X
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้าเข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ตั้งครรภ์
    • คำนวณวันคลอด
    • ฉันกำลังตั้งครรภ์
    • ไตรมาสที่ 1
    • ไตรมาสที่ 2
    • ไตรมาสที่ 3
    • Project Sidekicks
    • ตั้งชื่อลูก
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • อีเว้นท์
    • TAP Awards Winners
    • TAP idol
    • TAP x Safari Largest Treasure Hunt
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

ลูกหูหนวก หรือไม่ ถ้าพ่อแม่กลัวเด็กหูหนวกจะมีวิธีสังเกตได้อย่างไร

บทความ 8 นาที
ลูกหูหนวก หรือไม่ ถ้าพ่อแม่กลัวเด็กหูหนวกจะมีวิธีสังเกตได้อย่างไร

พ่อแม่จะทราบได้อย่างไรว่าลูกที่เพิ่งเกิดนั้นมีอาการหูหนวก เนื่องจากเขายังไม่สามารถพูดได้ เราไปดูปัจจุยเสี่ยงและวิธีสังเกตลูกหูตึงกันดีกว่าค่ะ

ลูกหูหนวก หรืออาการ หูตึง ในทารกนั้นสังเกตอาการได้ยากมาก เนื่องจากลูกน้อยเพิ่งเกิดหรือยังแบเบาะ จึงไม่สามารถบอกเราได้ว่า พวกเขาได้ยินเสียงรอบข้างหรือไม่ อีกทั้งพ่อแม่ส่วนใหญ่เมื่อลูกเกิดมาแล้ว มักจะกังวลเรื่องเสียงร้องหรือสุขภาพร่างกายภายนอกว่าสมบูรณ์หรือไม่มากกว่า ดังนั้น เราจึงต้องใส่ใจกับสุขภาพที่ไม่สามารถจับต้องได้ของทารกเช่น หูตึง เขาได้ยินหรือไม่ ระบบเสียง ว่าเขาจะพูดได้หรือไม่

 

ลูกหูหนวก

ลูกหูหนวก หรือหูตึง มีความผิดปกติของหูสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ

1. โรคหูผิดปกติที่เป็นแต่กำเนิด

ก่อนอื่นตองทราบก่อนว่า ทารกในครรภ์มารดาเริ่มมีพัฒนาการของหูตอนคุณแม่มีอายุครรภ์ประมาณ 8 สัปดาห์ และเจริญสมบูรณ์ที่อายุครรภ์ประมาณ 28 สัปดาห์ ดังนั้นถ้าระหว่างตั้งครรภ์มีการถูกกระทบกระเทือนไม่ว่าจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยา การได้รับรังสี การบาดเจ็บ ล้วนมีผลกระทบต่อการเจริญและพัฒนาของหูได้ ซึ่งโรคหูที่เป็นมาแต่กำเนิด ได้แก่

  • ใบหูเล็กหรือผิดรูป
  • ไม่มีรูหูหรือมีรูหูขนาดเล็กมาก
  • ไม่มีหูชั้นกลางโดยช่องหูชั้นกลางเป็นกระดูกทึบ
  • มีหูชั้นกลางแต่กระดูกนำเสียง 3 ชิ้นแข็งติดกันไม่สามารถนำเสียงได้
  • หูชั้นในไม่เจริญทำให้มีอาการหูตึง หรือหูหนวกสนิท

 

2. ความผิดปกติหูที่เกิดขึ้นหลังคลอด

หูคนเราจะสามารถทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อท่อยูสเตเชียน (ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูก) สามารถปรับความดันในช่องหูชั้นกลางให้เท่ากับความดันอากาศภายนอก ถ้าไม่สามารถปรับแรงดันได้ ผลที่เกิดคือ

  • ช่องหูชั้นกลาง จะกลายเป็นห้องปิดที่ไม่มีช่องระบาย
  • ในช่องหูมีความดันเป็นลบและมีน้ำเหลืองขัง
  • เยื่อแก้วหู ไม่สามารถเคลื่อนไหวและนำเสียงได้ดี เพราะมีน้ำท่วมขังอยู่ด้านหลัง
  • ทารกที่มีภาวะเพดานโหว่ มักจะมีปัญหาหูอื้อ หูตึง เพราะมีความผิดปกติของกล้ามเนื้อเพดานอ่อนซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ทำหน้าที่ปิดเปิดท่อยูสเตเชียน
  • ทารกที่มีภาวะเพดานโหว่มักจะสำลักนมและอาหารผ่านรูโหว่ที่เพดานปากได้บ่อย ทำให้เสี่ยงของการอักเสบติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็น หูชั้นกลางอักเสบ แก้วหูทะลุ หูน้ำหนวกเรื้อรัง หรือหูน้ำหนวกชนิดอันตรายร้ายแรงได้

