นมแม่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามีประโยชน์ล้นเหลือมากแค่ไหน แต่สารอาหารชนิดไหนที่มีบทบาทสำคัญต่อทารกในการป้องกันลูกรักจากเชื้อโรคได้ หนึ่งในนั้นคงจะเป็นโปรตีนที่มีชื่อว่า แลคโตเฟอร์ริน คุณแม่อาจสงสัย แลคโตเฟอร์ริน คืออะไร ทำไมจึงช่วยให้ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรคได้ หาคำตอบได้จากบทความนี้
แลคโตเฟอร์ริน คืออะไร
แลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) คือ โปรตีนในนมแม่ที่สามารถย่อยได้ง่ายกว่าโปรตีนในนมผสมทั่ว ๆ ไป แลคโตเฟอร์รินทนต่อความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และสามารถจับธาตุเหล็กในลำไส้ได้ดีอีกด้วย คุณสมบัตินี้ทำให้ช่วยป้องกันแบคทีเรียในลำไส้ของทารกได้ เนื่องจากแบคทีเรียในลำไส้จะใช้โมเลกุลของธาตุเหล็กในการเจริญเติบโต เมื่อแลคโตเฟอร์รินไปจับธาตุเหล็กทำให้แบคทีเรียไม่สามารถเติบโตได้ตามปกติ ถือเป็นโปรตีนที่พบได้ตามธรรมชาติในนมแม่ ที่ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของทารกได้เป็นอย่างดี
โปรตีนชนิดนี้พบได้มากในน้ำนมเหลือง หลังคลอดใหม่ ๆ 1 – 3 วัน และยังพบได้ในนมแม่ระยะต่อ ๆ มาอยู่บ้าง นอกจากในนมแม่แล้ว โปรตีนชนิดนี้ยังมีการนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหารเสริม หรือยาบางชนิด เป็นต้น หากคุณแม่ต้องการใช้ควรปรึกษาแพทย์ และศึกษาฉลากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้ดีก่อน โดยเฉพาะตัวยาที่ไม่ควรซื้อมากินเอง แต่ต้องถามผู้เชี่ยวชาญทุกครั้งว่าปลอดภัยหรือไม่ เพราะยาหรืออาหารเสริมบางชนิดอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานที่แตกต่างกัน

ทำไมแลคโตเฟอร์รินจึงสำคัญกับทารก
ในช่วงหลังคลอดทารกแรกเกิดโดยทั่วไปจำเป็นที่จะต้องได้รับนมแม่ อย่างน้อยเป็นเวลา 6 เดือน และสามารถรับนมแม่ต่อเนื่องได้ประมาณ 2 ปี หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ความเหมาะสม เพราะในนมแม่นั้นมีสารอาหารสำคัญสำหรับทารก ถือเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้ ทารกที่ร่างกายอ่อนแอ ต้องการสารอาหารเพื่อความอิ่มท้อง และมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคภัยต่าง ๆ ได้ แน่นอนว่าโปรตีนแลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) ก็เป็นหนึ่งในสารอาหารดังกล่าวนั่นเอง
เมื่อแลคโตเฟอร์รินช่วยในการจำกัดปริมาณแบคทีเรียในลำไส้ของทารก หากไม่สามารถรับโปรตีนนี้ในนมแม่ได้ตามปกติ สิ่งที่จะตามมา คือ โอกาสในการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง และด้วยสภาวะร่างกายของทารกแรกเกิดที่ยังไม่แข็งแรงนั้น อาการติดเชื้อจะทำให้ทารกเป็นอันตรายรุนแรงได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : แลคโตเฟอรินในนมแม่ ป้องกันแบคทีเรียให้ทารก ให้นมลูกไม่ได้ควรทำอย่างไร
ในนมแม่ไม่ได้มีแค่โปรตีนแลคโตเฟอร์ริน
