรับประทานวิตามินบี6 วิตามินบี1 วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดโอเมก้า3 เนื่องจากโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย และจะช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมน คลายความหดเกร็งของกล้ามเนื้อ อันเป็นสาเหตุหลักของการปวดท้องประจำเดือน
ปวดท้องประจำเดือน นอนท่าไหน ท่านอนลดอาการปวดเกร็งในช่องท้อง
อีกหนึ่งวิธีการบรรเทาความปวดเกร็งในวันนั้นของเดือน ก็คือวิธีการนอนหลับที่จะช่วยลดแรงกดของกล้ามเนื้อช่องท้อง ให้คลายลงได้ ท่านอนที่ว่านี้เป็นท่าเดียวกับท่านอนของทารกในครรภ์ วิธีการนอนของทารกในครรภ์ คือ การนอนตะแคง ขาสองข้างทับซ้อนกัน และยกคู้ขึ้นมาบริเวณอก ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้
ประสบการณ์หญิงวัย 18 ปวดท้องเมนส์ ตรวจพบเนื้อร้าย เกือบเป็นมะเร็ง
บางคนคงเคยเห็นโพสต์ของ Siriporn Mahaveero อายุ 18 ปี เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 60 อยู่ในช่วงกำลังเรียนต่อมหาวิทยาลัย เมื่อประมาณเดือนกันยายน สำหรับเด็กสาวคนนี้มีอาการปวดท้องทุกครั้งที่เป็นประจำเดือน ซึ่งเป็นเยอะและปวดหนักมาก แต่เธอก็รักษาตัวเองด้วยการซื้อยามากินตลอด 3 ปี มาช่วงหลัง ๆ หันมาดูแลตัวเองมากขึ้นด้วยการออกกำลังกาย แต่ออกเท่าไหร่ท้องก็ไม่ยุบสักที จึงตัดสินใจไปหาหมอในที่สุด
จากการตรวจ พบว่า สาวน้อยคนนี้เป็นเนื้องอกที่รังไข่ มีขนาด 20 x 24 ซม. แต่เมื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจหาเนื้อร้าย ปรากฏว่าก้อนเนื้อที่ตัดออกมาเป็นเซลล์มะเร็ง ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ตอนผ่าตัดก้อนนั้นมันแตกออกจากรังไข่แล้ว
สุดท้าย น้องคนนี้ก็ต้องดรอปเรียนมารักษาตัว เพราะต้องทำคีโมอย่างต่อเนื่อง โชคยังดีที่เป็นแค่ระยะแรก มีโอกาสรักษาหายสูง แต่ถ้าปล่อยให้ปวดท้องแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วยังกินยาแก้ปวดเหมือนเดิม ตอนนั้นคงสายเสียแล้ว จากประสบการณ์ของน้อง Siriporn ที่เกิดขึ้นกับตัว ทำให้ตระหนักถึงอันตรายจากการปวดท้องแล้วทานยา จึงได้เขียนโพสต์แล้วแชร์เตือนให้กับผู้หญิงที่ปวดประจำเดือนบ่อย ๆ ว่าให้ไปตรวจภายในกันเถอะ
ถ้าใครรู้สึกปวดท้องมาก ๆ อย่าคิดว่าปวดท้องเมนส์ปกติ ลองพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย หากปล่อยทิ้งไว้นานนอกจากจะทำให้คุณมีลูกยากขึ้นแล้ว อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็งก็ได้
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ประจำเดือนมาน้อย เรื่องอันตรายใกล้ตัวที่ห้ามปล่อยผ่าน
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โรคร้ายที่อาจทำให้คุณแม่มีบุตรยาก
อาการเมนจะมา มีอะไรบ้าง แบบไหนรุนแรง ต่างจากอาการคนท้องอย่างไร?