การ พาลูกเล็กเที่ยวให้รอด เป็นความท้าทายที่พ่อแม่หลายคนต้องเผชิญ แค่คิดว่าจะออกไปเจอโลกนอกบ้าน ใจหนึ่งก็อยากให้ลูกได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้เห็นสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง แต่ใจอีกข้าง กลับเต็มไปด้วยความกังวล ภาพที่มักเกิดขึ้นคือ เสียงร้องดังลั่นกลางห้าง ลูกล้มตัวลงไปดิ้นกลางร้านอาหาร หรือสะอื้นไม่หยุดบนเครื่องบิน โดยมีสายตาหลายคู่หันมามอง บางคู่เต็มไปด้วยความสงสาร แต่บางคู่กลับแฝงด้วยการตัดสิน
เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้พ่อแม่จำนวนไม่น้อยเลือกที่จะอยู่บ้านดีกว่า เพราะไม่อยากเผชิญแรงกดดันจากสังคม แต่ในความเป็นจริง การพาลูกเล็กออกไปเที่ยวและเจอสิ่งใหม่ ๆ เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญ ที่ช่วยพัฒนาทั้งสมอง อารมณ์ และทักษะการเข้าสังคมของเด็ก รวมถึงช่วยสร้างความทรงจำครอบครัวที่ล้ำค่า คำถามคือ แล้วเราจะทำอย่างไร ให้การพาลูกออกไปข้างนอก ไม่กลายเป็นฝันร้ายของพ่อแม่

ทำไมการ พาลูกเล็กเที่ยวให้รอด จึงเป็นความท้าทาย
สิ่งที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่า การพาลูกไปเที่ยวเป็นเรื่องยาก ไม่ได้มีเพียงการจัดของใช้มากมาย แต่ยังมาจากธรรมชาติของพัฒนาการเด็กเอง ที่ยังไม่พร้อมต่อการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม เด็กเล็กมีสมองส่วน prefrontal cortex ที่ควบคุมเหตุผลและการยับยั้งพฤติกรรมยังไม่พัฒนาเต็มที่ ดังนั้นเมื่อรู้สึกหิว ง่วง เหนื่อย เบื่อ หรือไม่สบายใจ จึงใช้วิธีร้องไห้ หรือแสดงพฤติกรรมออกมาโดยตรง
นักจิตวิทยาอธิบายแนวคิดนี้ว่า เป็นกระบวนการ co-regulation หมายถึงเด็กยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ด้วยตนเองได้ พ่อแม่จึงต้องเป็นคนช่วย “ควบคุมแทน” ผ่านการปลอบ การกอด หรือการอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบ จนกว่าลูกจะเรียนรู้การจัดการอารมณ์เองในอนาคต
อีกด้านหนึ่ง ความคาดหวังของพ่อแม่ก็เป็นตัวแปรสำคัญ หลายครอบครัววาดภาพการเที่ยวกับลูกไว้อย่างสวยงาม เห็นลูกยิ้มถ่ายรูปในคาเฟ่ หรือเดินจูงมือในสวนสาธารณะ แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เมื่อแผนไม่เป็นไปตามที่คิด ความผิดหวังก็ยิ่งมาก ความรู้สึกผิดจึงตามมา และยิ่งตอกย้ำด้วยสายตาสังคมที่พร้อมจะตัดสินอยู่เสมอ
วัฒนธรรมไทยยังคงมีภาพจำว่า “เด็กดีต้องเรียบร้อย” ดังนั้นการที่เด็กงอแงในที่สาธารณะ จึงถูกตีความว่าเป็นความบกพร่องของพ่อแม่ ขณะที่ในบางประเทศ โดยเฉพาะยุโรป หรือแถบสแกนดิเนเวีย กลับมองว่าการที่เด็กแสดงออกทางอารมณ์ เป็นเรื่องปกติและควรยอมรับได้ ความแตกต่างนี้เอง ที่ทำให้พ่อแม่ไทยจำนวนมากแบกรับแรงกดดันมากกว่าที่ควร

เตรียมใจและวางแผนก่อนออกเดินทาง
การเที่ยวกับลูกเล็กไม่ใช่การทดสอบ แต่คือการฝึกฝน เด็กที่ไม่เคยออกนอกบ้านมาก่อน ย่อมรู้สึกไม่คุ้นเคยและร้องไห้เป็นธรรมดา ดังนั้นควรเริ่มจากทริปสั้น ๆ ใกล้บ้าน เช่น ไปห้างเล็ก ๆ หรือร้านอาหารที่คุ้นเคยก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาเป็นครึ่งวันหรือเต็มวัน รวมไปถึงวางแผนก่อนออกเดินทางให้ดี เตรียมใจรับมือกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ก่อนออกจากบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ของใช้ที่เตรียม แต่คือการเตรียมใจ พ่อแม่ต้องปรับ mindset ว่าการเที่ยวกับลูกเล็ก จะไม่เหมือนการเที่ยวแบบเดิมอีกต่อไป แผนที่เคยแน่นเป๊ะต้องยืดหยุ่นมากขึ้น กิจกรรมที่เคยทำได้ทั้งหมด อาจต้องตัดทิ้งบ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ “คุณภาพของเวลาร่วมกัน”