 

บทความที่เกี่ยวข้อง: ทำไมคนท้องต้องกินโฟเลต โฟลิค ข้อเสียของ โฟลิค ที่แม่ท้องต้องรู้

 

อาการหูหนวก หรือหูมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด สามารถตรวจได้อย่างไร

การที่พบว่าทารกมีหูผิดปกตินั้น สังได้เกตได้ง่านจากภายนอก เช่น ใบหูมีรูปร่างผิดแปลก ไม่มีใบหูแต่มีแก้วหู กระดูกหูและโคเคลียผิดปกติ ตรงนี้จะทำให้การนำเสียงเข้าสู่การรับเสียงนั้นลดลง เรียกว่ามีอาการหูตึงแต่ยังพอได้ยินบ้าง เพราะถ้าหากเป็นเพียงหูข้างเดียวตั้งแต่เกิด ทารกน้อยยังสามารถพัฒนาภาษาพูดได้เหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าหากเกิดขึ้นกับหูทั้ง 2 ข้าง คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อการแก้ไขก่อนอายุหนึ่งขวบซึ่งปัจจุบันแพทย์สามารถตรวจการได้ยินของเด็กตั้งแต่แรกคลอด คือ

 

ลูกหูหนวก

1. เครื่องมือ OAE (Otoacoustic Emission)

เครื่องมือที่ทำการตรวจวัดระดับเสียงสะท้อนจากหูชั้นใน เมื่อปล่อยเสียงกระตุ้นออกมา ผลที่ได้จะช่วยบอกถึงความผิดปกติของหูชั้นในได้ดี ซึ่งการตรวจชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย จึงนิยมใช้กับทารกหรือเด็กเล็กๆ ลักษณะเครื่องมือเท่าโทรศัพท์มือถือ ต่อกับสายยางเล็กๆ ปลายมีจุกยางเล็กๆ ใส่เข้ารูหู จากนั้นเครื่องจะปล่อยเสียงผ่านท่อนำเสียงเข้าหู ใช้เวลาตรวจเพียงหนึ่งนาที ในขณะที่เด็กหลับหรือตื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ยานอนหลับเด็ก ถ้าประสาทหูดีจะสะท้อนเสียงได้ปกติ ส่วนที่เสื่อมจะไม่สะท้อนออกมา

 

2. เครื่องมือ ABR (Auditory Brain Stem Response)

คือการตรวจวัดคลื่นจากประสาทหูและก้านสมองเมื่อปล่อยเสียงกระตุ้น ผลที่ได้จะช่วยบ่งชี้ภาวะหูเสื่อมจากความผิดปกติที่อยู่ถัดไปจากหูชั้นใน ซึ่งได้แก่ประสาทหูและก้านสมอง และยังช่วยประมาณระดับความรุนแรงของการได้ยินด้วย การตรวจชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยจึงสามารถเลือกใช้กับการตรวจผู้ป่วยเด็กเล็กได้ ซึ่งแพทย์มักจะตรวจซ้ำหลายครั้งจนมั่นใจ จึงจะแจ้งพ่อแม่เด็ก เนื่องจากเด็กที่ประสาทหูเสื่อมแต่กำเนิดมักจำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่ในขวบปีแรก

 

3. การตรวจแบบ Audiometry

การตรวจวัดระดับการได้ยินเสียง วิธีนี้จะวัดระดับการได้ยินทั้งเสียงที่ผ่านมาทางอากาศและเสียงที่ผ่านมาโดยตรงที่กระดูกกกหู (Bone Conduction) โดยจะใช้ตรวจกับเด็กโตอายุประมาณ 4 ปีขึ้นไป หรือผู้ใหญ่ที่สามารถให้ความร่วมมือในการตรวจได้ ส่วนเด็กเล็กอายุ 2 – 4 ปีคุณหมอจะใช้ Play Audiometry โดยใช้ของเล่นเป็นสื่อช่วยในการตรวจ

 

4. การตรวจดูการตอบสนอง BOA (Behavioral Observation Audiometry)

