X
TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

ประเภทของโรงเรียน และความแตกต่างที่พ่อแม่ควรรู้ ก่อนส่งลูกเข้าเรียน

บทความ 8 นาที
ประเภทของโรงเรียน และความแตกต่างที่พ่อแม่ควรรู้ ก่อนส่งลูกเข้าเรียน

ทำความรู้จักกับ ประเภทของโรงเรียน และความแตกต่าง ของโรงเรียนทั้ง 6 ประเภท ที่เป็นที่นิยมในเมืองไทย คุณพ่อคุณแม่ ควรศึกษา ประเภทของโรงเรียน ให้ดี ก่อนส่งลูกเข้าเรียน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่กำลังวางแผนจะมีลูก หรือกำลังมีลูกอยู่ในวัยที่กำลังจะต้องส่งเข้าโรงเรียน ซึ่งในช่วงนี้จะทั้งพ่อและแม่จะมีการตั้งคำถามขึ้นมามากมาย ว่าควรส่งลูกเรียนโรงเรียนแบบไหนดี ประเภทของโรงเรียน มีอะไรบ้าง เพราะสมัยนี้ก็มีโรงเรียนมากมายเต็มไปหมด ซึ่งโรงเรียนแต่ละประเภท ก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละด้าน และต่างก็มีจุดเด่น จุดด้อย รวมไปถึงค่าใช้จ่าย ที่ต่างกันออกไป 

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ที่ยังไม่ทราบว่าโรงเรียนในเมืองไทย ที่เป็นที่รู้จักและนิยมอยู่ในสมัยนี้ มีทั้งหมดกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร เราได้ลองสร้างแบบสอบถาม และแจกจ่ายให้เด็กกลุ่มหนึ่งเพื่อให้พวกเขาแชร์ว่าโรงเรียนประเภทที่พวกเขาได้เรียนหรือจบมานั้นมีจุดเด่นและจุดที่ต้องคำนึงถึงอย่างไรบ้าง นอกจากนี้เรายังส่งแบบสอบถามอีกชุดให้คุณพ่อคุณแม่กลุ่มหนึ่ง เพื่อรวบรวมความเห็นว่าทำไมพวกเขาถึงส่งลูกเรียนโรงเรียนประเภทนั้น ๆ

สำหรับบทความนี้ จะพูดถึง โรงเรียน  6 ประเภท ที่สามารถพบเป็นที่นิยม และสามารถพบได้โดยทั่วไป ในเมืองไทย ซึ่งทั้ง 6 ประเภท ประกอบไปด้วย 

  1. โรงเรียนรัฐบาล 
  2. โรงเรียนคาทอลิก หรือ โรงเรียนเอกชน 
  3. โรงเรียนสาธิต 
  4. โรงเรียนทางเลือก 
  5. โรวงเรียนสองภาษา 
  6. โรงเรียนนานาชาติ 

โรงเรียนแต่ละประเภท นอกจากเรื่องภาพรวมของโรงเรียนที่ดูแตกต่างกันแล้ว สังคมในโรงเรียน ก็อาจส่งผลต่ออนาคตของเด็กที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนนั้น ๆ ด้วย

school1

school1

1. โรงเรียนรัฐบาล

Advertisement

เมื่อพูดถึงโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนประเภทนี้ มีจุดเด่น ที่แม้ไม่ต้องบอกก้อรู้ได้ว่าโรงเรียนประเภทนี้ มีจุดเด่นในด้านใด จากที่ได้พูดคุยกับบรรดาศิษย์เก่าที่จบการศึกษาในช่วงมัธยมจากโรงเรียนรัฐบาลนั้น  ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า โรงเรียนรัฐบาลนอกจากจะมีค่าเทอมที่ค่อนข้างถูกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนที่จบจากโรงเรียนประเภทนี้จะผ่านสังคมที่หลากหลายมา ซึ่งจากการผ่านสังคมที่หลากหลายนั้น นั่นส่งผลให้ พวกเขารู้จักการใช้ชีวิตแบบติดดิน ทำให้รู้สึกเหมือนได้ เตรียมพร้อมที่เจอช่วงชีวิตต่อจากนี้