การลดความกดดันจากสายตาคนรอบข้างก็สำคัญ บางครั้งพ่อแม่คิดไปเอง ว่าทุกคนมองด้วยความรำคาญ ทั้งที่ความจริงมีคนจำนวนมาก ที่มองด้วยความเข้าใจและเห็นใจ การไม่โทษตัวเองเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด จะช่วยให้พ่อแม่ใจเย็น และพร้อมแก้ปัญหาได้ดีกว่า
-
คู่ชีวิตคือทีม อย่าโทษกัน
คู่ชีวิต หรือคนที่เดินทางไปด้วย ก็ควรเป็น “ทีมเวิร์ก” มากกว่าจะเป็นฝ่ายตำหนิเมื่อเจอปัญหา เช่น ลูกงอแง การโทษอีกฝ่ายว่าทำไมไม่จัดการ ไม่ช่วยเตรียม จะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย แต่ถ้าแบ่งหน้าที่ตั้งแต่แรก ใครดูแลลูก ใครถือของ ใครเป็น backup ทุกอย่างจะง่ายขึ้น
ในแง่การวางแผน การเลือกสถานที่และเวลามีผลอย่างมาก เด็กจะอารมณ์ดีที่สุดหลังตื่นนอนหรือหลังอิ่ม ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการพาลูกออกไปเที่ยว ในช่วงที่หิวหรือใกล้ง่วง ส่วนสถานที่ควรเลือกที่มีห้องน้ำสะดวก มีพื้นที่สำหรับเด็ก และไม่แออัดเกินไป
การจัด checklist ของใช้ ก็ช่วยลดความเครียดได้ เช่น ผ้าอ้อม ขวดนม ขนม น้ำดื่ม เสื้อผ้าเปลี่ยน ของเล่นเล็ก ๆ และผ้าเช็ดทำความสะอาด แม้ดูเหมือนจุกจิก แต่สิ่งเหล่านี้คือ “อาวุธลับ” ที่ทำให้พ่อแม่มีความมั่นใจ เมื่อเผชิญเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

วิธีรับมือเมื่อลูกงอแง พาลูกเล็กเที่ยวให้รอด
การ พาลูกเล็กเที่ยวให้รอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวางแผนก่อนออกเท่านั้น แต่ยังขึ้นกับสิ่งที่เราพกติดตัว และวิธีใช้ในสถานการณ์จริง ของเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถกู้สถานการณ์ได้มากกว่าที่คิด
สิ่งแรกที่ควรมีคือ ของกิน เนื่องจากเด็กเล็กหิวบ่อย และไม่สามารถอดทนรอได้ การมีขนมที่ทานง่าย หรือขวดนมติดกระเป๋า จะช่วยดับไฟได้ทันที
ต่อมาคือ ของเล่น หรือของใช้ที่ลูกชอบ ไม่จำเป็นต้องพกทั้งลัง แต่ควรเลือกชิ้นที่ลูกผูกพัน เช่น ตุ๊กตาตัวโปรด ผ้าห่มเล็ก ๆ ที่ลูกกอดประจำ เพราะสำหรับเด็กแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเหมือน “สะพานเชื่อม” ระหว่างบ้านที่ปลอดภัย กับโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย
ในกรณีที่ลูกงอแงจริง ๆ พ่อแม่สามารถใช้เทคนิคจากพฤติกรรมศาสตร์ เช่น Distract & Redirect คือการเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ชี้สิ่งรอบตัว พูดเสียงตื่นเต้น “ดูสิ มีลูกโป่งสีแดง!” หรือเปลี่ยนกิจกรรมไปสู่สิ่งใหม่ อีกเทคนิคคือการคงน้ำเสียงสงบ เพราะเสียงพ่อแม่ มีผลต่อระบบประสาทของเด็ก ถ้าเราตะคอก ลูกจะยิ่งร้องมากขึ้น แต่ถ้าเราอ่อนโยน เด็กจะค่อย ๆ สงบลง
ในบางสถานการณ์ การพาลูกออกไปหามุมเงียบ เช่น เดินออกจากร้านหรือห้าง ไปสูดอากาศข้างนอก จะช่วยให้ทั้งลูกและพ่อแม่รีเซ็ตอารมณ์ได้ และถ้าจำเป็น พ่อแม่ควรสื่อสารกับคนรอบข้างอย่างสุภาพ เช่น “ขอโทษนะคะ ลูกกำลังปรับตัวค่ะ” การพูดเช่นนี้ไม่เพียงลดแรงกดดัน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของพ่อแม่ด้วย
วิธีรับมือกับสายตาคนรอบข้าง