วิธีนี้เป็นการตรวจการได้ยินเสียงจากการสังเกตพฤติกรรม ที่ตอบสนองต่อเสียง เช่น เด็กมีอาการสะดุ้งหรือไม่ เมื่อปล่อยเสียงกระตุ้นออกมา หรือเขาจะหันมองไปทางเสียงหรือไม่ ซึ่งการตรวจชนิดนี้เป็นการตรวจเบื้องต้นในเด็กเล็กๆ ที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือในการตรวจได้ แต่ผลที่ไม่แม่นยำ 100 % จะเป็นเพียงการทดสอบคร่าวๆ เท่านั้น

 

5. ตรวจการทำงานของชั้นหูแบบ Tympanometry

คุณจะใช้วิธีนี้เพื่อดูการทำงานของอวัยวะ โดยตรวจดูการทำงานของหูชั้นกลาง ผลที่ได้จะช่วยวินิจฉัยความผิดปกติของหูชั้นกลางได้ เช่น มีภาวะมีน้ำเหลืองขังในช่องหูชั้นกลางหรือไม่ หรือภาวะที่กระดูกหูแข็งติดกันไม่สามารถนำเสียงได้ดีหรือไม่ ทั้งนี้การตอบสนองของกล้ามเนื้อหูชั้นกลางต่อเสียงกระตุ้น (Stapedial Reflex) จะเป็นตัววัดระดับความดันในช่องหูชั้นกลางซึ่งบอกถึงการทำงานของท่อยูสเตเชียน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง: แม่จ๋า! อ่านก่อนนะอย่าเพิ่งแคะหูลูกเพราะ ขี้หูมีประโยชน์มากกว่าที่คิด

สาเหตุที่ทำให้ลูกหูหนวก หลังคลอด

อีกหลายปัจจัยที่ทำให้ทารกหูตึง หูหนวก หลังคลอดจนเป็นสาเหตุทำให้เด็กมีภาวะบกพร่องทางการได้ยินไปจนถึงตอนโตได้แก่

  • เกิดจากการติดเชื้อของโรคต่างๆ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองหักเสบ โรคหัด โรคคางทูม
  • มีการติดเชื้อเรื้อรังในช่องหู สังเกตได้จากการที่ลูกเกิดภาวะหูน้ำหนวก แล้วจะนำไปสู่การเกิดหูตึง จนหูหนวก
  • เกิดจากการสะสมของเหลวในช่องหู จนเกิดการอักเสบในบริเวณหูชั้นกลาง
  • เกิดจากความกระทบกระเทือนทางศีรษะไปถึงช่องหู
  • ลูกได้ยินเสียงดังๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานานจนทำให้แก้วหูแตก
  • เกิดจากเซลล์ประสาทเสื่อม ทำให้หูตึง ตรงนี้เป็นไปตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น
  • มีสิ่งแปลกปลอมในช่องหู เช่น มีขี้หูมากเกินไป แต่ไม่แนะนำให้แคะด้วยของแข็ง ควรใช้คอตตอนบัตจุ่มน้ำหมาดๆ เช็ดบริเวณหูมากกว่า

 

 

พัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัยของการได้ยิน

อย่างที่เราทราบกันว่า หากเด็กจะพูดได้ จะต้องได้ยินเสียงก่อน แล้วจึงพูดเลียนแบบเสียงนั้น ซึ่งหากเด็กมีอาการหูหนวก หูตึง จะทำให้เด็กพูดได้ช้าหรือไม่พูดเลย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตปฏิกิริยาโต้ตอบและการเลียนแบบคำพูดของเด็ก ในช่วงอายุต่างๆ มีดังนี้

  • ทารกอายุ 1 เดือน จะเริ่มตอบสนองด้วยเสียง เช่น ถ้าเขาได้ยินเสียงดัง ทารกน้อยจะสะดุ้ง ขยับตัว หรือร้องไห้
  • ทารกอายุ 4 เดือน เริ่มหันมองหาที่มาของเสียง และทำเสียงพยางค์เดียว ว่าเขาได้ยินบางอย่าง
  • ลูกน้อยวัย 8 เดือน จะเริ่มเข้าใจหารห้ามปราม เช่น “อย่านะ” และเริ่มคุ้นชื่อตัวเอง
  • ลูกวัย 9 เดือน เริ่มเข้าใจคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ เช่น เอา หรือ ไม่เอา อาจพูดเป็นคำได้ เช่น ปา ป่ะ มา แม่
  • เด็ก 18 เดือน : เข้าใจคำสั่งและคำห้ามง่ายๆ เช่น นั่งลง พูดเป็นประโยคสั้นๆ
  • เด็กวัย 2 ขวบ สามารถพูดเป็นประโยคยาวได้แล้ว หรือเข้าใจประโยคได้ทั้งประโยค
  • เด็กอายุ 2-3 ขวบ มีความเข้าใจคำศัพท์ได้ประมาณ 400-500 คำ พูดเป็นประโยค สามารถเข้าเรียนได้
  • เด็กน้อยวัย 5 ขวบ สามารถเข้าใจ ฟัง อ่าน เขียนได้แล้ว

