เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566 ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนายพงศธร สุวรรณรักษา หรือ ทนายอาร์ม ว่าลูกของตนเองได้ถูกนางพีรัลญาดา หรือ ป้าหนุ่ย เจ้าของบ้านปฐมวัย เนอสเซอรี่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายลูกของตนและมีเด็ก ๆ อีกหลายคนที่โดนกระทำเช่นกัน
โดยทั้งนี้ อดีตพี่เลี้ยง 3-4 คน เคยทำงานอยู่ที่นั่น ทนพฤติกรรมเจ้าของเนอสเซอรี่ไม่ไหว ที่ใช้ความรุนแรงกระทำต่อเด็กเกือบทุกคน จึงได้มีการแอบถ่ายภาพ และคลิปส่งให้ผู้ปกครองของเด็กได้รับทราบ ก่อนที่ทนายอาร์ม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปกครอง จะเข้าร้องเรียนกับสื่อ
ทนายอาร์ม เปิดเผยข้อมูลว่า เรื่องนี้ในฐานะที่ตนเองเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งลูกของตนเองทั้ง 2 คน เรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ ตนเองไม่ยอมกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตนมีหลักฐานทั้งคลิปวิดีโอและภาพนิ่ง ที่ได้เห็นชัดเจนว่ามีการทำทารุณกับเด็ก หากมีเด็กคนไหนร้องไห้เจ้าของเนอสเซอรี่จะดึงเด็กไปทำร้ายร่างกาย มีทั้งไปนั่งทับบนตัวเด็ก ทั้งปิดปากและการทำร้ายต่าง ๆ มากมาย ซึ่งอ้างว่าทำให้เด็กหยุดร้องไห้
ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามไปยัง อดีต 2 พี่เลี้ยงเนอสเซอรี่ดังกล่าว เล่าว่า พฤติกรรมเจ้าของเนอสเซอรี่ มีนิสัยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ และเวลาเด็กร้องไห้ เขาจะลากเด็กออกไปอีกห้องหนึ่ง แล้วก็ปิดประตูเพื่อจะพาเด็กไปทำร้าย บางคนก็จะมีรอยขีดข่วนตามร่างกาย บางคนที่ดวงตาก็จะมีเส้นเลือดฝอยบวมปูด ส่วนสาเหตุที่ตนเองต้องลาออกจากที่นั้น เนื่องจากทนพฤติกรรมเจ้าของเนอสเซอรี่ไม่ได้จริง ๆ
ล่าสุด ทางกลุ่มผู้ปกครองต่างทยอยเดินทางมารับลูก ๆ ของตัวเองกลับบ้าน หลังจากมีภาพของป้าหนุ่ย เจ้าของเนอสเซอรี่ ปรากฏอยู่บนหน้าข่าวซึ่งมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงกระทำต่อเด็ก จากนั้นกลุ่มผู้ปกครองจำนวนหลายคนได้เดินทางมาที่สำนักงานทนายอาร์ม เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปที่ สภ.หาดใหญ่ เพื่อดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับป้าหนุ่ยเจ้าของเนอสเซอรี่ พร้อมกับเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ พมจ.สงขลา เพื่อดำเนินการขั้นตอนตามกฎหมาย
แม่ของน้องบี เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่สวมเสื้อสีม่วงที่อยู่ในคลิป ซึ่งอดีตพี่เลี้ยงเนอสเซอรี่ได้แอบถ่ายคลิปเอาไว้ ขณะที่น้องมีเบ้าตาบวมแดงช้ำ ได้เล่าให้ฟังว่า ลูกสาวของเธอเพิ่งเข้าไปอยู่ที่เนอสเซอรี่แห่งนี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม หรือเป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว จ่ายเงินเดือนละ 5,800 บาท ในตอนแรกที่ให้ลูกสาวไปเรียน เพราะได้ยินมาว่าเนอสเซอรี่แห่งนี้ มีชื่อเสียง มีคุณภาพ ลูกสาวน่าจะอยู่แล้วมีความสุข
แต่ในช่วงหลังตนเองเริ่มเห็นความผิดปกติขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าของเนอสเซอรี่ ได้ส่งรูปลูกสาวตนเองให้ดูผ่านแชตไลน์ พร้อมกับแจ้งว่า ลูกสาวไม่รู้เป็นอะไร ร้องไห้หนัก ลงไปดิ้นกับพื้นงอแงมาก และดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงผิดปกติ พร้อมกับบอกอีกว่า คุณแม่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะหายไปเอง และบอกว่า “ไม่ต้องไปหาหมอก็ได้” เพราะจะหายไปเอง ตอนนั้นตนเองก็เชื่อ แต่ก็แปลกใจนิดหน่อย
จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อน ตนเองไปรับลูกสาวกลับจากเนอสเซอรี่ ปรากฏว่า ลูกสาวบ่นให้ฟังว่า ครูตีแขน ตนเองจึงอัดคลิปไว้เป็นหลักฐาน เรื่องทั้งหมดตนเองไม่อยากจะเชื่อว่า ลูกสาวถูกทำร้ายภายในเนอสเซอรี่จริง ๆ กระทั่งวันนี้ตนเองมาทราบจากข่าวและเห็นภาพเหล่านี้
ตนเองตกใจมาก และทำให้ตนเองยิ่งเชื่อว่า ลูกสาวของตนเองที่เคยบ่นให้ตนเองฟังว่าถูกทำร้ายอาจจะเป็นความจริง ซึ่งตนเองทั้งเสียใจ โกรธ และสงสารลูกมากที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ และรับไม่ได้หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ยืนยันจะเอาเรื่องเนอสเซอรี่ให้ถึงที่สุด
บทความที่เกี่ยวข้อง : เด็กอัจฉริยะ 4 ขวบ ได้เข้าร่วม MENSA จากการสอนตัวเองให้อ่านตั้งแต่อายุ 2 ขวบ
ปัจจัยเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูก
1. โรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนเอกชน
ในระบบการศึกษาของไทยแบ่งออกเป็นโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนโรงเรียนรัฐบาลก็คือค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชน หรือบางโรงเรียนสามารถส่งไปเรียนได้เลย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้ปริมาณเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐบาลมีปริมาณมาก จึงทำให้มีเด็กเข้าเรียน มากเกินปริมาณครูจึงอาจเป็นข้อเสียเปรียบในการพัฒนาของเด็กได้
กลุ่มของโรงเรียนเอกชน นอกจากจะมีทั้งโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดใหญ่แล้ว ค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนก็ถือเป็นตัวแบ่งระดับของโรงเรียนไปในตัว นอกจากนี้โรงเรียนรัฐบาลจะเน้นการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยคือ เรียนรู้ตามแนวคิดหกกิจกรรมและไม่เร่งเขียนอ่าน แต่สำหรับโรงเรียนเอกชนจะเน้นผลสัมฤทธิ์ที่เห็นเด่นชัดเช่น การเขียน การอ่าน ซึ่งถึงแม้ว่าปัจจุบันโรงเรียนรัฐบาลจะเน้นให้เด็กเขียนอ่านมากขึ้น แต่ก็เป็นปริมาณน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชน
2. หลักสูตรการจัดการศึกษา
การจัดการศึกษาในระดับปฐมวัย คุณพ่อคุณแม่ย่อมอยากเห็นลูกมีความสุขในการเรียน ในกรณีโรงเรียนรัฐบาลส่วนใหญ่ จะจัดการศึกษาเหมือนกัน โดยจัดการศึกษาตามหลักสูตร บูรณาการเข้ากับกิจกรรมหกกิจกรรม แต่สำหรับโรงเรียนเอกชน บางโรงเรียนจะจัดการศึกษาเช่นเดียวกับรัฐบาล แต่ก็มีหลายโรงเรียนที่เป็นการศึกษาทางเลือกที่เลือกใช้แนวการจัดการศึกษาแบบอื่นอย่างวอลดอร์ฟ หรือมอนเตสซอรี ซึ่งเรื่องนี้ผู้ปกครองควรต้องศึกษาแนวการจัดการเรียนรู้ที่มี แล้วสอบถามกับทางโรงเรียนว่าใช้แนวการจัดการเรียนรู้แบบไหน เพื่อจะได้เลือกให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของลูกของคุณ
บทความที่เกี่ยวข้อง : ประเภทของโรงเรียน และความแตกต่างที่พ่อแม่ควรรู้ ก่อนส่งลูกเข้าเรียน
3. การเดินทาง
การเดินทางถือเป็นปัจจัยสำคัญ อย่าลืมว่าลูกในวัยอนุบาลยังเล็กมาก โรงเรียนที่ไกลเกินไปจะส่งผลเสียกับเด็กมากกว่าผลดี เพราะยิ่งโรงเรียนไกลมากเท่าไหร่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางมากเท่านั้น เด็กอาจจะต้องตื่นก่อนที่ร่างกายเขาจะพร้อมตื่น เพื่อที่จะแต่งตัวและเดินทางไปโรงเรียนพร้อมกับผู้ปกครอง จึงไม่ควรเลือกโรงเรียนไกลบ้าน หากลูกต้องมาร่วมรถติดบนถนน ต้องออกจากบ้านแต่เช้า กลับถึงบ้านก็เย็น