นอกจากโปรตีนที่เราได้หยิบยกขึ้นมา น้ำนมของคุณแม่ยังมีประโยชน์กว่าที่คิด เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่หาได้ยากในนมผง หากคุณแม่ไม่สามารถให้นมลูกได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ก็ถือว่าน่าเสียดาย เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่สำคัญนอกจากแลคโตเฟอร์ริน ดังนี้
- DHA : กรดไขมันโอเมก้า 3 DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นสารอาหารที่เราน่าจะได้ยินกันบ่อยในนมผงชนิดต่าง ๆ เพราะเป็นสารอาหารพื้นฐานที่ทารกควรจะได้รับ สารอาหารชนิดนี้มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาสมอง และการมองเห็นของทารก อย่างไรก็ตามหากคุณแม่ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ DHA ในร่างกายก็จะน้อยลงตามไปด้วย
- ไลโซไซม์ (Lysozyme) : เป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่พบในน้ำนมแม่ ซึ่งมีปริมาณมากกว่านมวัว มีความเฉพาะตัว และหาได้ยาก โดยทั่วไปแล้วจะไม่สามารถพบเจอในนมผง เนื่องจากไลโซไซม์จะถูกทำลายได้ในขั้นตอนที่ใช้ความร้อน สารอาหารชนิดนี้จะช่วยทำลายผนังเซลล์แบคทีเรีย ส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียถูกทำลายไปในที่สุด
- ทอรีน (Taurine) : เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง อย่างไรก็ตามสำหรับทารกแรกเกิดนั้น สารอาหารชนิดนี้ก็ยังถือว่ามีความสำคัญ เพราะมีส่วนช่วยในเรื่องของพัฒนาการทางสมอง และการมองเห็นคล้ายกับ DHA นั่นเอง
- MFGM : เป็นเยื่อหุ้มของกรดไขมัน รวมไปถึง DHA และ ARA ซึ่งเยื่อชนิดนี้โดดเด่นในเรื่องของโปรตีน และไขมัน มีคุณสมบัติที่ช่วยในการสร้างเยื่อไขมันหุ้มเส้นใยสมอง และช่วยในการเชื่อมต่อของระบบประสาท และเซลล์สมองได้ด้วย
- วิตามิน และแร่ธาตุ : ในนมแม่พร้อมไปด้วยวิตามินนานาชนิดทั้งวิตามิน B, C, A, และ E และยังมีแร่ธาตุที่สำคัญอย่างแคลเซียม และธาตุเหล็ก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นสารอาหารที่มีผลต่อพัฒนาการของทารกในทุก ๆ ด้าน
แม้ว่านมแม่จะมีประโยชน์อย่างมากต่อทารกน้อย แต่ปริมาณของสารอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทารกจะได้มาก ได้น้อยจากการกินนมแม่ ต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการทานอาหาร และดูแลสุขภาพของคุณแม่ร่วมด้วย จึงเป็นเรื่องที่ดี หากหลังคลอดคุณแม่จะปรึกษานักโภชนาการ เพื่อรับคำแนะนำในการทานอาหารเสริมคุณภาพน้ำนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับการพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมในแต่ละวัน

แลคโตเฟอร์รินพบได้ในน้ำนมเหลืองด้วย
นอกจากแลคโตเฟอร์รินจะหาได้ในนมแม่ทั่วไปแล้ว พบว่าโปรตีนชนิดนี้ยังมีปริมาณมากในน้ำนมเหลือง (Colostrum Milk) ซึ่งเป็นน้ำนมในระยะแรกสุด โดยน้ำนมเหลืองจะไหลออกมาช่วง 1 – 3 วันแรกหลังจากที่คุณแม่คลอดเท่านั้น สังเกตจากสีของน้ำนมที่จะออกสีเหลืองคล้ายไข่แดง และถือว่าเป็นน้ำนมแม่ในระยะที่ดีที่สุดอีกด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ๆ อย่างวัวก็มีนมเหลืองเช่นกัน แต่ไม่สามารถนำมาแปรรูปเป็นนมให้ทารกกินได้ เหมาะกับลูกวัวเท่านั้น เพราะมีแบคทีเรียสูง ในน้ำนมเหลืองของแม่จะประกอบไปด้วย MFGM และโปรตีนแลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่น ๆ เช่น โปรตีน Epidermal growth factor ที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ หรือแอนติบอดี Immunoglobulin A ช่วยในเรื่องของภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