พ่อแม่ควรสังเกตดูลูกๆ ของตนเองว่า ถ้าเด็กอายุหนึ่งขวบแล้วยังไม่เรียกชื่อใครๆ ไม่ว่าจะพ่อแม่ สัตว์เลี้ยง  หรือจะ 2 ขวบแล้วยังพูดได้แค่พยางค์เดียว ควรปรึกษาแพทย์ถึงอาการผิดปกตินี้ค่ะ

บทความจากพันธมิตร
ว่าด้วยเรื่อง ลูกเป็นภูมิแพ้ กับ ฝุ่น PM2.5 อันตรายใกล้ตัว ที่พ่อแม่ต้องระวัง
ว่าด้วยเรื่อง ลูกเป็นภูมิแพ้ กับ ฝุ่น PM2.5 อันตรายใกล้ตัว ที่พ่อแม่ต้องระวัง
รู้หรือไม่? มลพิษทางอากาศ และ ฝุ่น PM 2.5 เข้าปอดลูกได้แม้อยู่ในครรภ์แม่
รู้หรือไม่? มลพิษทางอากาศ และ ฝุ่น PM 2.5 เข้าปอดลูกได้แม้อยู่ในครรภ์แม่
5 วิธี เสริมภูมิคุ้มกัน กุญแจสำคัญที่ทำให้ลูกรักแข็งแรง พร้อมเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ
5 วิธี เสริมภูมิคุ้มกัน กุญแจสำคัญที่ทำให้ลูกรักแข็งแรง พร้อมเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ
ป้องกัน ลูกแพ้น้ำยาซักผ้า ฉบับคุณแม่มือโปร ด้วย Breeze Baby
ป้องกัน ลูกแพ้น้ำยาซักผ้า ฉบับคุณแม่มือโปร ด้วย Breeze Baby

 

ลูกหูหนวก รักษาอย่างไร

 

บทความที่เกี่ยวข้อง:  บรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดหูให้ลูก เด็กปวดหู ทำยังไงดี

 

สัญญาณที่บอกว่า คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปตรวจหู

เมื่อไรที่ควรพาลูกๆ ไปตรวจหูและการได้ยิน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก ทันทีที่สงสัยว่าเด็กมีการได้ยินผิดปกติ โดยเริ่มต้นจากพัฒนาการทางภาษาล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน หรือวัดจากความเสี่ยงดังต่อไปนี้ เช่น

  • ประวัติครอบครัว ทั้งฝ่ายคุณพ่อคุณแม่มีเด็กหูหนวก หรือเป็นใบ้ตั้งแต่เกิด
  • เมื่อสังเกตว่าลูกมีความผิดปกติของใบหน้า เช่น ใบหูหูผิดรูป และช่องหูดูตัน
  • คุณแม่มีประวัติการติดเชื้อหัดเยอรมัน ซิฟิลิส ไข้อีสุกอีใสตั้งแต่ตั้งครรภ์
  • คุณแม่เคยดื่มสุรา สูบบุหรี่ ติดยาเสพติดหรือสารระเหย ก่อนและระหว่างตั้งครรภ์
  • ทารกอยู่ในภาวะเจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องได้รับการรักษาในหออภิบาลวิกฤตทารกแรกเกิด (ICU) นานเกิน 48 ชั่วโมง
  • ทารกเคยเจ็บป่วยในช่วงแรกคลอดจนถึงอายุ 28 วัน เช่น ตัวเหลืองจนได้รับการเปลี่ยนถ่ายเลือด หรือได้รับการใส่เครื่องช่วยหายใจ
  • เด็กเคยมีประวัติได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ
  • เด็กติดเชื้อที่ทำให้หูหนวกได้ เช่น หัด คางทูม เยื่อหุ้มสมองอักเสบและไข้สมองอักเสบ
  • อาการเจ็บป่วยด้วยโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน หรือมีน้ำในหูชั้นกลางติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
  • ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือนไม่สะดุ้งตกใจเวลามีเสียงดัง ไม่หันหาเสียง ไม่หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงปลอบหรือส่งเสียง อ้อ แอ้
  • เด็กอายุระหว่าง 6 -12 เดือน แต่ไม่ตอบสนองการเรียกชื่อพวกเขา
  • เด็กอายุระหว่าง 1-2 ขวบ แต่ยังไม่สามารถพูดคำที่มีความหมายได้