ในส่วนของฝั่ง พ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนรัฐบาลนั้นส่วนใหญ่ ปัจจัยหลัก ๆ น่าจะมาจาก ค่าใช้จ่ายที่ไม่เยอะจนเกินไป และเดินทางสะดวก ชื่อเสียงของโรงเรียนนั้น ๆ และอีกอย่าง อาจเลือกเพราะตัวเองเคยเป็นศิษย์เก่า นั่นเอง 

โรงเรียนรัฐบาล ถือได้ว่า เป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ครอบครัวส่วนใหญ่เลือกที่จะให้ลูกได้เข้าเรียน ด้วยค่าใช้จ่าย ที่เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่น ๆ แล้ว โรงเรียนรัฐบาลนั้น ค่อนข้างจะจ่ายน้อยกว่าโรงเรียนประเภทอื่นค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว (ประมาณ 3,000-6,000 บาทต่อปี) หลายคนมีความคิดที่ว่าใคร ๆ ก็สามารถเข้าโรงเรียนประเภทนี้ได้ และอาจถูกมองว่า โรงเรียนประเภทนี้เป็นแค่ตัวเลือกธรรมดา ๆ ตัวหนึ่ง เท่านั้น แต่เอาเข้าจริง ๆ การเรียนการสอนในโรงเรียนรัฐบาลนั้น มีความเข้มข้นไม่แพ้กัน เลยทีเดียว

นอกจากนี้ ครูที่จะสามารถเข้าสอนในโรงเรียนรัฐบาลได้นั้น ก็ต้องผ่านการสอบหลายสนามสอบเลยทีเดียวกว่าจะได้ เข้าไปสอนในโนโรงเรียนรัฐบาลได้ ทางด้านกฎระเบียบก็ค่อนข้างจะเข้มงวด ตั้งแต่ทรงผมจนถึงเครื่องแบบ

นอกจากจุดเด่นที่เป็นด้านดีแล้ว โรงเรียนรัฐบาลก็มีจุดที่ควรคำนึงถึงเพิ่มเติมด้วย ถ้าจะส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนประเภทนี้ จุดด้อยของโรงเรียนรัฐบาล ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน และที่สำคัญ หลักสูตรในการเรีนยนการสอน ซึ่งในโนรงเรียนรัฐบาล จะต้องใช้หลักสูตรตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ให้มาเท่านั้น และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลักสูตรจากทางกระทรวงศึกษาธิการนั้น ก็มีทั้งที่ดี และไม่ดี แต่เนื่องจากไม่สามารถสอนหลักสูตรอื่น ๆ หรือเนื้อหานอกเหนือจากในหลักสูตรของกระทรวงฯ แล้ว เด็กที่เรียนโรงเรียนรัฐบาล ก็จำเป็นต้องเรียนตามหลักสูตรนั้นไปจนจบ ซึ่งอาจส่งผลให้ ต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมจากโรงเรียนกวดวิชานั่นเอง 

school3

school2

 

2. โรงเรียนคาทอลิก (โรงเรียนเอกชน)

ข้ามมาฝั่งโรงเรียนเอกชนบ้าง อีกหนึ่งตัวเลือกที่ตีคู่มากับโรงเรียนรัฐบาล และยังเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของหลายครอบครัว โรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนคาทอลิก เป็นโรงเรียนที่มีพื้นฐานมาจากศาสนาคริสต์ องค์ประกอบหลาย ๆ อย่างมีความเป็นศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ชื่อโรงเรียนไปจนถึงวิธีการเรียกอาจารย์ผู้สอน แต่เด็กที่เข้าเรียนไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาคริสต์ 

ในส่วนของการเรียนการสอน ถึงแม้ว่าชื่อเรียกของโรงเรียนประเภทนี้ จะเรียกว่าโรงเรียนคาทอลิก แต่ก็ยังอิงหลักสูตรการเรียนการสอนของทางกระทรวงศึกษาธิการ

สำหรับค่าใช้จ่ายต่อปีนั้น ถ้าเป็นหลักสูตรไทยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 80,000-90,000 บาท / ปี แต่ถ้าเป็นหลักสูตร English Program ค่าใช้จ่ายอาจพุ่งขึ้นเป็นแสนต้น ๆ ต่อปี เรียกได้ว่าคูณสองจากหลักสูตรไทยเลยทีเดียว 