ร่างกายของคุณแม่จะเริ่มผลิตน้ำนมเหลืองตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 แล้ว แม้ว่าน้ำนมเหลืองจะไหลออกมาหลังคลอด 1 – 3 วันเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทารกจะไม่มีโอกาสได้รับนมเหลืองเลย เพราะนมในระยะต่อ ๆ มาก็ยังพอมีส่วนผสมของน้ำนมเหลืองอยู่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่มากเท่าช่วงแรกเท่านั้นเอง หากทารกได้กินน้ำนมเหลืองจะส่งผลดีหลายด้าน เช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันต่อทารก และการป้องกันลำไส้ และอาการท้องเสีย ซึ่งเป็นการปกป้องจากโปรตีนแลคโตเฟอร์ริน
บทความที่เกี่ยวข้อง : ให้นมแม่ต้องรู้ ! ทำไมน้ำนมเหลืองดีที่สุดกับทารก มีแค่ 1-3 วันหลังคลอดเท่านั้น
สารอาหารในนมแม่โดดเด่นเรื่องภูมิคุ้มกัน
หากคุณแม่อ่านมาจนถึงตอนนี้ น่าจะเริ่มมองออกว่านอกจากนมแม่จะเป็นอาหารให้ทารกอิ่มท้อง และทำให้ทารกมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยแล้ว สารอาหารในนมแม่ทั้ง DHA, ไลโซไซม์ (Lysozyme), ทอรีน (Taurine), MFGM และวิตามินนานาชนิดแร่ธาตุต่าง ๆ รวมไปถึงโปรตีนแลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) ยังช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากเชื้อโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะแบคทีเรียในลำไส้ ในช่วงที่ทารกยังมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง
แล้วทารกจะมีภูมิคุ้มกันปกป้องร่างกายโดยไม่ต้องพึ่งนมแม่ในตอนอายุเท่าไหร่ ร่างกายของทารกจะอ่อนแอมากในช่วง 2 – 3 เดือนแรกหลังจากคลอด ในช่วงนี้ยังคงต้องการภูมิคุ้มกันเชื้อโรคจากสารอาหารในนมแม่ ก่อนที่ร่างกายจะค่อย ๆ มีภูมิคุ้มกันตามลำดับ ซึ่งคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก WHO และองค์การยูนิเซฟ UNICEF ได้แนะนำว่าหากยังสามารถให้นมทารกได้ ก็ควรให้นมอย่างต่อเนื่อง 6 เดือน เพราะสารอาหารในน้ำนม ถือว่าเป็นวัคซีนตัวแรกของทารกน้อยนั่นเอง
คุณแม่คงรู้จักโปรตีนแลคโตเฟอร์รินกันแล้ว ว่าเป็นหนึ่งในสารอาหารในน้ำนมแม่ ที่ทารกขาดไม่ได้ เพื่อให้มีพัฒนาการที่เติบโตแข็งแรงเป็นไปตามวัย และปลอดภัยจากเชื้อโรคแบคทีเรียต่าง ๆ โดยเฉพาะในลำไส้ของลูก นมแม่จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทารกแรกเกิดเสมออย่างไม่ต้องสงสัย
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
การเก็บน้ำนมแม่ เก็บอย่างไรให้คงประโยชน์ ป้อนลูกอย่างไรไม่ให้โปรตีนสลาย
วิธีทำให้น้ำนมมาเร็ว ทำให้น้ำนมแม่ไหลมาก หลังคลอดต้องทำอะไรบ้าง นมมาเร็ว
ตอบปัญหาคาใจ ? นมแม่แพ้ได้ด้วยเหรอ เรื่องใกล้ตัวที่คุณแม่ต้องรู้ !
ที่มา : 1, 2, 3, 4
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!