สิ่งสำคัญหากเลือกโรงเรียนที่เดินทางสะดวกหรือใกล้ที่ทำงานพ่อแม่ หลังเลิกเรียนก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการจราจรที่ติดขัดมารับลูกช้า เด็กจะรู้สึกว้าเหว่เพราะเลิกเรียนพ่อแม่ก็มารับเพื่อน ๆ ไปหมดแล้ว เหลือหนูอยู่คนเดียว ไม่เป็นผลดีต่อลูกเลยค่ะ
4. ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
แน่นอนหนึ่งในค่าใช้จ่ายก็คือ ค่าเทอม แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษาให้ละเอียดว่ามีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่สำคัญอีกหรือเปล่า เพราะหลาย ๆ ครั้งโรงเรียนจะเลี่ยงการเก็บค่าเทอมที่สูง โดยเก็บเป็นค่าอื่น ๆ เช่น ค่าการใช้คอมพิวเตอร์ ค่ากิจกรรมพิเศษ หรือแม้กระทั่งค่าแรกเข้า ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะขอเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด และอาจจะต้องถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินของสิ้นเปลืองที่ผู้ปกครอง ต้องรับผิดชอบ เช่น สมุดของโรงเรียน กระเป๋า เครื่องแบบ บัตรนักเรียน ชุดลูกเสือ เนตรนารี หรือ อนุกาชาด
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่มารับเด็กได้ตอนเย็น ๆ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวรถยนต์รับส่งนักเรียน ทั้งหมดนี้เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้กับ ลูก ๆ ของท่าน หรือยังช่วยในการวางแผนด้านการเงิน เพื่อให้การส่งลูก ๆ ไปเรียนโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน ไม่เกิดปัญหาขึ้นในภายหลังเพราะการที่ต้องหยุดหรือย้ายโรงเรียนจะมีปัญหาที่ ยุ่งยากต่าง ๆ ตามมา
5. สภาพแวดล้อม
โรงเรียนอนุบาลที่ดี จะต้องมีสัดส่วนของสิ่งปลูกสร้างและสวนธรรมชาติที่สอดคล้องกัน เพราะผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า เด็กอนุบาลจำเป็นต้องได้มีโอกาสสัมผัสดีหรือได้กลิ่นออกซิเจนจากต้นไม้ธรรมชาติมากกว่าการได้เรียนรู้แต่ในห้องแอร์นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่โรงเรียนอนุบาลควรมีคือสนามเด็กเล่นที่ แข็งแรง ปลอดภัยต่อเด็กด้วย และถึงแม้ว่าโรงเรียนบางโรงเรียนจะมีสวนที่น่ารื่นรมย์หรือสนามเด็กเล่นที่ดีเยี่ยม แต่ก็ใช่ว่าสิ่งนั้นเด็กจะมีโอกาสได้ใช้ ดังนั้นเราควรมาสำรวจหรือสังเกตการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนด้วยว่า มีการให้เด็กได้เรียนรู้กลางแจ้งบางหรือไม่ หรือสิ่งเหล่านั้นแค่ไปเครื่องประดับเฉย ๆ
การเลือกโรงเรียนให้กับลูก ๆ ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกได้อยู่ในสภาพแวดล้อมและสังคมการเรียนที่ดี แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่เลือกผิด เลือกโรงเรียนที่เป็นฝันร้ายให้กับลูก ก็จะทำให้ลูกได้รับบาดแผลทางใจ อีกสิ่งสำคัญเลยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม คืออย่าลืมหมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูกที่เปลี่ยนไป และร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกายด้วยนะคะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ไม่รับฝากเด็กนักเรียนเข้าเรียน ! โรงเรียนดังขึ้นป้ายเตือน หากพบจะดำเนินคดีทันที!
โรงเรียนสารสาสน์ฯ ยุติการไกล่เกลี่ย ศาลสั่งชดใช้ 1.1 แสนบาท
ช็อก! ครูเตรียมอนุบาลญี่ปุ่น ทารุณกรรมเด็กเล็กมากกว่า 10 ราย
ที่มา :
www.nationtv.tv
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!