จากการที่ได้พูดคุยและสอบถาม จากผู้ที่จบการศึกษาในช่วงชั้นมัธยมจากโรงเรียนประเภทคาทอลิก ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะเห็นความสำคัญในเชิงสังคมที่กว้างขึ้น ได้เพื่อนเยอะ โดยเฉพาะเพื่อนจากต่างโรงเรียนแต่อยู่ในเครือเดียวกัน ซึ่งถ้าเป็นโรงเรียนประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีเครือพันธมิตร อาจเป็นเรื่องยาก ที่เด็กจะได้ไปสานสัมพันธ์กับเด็กจากโรงเรียนอื่น ๆ 

นอกเหนือไปจากนั้นยังมีข้อได้เปรียบด้าน connection เชิงวิชาการ ที่ค่อนข้างกว้าง สามารถนำไปต่อยอดได้ง่าย ทางฝั่งคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนคาทอลิก ส่วนใหญ่ก็จะเลือกเพราะปัจจัยด้านสังคม และชื่อเสียงของโรงเรียนเช่นกัน

ในด้านของจุดอ่อนของโรงเรียนประเภทนี้คือ ถึงแม้ว่าจะมีการใช้หลักสูตรการเรียนาการสอนตามกระทรวงศึกษาธิการ แต่การเรียนของเด็กในโรงเรียนประเภทคาทอลิก ถือว่าหนักจนเกินไปบางโรงเรียนต้องไปเรียนในวันเสาร์ด้วย ซึ่งการเรียนถึง 6 วันต่อสัปดาห์ ถือว่าหนักเกินไป อาจเกิดภาวะเครียดสะสมได้ 

และโรงเรียนคาทอลิกบางแห่ง ครู-อาจารย์ ก็มีน้อยเกินไป หากเปรียบเทียบกับจำนวนนักเรียน โรงเรียนประเภทนี้ บางโรงเรียนไม่ต่อยจำกัดจำนวนนักเรียนให้เหมาะสมกับจำนวนครู จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องครูผู้สอนไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เด็ก ไม่ได้รับการเรียนการสอนเต็มที่ 

school4

school3

3. โรงเรียนสาธิต

โรงเรียนสาธิต เป็นโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของคณะศึกษาศาสตร์ หรือคณะครุศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อเป็นสถานฝึกปฏิบัติงานของนิสิตนักศึกษาในคณะนี้ ดังนั้น เด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนประเภทนี้ นอกจากจะได้เรียนกับครูวัยผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังจะได้เรียนกับนิสิตนักศึกษาฝึกสอนด้วย 

ข้อดีของการได้เรียนกับ นิสิตนักศึกษาฝึกงานนั้น คือในระหว่างการเรียนการสอน อาจมีการใช้วิธีการสอนใหม่ ๆ วิธีคิดที่นอกกรอบ และบางคนอาจจะพยายามทำให้ชั้นเรียนไม่น่าเบื่อจนเกินไป ด้วยการพานักเรียนเล่นเกมส์ หรือให้มีส่วนร่วมในชั้นเรียน อีกทั้งผู้สอนมีช่วงอายุ ที่ใกล้เคียงกับนักเรียน จึงมีแนวโน้มเชื่อมสัมพันธ์กันได้ง่ายขึ้น 

นอกจากนี้ เด็กที่เรียนโรงเรียนสาธิต ก็จะได้รับการเตรียมพร้อมหากจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ทำหน้าที่กำกับดูแลโรงวเรียนสาธิตนั้น ๆ ในโรงเรียนสาธิตบางแห่ง ยังเปิดรับนักเรียนตั้งแต่ช่วงชั้นอนุบาล จนถึงมัธยมปลายก็มี ครอบครัวที่อยากให้ลูกเรียนที่เดียวยาว ๆ ก็สามารถศึกษารายละเอียดโรงเรียนประเภทนี้ได้ อีกทั้งไม่ต้องเผชิญการสอบเข้าในชั้นมหาลัย ซึ่งต้องแข่งขันกับเด็กจากโรงเรียนประเภทอื่น ๆ เรียกได้ว่ามหาโหดเลยทีเดียว 