 

คุณพ่อคุณแม่ควรป้องกันการมีลูกหูหนวก หูตึงอย่างไร

ก่อนอื่นในกรณีที่ทั้งคู่ต้องการมีบุตร คุณพ่อคุณแม่ควรวางแผนครอบครัวก่อนแต่งงาน ทั้งการตรวจหมู่เลือดและซิฟิลิส อีกทั้งต้องหลีกเลี่ยงการแต่งงานในหมู่เครือญาติหรือผู้ที่มีใบหูและรูหูพิการ มีประวัติหูตึง หูหนวก (ตั้งแต่กำเนิดหรือเมื่ออายุยังน้อย) และเป็นใบ้ ถ้าเปิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้จนลูกหูตึงหรือหูหนวกแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะมีลูกคนต่อไปค่ะ

 

 

บทความที่น่าสนใจ

หู เด็กทารก ทำความสะอาดอย่างไร ให้ถูกต้อง แถมไม่ทำให้ลูก ๆ เจ็บ อ่านกันเลย !

สิ่งแปลกปลอมเข้า หู ตา จมูก ของลูก ต้องรีบปฐมพยาบาลลูกด่วน

อุทาหรณ์ เห็บหมาเข้าหู มีเด็กเล็กต้องระวัง!

ที่มา: 1 ,2

 

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

Chatchadaporn Chuichan

  • หน้าแรก
  • /
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • /
  • ลูกหูหนวก หรือไม่ ถ้าพ่อแม่กลัวเด็กหูหนวกจะมีวิธีสังเกตได้อย่างไร
แชร์ :
  • คนท้องกินต้มอึ่งได้ไหม กินเมนูอึ่งได้หรือเปล่า อะไรบ้างที่ต้องระวัง

    คนท้องกินต้มอึ่งได้ไหม กินเมนูอึ่งได้หรือเปล่า อะไรบ้างที่ต้องระวัง

  • สัญญาณเตือนออทิสติก มีอะไรบ้าง สังเกตได้จากเพลงกล่อมเด็กจริงไหม?

    สัญญาณเตือนออทิสติก มีอะไรบ้าง สังเกตได้จากเพลงกล่อมเด็กจริงไหม?

  • ยาระงับปวดระหว่างตั้งครรภ์ คนท้องกินยาพาราแก้ปวดได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?

    ยาระงับปวดระหว่างตั้งครรภ์ คนท้องกินยาพาราแก้ปวดได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?

  • คนท้องกินต้มอึ่งได้ไหม กินเมนูอึ่งได้หรือเปล่า อะไรบ้างที่ต้องระวัง

    คนท้องกินต้มอึ่งได้ไหม กินเมนูอึ่งได้หรือเปล่า อะไรบ้างที่ต้องระวัง

  • สัญญาณเตือนออทิสติก มีอะไรบ้าง สังเกตได้จากเพลงกล่อมเด็กจริงไหม?

    สัญญาณเตือนออทิสติก มีอะไรบ้าง สังเกตได้จากเพลงกล่อมเด็กจริงไหม?

  • ยาระงับปวดระหว่างตั้งครรภ์ คนท้องกินยาพาราแก้ปวดได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?

    ยาระงับปวดระหว่างตั้งครรภ์ คนท้องกินยาพาราแก้ปวดได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • ก่อนตั้งครรภ์
    • การคลอด
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • การคลอด
  • พัฒนาการลูก
    • ทารก
    • เด็กก่อนเข้าเรียน
    • ช่วงวัยของเด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • การวางแผนการเงิน
    • การเลี้ยงลูก
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • นมแม่และนมผง
  • โภชนาการ
    • สินค้าเด็ก
    • นมผง
    • เมนูอาหาร
    • สินค้าแม่
  • เพิ่มเติม
    • TAP สังคมออนไลน์
    • ติดต่อโฆษณา
    • ติดต่อเรา
    • Influencer Marketing (KOL)
    • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Sri-Lanka flag Sri Lanka
  • India flag India
  • Vietnam flag Vietnam
  • Australia flag Australia
  • Japan flag Japan
  • Nigeria flag Nigeria
  • Kenya flag Kenya
© Copyright theAsianparent 2023. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

theAsianparent heart icon
เราต้องการส่งแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดูแลทารกและสุขภาพไปให้กับคุณ