หนึ่งใน pain point ที่ทำให้พ่อแม่เครียดที่สุด ไม่ใช่เสียงร้องของลูก แต่คือสายตา และคำพูดจากคนรอบข้าง ในสังคมไทย การที่เด็กงอแง มักถูกมองว่าเป็นความบกพร่องในการเลี้ยงดู มากกว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของวัยนี้
ทางจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า social pressure หรือแรงกดดันทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่ควบคุมได้คือ การตอบสนองของเรา บางครั้งการมองด้วยแววตาที่เข้าใจ หรือการยิ้มก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกได้ แต่หากเจอคำพูดเชิงลบ เช่น “เลี้ยงลูกยังไง ปล่อยให้ร้องเสียงดัง” วิธีที่ดีที่สุดคือการตอบกลับสุภาพและสั้น เช่น “ขอโทษค่ะ เด็กยังสื่อสารไม่เก่ง ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ”
สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือการเสริมกำลังใจกันในครอบครัว คนที่ไปด้วยควรยืนข้างกัน ช่วยกัน ไม่ใช่โทษกัน เพราะการถูกสังคมกดดันจากรอบด้าน และยังถูกกดดันจากคนใกล้ชิด จะทำให้พ่อแม่เครียดเกินไป แต่ถ้าเราให้กำลังใจกัน จะช่วยสร้างพลังใจให้ผ่านไปได้

ประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ของการพาลูกเล็กเที่ยว
แม้การพาลูกไปเที่ยว จะเต็มไปด้วยความเหนื่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ามากกว่าที่คิด มีงานวิจัยจาก Harvard Center ระบุว่า “การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในสิ่งแวดล้อมจริง” ช่วยพัฒนาทักษะ executive function ของสมองเด็ก เช่น การปรับตัว การแก้ปัญหา และความยืดหยุ่นทางความคิด นอกจากนี้ การเจอผู้คนใหม่ ๆ ยังช่วยเสริมทักษะทางสังคม และการปรับอารมณ์
ถึงแม้ลูกจะยังเล็กเกินไป ที่จะจำภาพเหตุการณ์ได้ แต่สมองส่วน amygdala ซึ่งทำหน้าที่เก็บความทรงจำทางอารมณ์ จะบันทึก “ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และสนุกสนาน” ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางอารมณ์ในระยะยาว
ในมุมของพ่อแม่เอง การเปลี่ยนบรรยากาศจากการเลี้ยงลูกอยู่บ้านทุกวัน ก็ช่วยลดอาการ parent burnout หรือความเหนื่อยล้าจากการเป็นพ่อแม่ได้ด้วย การได้เห็นลูกหัวเราะกับสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยเติมพลังใจให้พ่อแม่อย่างมหาศาล
ท้ายที่สุดแล้ว การพาลูกเล็กออกไปเที่ยว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำให้สมบูรณ์แบบ แต่คือการเรียนรู้ร่วมกันของทั้งครอบครัว การเดินทางอาจเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงร้อง และแผนที่ต้องเปลี่ยน แต่สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของความทรงจำ การ พาลูกเล็กเที่ยวให้รอด จึงไม่ได้หมายถึงการทำให้ทุกอย่างราบรื่นไร้ที่ติ แต่หมายถึงการเตรียมใจ เตรียมแผน และพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ เพราะรางวัลที่แท้จริงคือรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ที่จะกลายเป็นความทรงจำอันล้ำค่าของครอบครัวตลอดไป
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
10 ที่เที่ยวปิดเทอม 2568 กิจกรรมแน่น ทั้งเล่น ทั้งเรียนรู้ เด็กๆ ต้องเลิฟ
ถึงสนามบินแล้ว แต่ลูกกลัวเครื่องบินไม่ยอมขึ้น ทำอย่างไรดี ?
พาลูกเที่ยวตอนกี่เดือน ทารกเดินทางได้ตอนกี่เดือน เคล็ดลับเดินทางครั้งแรกกับทารก
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!