ในด้านของการส่งลูกเข้าเรียน ในโรงเรียนประเภทนี้ สำหรับเด็กใหม่ก็อาจจะเข้มข้นหน่อย โดยจะต้องแสดงความสามารถ ต้องสอบแข่งขันกันในด้านวิชาการ จึงเชื่อกันว่าเด็กสาธิตจะวิชาการแน่นสุด ๆ

บทความจากพันธมิตร
ปัญหาผื่นระคายเคืองที่เกิดจากคราบน้ำนมหรือคราบน้ำลาย
ปัญหาผื่นระคายเคืองที่เกิดจากคราบน้ำนมหรือคราบน้ำลาย
ใหม่ ! S-26 Gold 3 เอกสิทธิ์เฉพาะ หนึ่งเดียวของเอส – 26 ที่ผสมแอลฟา สฟิงโกไมอีลิน สูตรเฉพาะที่แม่เลือก
ใหม่ ! S-26 Gold 3 เอกสิทธิ์เฉพาะ หนึ่งเดียวของเอส – 26 ที่ผสมแอลฟา สฟิงโกไมอีลิน สูตรเฉพาะที่แม่เลือก
Bioactive Components เสริมสร้างสมองให้ลูกรักวัย 0-3 ปี
Bioactive Components เสริมสร้างสมองให้ลูกรักวัย 0-3 ปี
เปิดบ้านโรงเรียนรัศมีนานาชาติ ปี 2015
เปิดบ้านโรงเรียนรัศมีนานาชาติ ปี 2015

ทั้งนี้ โรงเรียนสาธิตเป็นได้ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่โรงเรียนสังกัด ด้วยจากการสุ่มสอบถามจากครอบครัวที่ส่งลูกเรียนในโรงเรียนสาธิต จะมีค่าใช้จ่ายต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 25,000-50,000 บาทต่อปี 

ข้อดีของโรงเรียนประเภทนี้คือ มีชื่อเสียงที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงมัธยม เด็กที่เรียนในโรงเรียนประเภทนี้จะมีเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันเป็นระยะเวลาที่นานจึงทำให้ มีเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทจากที่นี่ 

อีกทั้งที่โรงเรียนประเภทนี้ จะมีกิจกรรมในเด็กนักเรียนได้ทำเยอะ ซึ่งเป็นการฝึกและสอนให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก แต่ก็ยังมีความเป็นตัว ของตัวเองที่สูง 

ในส่วนของจุดด้อย ในบางโรงเรียนเด็กที่เรียนในโรงเรียนประเภทนี้จะอ่อนในด้านทักษะของภาษา ซึ่งดูอ่อนอย่างเห็นได้ชัดหากเทียบกับโรงเรียนประเภทคาทอลิก

school2

school4

4. โรงเรียนทางเลือก

หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหูกับโรงเรียนประเภทนี้ โรงเรียนทางเลือก เป็นโรงเรียนที่เป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาล มีการเรียนการสอน จะต่างจากระบบการศึกษากระแสหลัก เช่น แทนที่จะเรียนแต่ในห้องเรียนอย่างเดียว ก็มีการเรียนนอกห้องเรียน การเรียนแบบเชิงปฏิบัติ หรือมีกิจกรรมที่หลากหลาย 

นอกจากนี้ ยังรวมถึงโรงเรียนที่มุ่งเน้น การสอนเด็กกลุ่มพิเศษ เช่น เด็กอัจฉริยะ เด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ในบางคน อาจเรียนในหลักสูตรปกติไม่ได้ หรือเรียนไม่ทันเพื่อน ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ทั้งครู และผู้ปกครองจะต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นโรงเรียนประเภทนี้ จึงมีครูค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับนักเรียน ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักเรียนได้รับความดูแลอย่างทั่วถึง 

โรงเรียนทางเลือกที่เรามักเห็นได้บ่อย ๆ จะเป็นโรงเรียนในระดับอนุบาล ซึ่งครูในโรงเรียนประเภทนี้ นอกจากจะมีเยอะแล้ว ยังใจดี และมีทักษะพื้นฐานในการดูแลเด็กพิเศษ อีกด้วย 

ทางด้านค่าใช้จ่าย จากข้อมูลที่ได้สอบถามจากผู้ปกครอง ที่ให้เด็กเรียนในโรงเนียนประเภทนี้ พบว่ามีตั้งแต่ระดับ 20,000 – 50,000 บาท/ปี ไปจนถึงระดับแสนต้น ๆ เลยทีเดียว ที่สำคัญคือ นี่เฉพาะระดับอนุบาลเท่านั้นนะ

ข้อดี หากส่งลูกเรียนในโรงเรียนประเภทนี้  ตามที่บอกข้างต้น ครูที่ดูแลเด็กในโรงเรียนประเภทนี้ จะค่อยข้างมีความใส่ใจในตัวเด็กดูแลค่อนข้างใกล้ชิด โดยเฉพาะหากเป็นเด็กพิเศษแทบจะดูแลยคนต่อคนเลย เพราะฉะนั้น พ่อแม่จึงค่อนข้างวางใจได้กับโรงเรียนในประเภทนี้  โรงเรียนบางแห่งอาจมีการจัดการเรียนการสอนที่ตรงใจเด็ก เน้นไปที่การทำกิจกรรมา มากกว่านั่งที่โต๊ะเรียนอย่างเดียว เด็กก็จะรู้สึกสนุก และไม่เบื่อกับเนื้อหาที่เรียนอยู่

ส่วนจุดด้อย เนื่องจากโรงเรียนประเภทนี้ ยังมีไม่ค่อยเยอะ จึงอาจเป็นปัญหาเล็กน้อย หากครอบครัวไหนที่อยากส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนประเภทนี้ แต่ไม่มีอยู่ใกล้ ๆ ที่พัก ซึ่งอาจจะต้องลำบากเรื่องเดินทางไปรับ-ส่งลูก 

และโรงเรียนประเภทนี้ จำเป็นต้องมีครูที่เยอะ เพื่อดูแลเด็กให้ทั่วถึง จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ มีค่าเทอมที่ค่อนข้างสูง ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่ค่าใช้จ่ายที่สูงก็แลกมากับความปลอดภัยของลูก และความสบายใจของพ่อแม่ ครอบครัวไหนสนใจโรงเรียนประเภทนี้ ก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ

school5

school5

5. โรงเรียน 2 ภาษา

โรงเรียนสองภาษา (Bilingual) มีหลักสูตรที่ต่อยอดมาจากหลักสูตรการเรียนการสอนแบบไทยปกติ หมายความว่า หลักสูตรที่ใช้ในการเรียนการสอนก็ยังอิงอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ เรียนเหมือนโรงเรียนรัฐบาลและเอกชนทุกอย่าง จำนวนนักเรียนต่อห้องก็คล้ายคลึงกับโรงเรียนรัฐบาล คืออาจมีเยอะถึง 60 คน / ห้องเหมือนโรงเรียนรัฐบาล 

แต่ที่ต่างคือ ในการเรียนการสอนนั้น จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ โดยแต่ละโรงเรียนก็มีสัดส่วนการสอนเป็นภาษาอังกฤษแตกต่างกันไป ซึ่งจำนวนขั้นต่ำนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้ว่าแต่ละระดับชั้น สามารถเรียนภาษาอังกฤษในวิชาไหนได้บ้าง เช่น ระดับอนุบาลสอนภาษาอังกฤษได้ไม่เกิน 50% ของการเรียนการสอนทั้งหมด ระดับประถมสามารถสอนภาษาอังกฤษเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และพลศึกษา เป็นต้น

สำหรับโรงเรียน 2 ภาษานี้ นอกจากจะมีแยกเป็นโรงเรียนเดี่ยว ๆ แล้ว  โรงเรียนรัฐบาลบางแห่ง ก็มีการเปิดห้องเรียนเพิ่มเติม ที่มีหลักสูตรสอนเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) แบบนี้ก็นับรวมเป็นโรงเรียนสองภาษาได้เช่นกัน แต่โรงเรียนที่เป็นกึ่งรัฐบาล กึ่ง 2 ภาษานั้น ในระบบ 2 ภาษา จะรับนักเรียนจำนวนน้อยกว่าที่กล่าวไปข้างต้น คือ จะรับระบบ 2 ภาษา ประมานห้องละไม่เกิน 30 คน 

ข้อดีของโรงเรียน 2 ภาษา ที่เห็นชัดที่สุดคือ เด็กจะมีความสามารถใช้ภาษาที่ 2 ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ก็ยังได้เรียนในวิชาพื้นฐานหลักของประเทศไทยอีกด้วย แต่ก็ต้องแลกมากับค่าใช้จ่ายที่อาจสูงกว่าปกตินิดหน่อย

โรงเรียนสอนภาษาจึงเป็นตัวเลือกหนึ่ง ที่ในปัจจุบัน หลายครอบครัวให้ความสนใจกับโรงเรียนประเภทนี้ เพราะแต่ละครอบครัว ก็อยากให้ลูกรู้ภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังคงความเป็นไทยในหลักสูตรวิชาบางส่วนไว้ 

ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 80,000 ถึงแสนต้น ๆ การเรียนในหลักสูตรไทย ยังสามารถต่อยอดไประดับมหาวิทยาลัย หากเด็กต้องการเข้าเรียนสายเฉพาะทางที่ส่วนใหญ่มีสอนแค่หลักสูตรไทยเท่านั้น เช่น แพทย์ เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์เก่าอีกท่านก็ได้เสริมว่า

ในส่วยของข้อด้อย ข้องโรงเรียนประเภทนี้ คือ ในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ในบางโรงเรียนยังมีการใช้ครูที่เป็นคนไทย และครูบางคนก็ไม่สามารถสื่อสาร หรืออธิบายในบางประโยคที่เป็น แสลงหรือภาษาพูดของภาษาอังกฤษให้นักเรียนเห็นภาพหรือเข้าใจได้

นั่นหมายความว่า ถึงแม้จะเป็นโรงเรียน 2 ภาษา เหมือนกัน แต่ในแต่ละแห่ง ก็ไม่เหมือนกัน อีกทั้งโรงเรียน 2 ภาษา ก็ยังถือว่ามีสัดส่วนนักเรียนที่เป็นคนไทยอยู่ค่อนข้างเยอะ เด็ก ๆ จึงอาจไม่ได้พบ หรือเจอกับเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติเท่าไรนัก

school6

school6

6. โรงเรียนนานาชาติ

มาถึงตัวเลือกสุดท้าย เป็นตัวเลือกที่เชื่อว่า หลายครอบครัวอยากส่งลูกเข้าไปเรียนในโรงเรียนประเภทนี้มาก แต่อาจจะติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจจะสูงถึงประมาณ 300,000-700,000 / ปี เลยทีเดียว 

โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนที่อ้างอิงหลักสูตรจากต่างประเทศ อาจจะเป็นอเมริกัน อังกฤษ หรือออสเตรเลีย นักเรียนจะได้เรียนเหมือนประเทศเจ้าของหลักสูตร เพียงแต่มีวิชาภาษาไทยมาเป็นวิชาบังคับด้วย (ตามกฎของกระทรวงศึกษาธิการ) ครู-อาจารย์ ของโรงเรียนประเภทนี้ จะเป็นชาวต่างชาติเป็นหลัก อีกทั้งยังต้องมีใบรับรองคุณวุฒิอาจารย์ และมีประสบการณ์สอนมาก่อน และเนื่องจากว่าคุณสมบัติแบบนี้ค่อนข้างหายาก ในประเทศไทย ทางโรงเรียนจึงจำเป็นต้องจ้างครูมาสอนโดยตรง จากต่างประเทศ ค่าจ้างจึงสูงตามไปด้วย นั่นเลยส่งผลให้ค่าเทอมของเด็กสูงตามไปด้วยนั่นเอง 

นอกจากจะมีครูเป็นเจ้าของภาษาเป็นหลักแล้ว เพื่อนนักเรียนก็มีความหลายหลาย ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ส่งผลให้ภาษาอังกฤษที่ได้เรียนมาได้มีการใช้งาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กที่จบจากโรงเรียนนานาชาติจะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าภาษาไทย เห็นได้ชัดเจนว่าจุดแข็งหนีไม่พ้นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังไงก็คงขาดไม่ได้สำหรับโรงเรียนนานาชาติ

เด็กที่เรียนในโรงเรียนนานาชาติจะได้ประสบการณ์ในเรื่องของสังคมหลากหลายเชื้อชาติ และการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากระบบเดิม ๆ ทางฝั่งคุณพ่อคุณแม่ ที่ส่งลูกเรียนนานาชาติก็ให้ความเห็นว่าพวกเขาคาดหวังให้เด็กหัดคิดได้ด้วยตัวเอง ไม่เรียนแบบท่องจำ และอยากให้เด็กได้ภาษาอังกฤษดี

แต่ถึงอย่างนั้น โรงเรียนนานาชาติใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี ในเด็กบางคนอาจจะเก่งแค่ภาษาใดภาษานึง จนทำให้การใช้ภาษาไทย หรือภาษาอื่นๆ ได้ไม่ดีนัก ซึ่งส่งผลให้ เด็กคนนั้นๆ ถึงแม้จะเก่งภาษาอังกฤษมาก แต่ในส่วนของภาษาไทยก็อาจจะอ่อนสุดๆ ไปเลย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรดูให้ดี ว่าลูกได้รับการปลูกฝังด้านภาษาไทยพอ ๆ กับภาษาอังกฤษหรือไม่

ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละโรงเรียนก็จะมีหลักสูตรที่แตกต่างกัน ดังนั้นพ่อแม่ที่จะส่งลูกเข้าโรงเรียนประเภทนี้ ควรศึกษาทำความเข้าใจหลักสูตร และต้องมั่นใจว่าจะสามารถนำพาลูกไปได้ตลอดรอดฝั่ง (ทั้งค่าใช้จ่าย และ การสนับสนุนลูกในด้านอื่นๆ)

ที่มา : www.finnomena.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ :

คุณสมบัติของ โรงเรียนดีในชุมชน รร.มัธยมดีสี่มุมเมือง ต้องเป็นอย่างไร?

วิธีการจองโรงเรียนอนุบาล ต้องทำอย่างไร มีเอกสารอะไรบ้าง

การจองโรงเรียนอนุบาล : 100 เรื่องพ่อแม่ต้องรู้ก่อนลูก 1 ขวบ

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

@GIM

  • หน้าแรก
  • /
  • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
  • /
  • ประเภทของโรงเรียน และความแตกต่างที่พ่อแม่ควรรู้ ก่อนส่งลูกเข้าเรียน
แชร์ :
  • ฟรี! ใบงาน โยงเส้นจับคู่ อนุบาล pdf เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกน้อย

    ฟรี! ใบงาน โยงเส้นจับคู่ อนุบาล pdf เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกน้อย

  • 10 แอปเรียนภาษาเกาหลี ใช้งานง่าย เรียนเกาหลีด้วยตัวเองได้ทุกที่

    10 แอปเรียนภาษาเกาหลี ใช้งานง่าย เรียนเกาหลีด้วยตัวเองได้ทุกที่

  • ภาพระบายสี ไดโนเสาร์ ดาวน์โหลดฟรี ภาพระบายสีสำหรับเด็ก

    ภาพระบายสี ไดโนเสาร์ ดาวน์โหลดฟรี ภาพระบายสีสำหรับเด็ก

  • ฟรี! ใบงาน โยงเส้นจับคู่ อนุบาล pdf เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกน้อย

    ฟรี! ใบงาน โยงเส้นจับคู่ อนุบาล pdf เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกน้อย

  • 10 แอปเรียนภาษาเกาหลี ใช้งานง่าย เรียนเกาหลีด้วยตัวเองได้ทุกที่

    10 แอปเรียนภาษาเกาหลี ใช้งานง่าย เรียนเกาหลีด้วยตัวเองได้ทุกที่

  • ภาพระบายสี ไดโนเสาร์ ดาวน์โหลดฟรี ภาพระบายสีสำหรับเด็ก

    ภาพระบายสี ไดโนเสาร์ ดาวน์โหลดฟรี ภาพระบายสีสำหรับเด็ก

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว