การจัดการมรดก ถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็ควรวางแผน และหาข้อมูลแต่เนิ่น ๆ เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมาถึง จะได้รับมือได้อย่างถูกต้อง เราเลยจะชวนทุกคนมาไขข้อสงสัย ตายแล้วมรดกเป็นของใคร ถ้าไม่มีพินัยกรรม ลูกนอกสมรสได้ไหม การจัดการมรดก มีขั้นตอนอย่างไร กระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กันได้เลยค่ะ

ถ้าไม่มีพินัยกรรม ตายแล้วมรดกเป็นของใคร
เมื่อบุคคลถึงแก่ความตาย โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ การจัดการทรัพย์สินที่ผู้ตายทิ้งไว้ หรือที่เรียกว่า “มรดก” จะเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ที่เรียกว่า “กฎหมายว่าด้วยมรดก” ซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ลักษณะ 4 กฎหมายนี้ได้กำหนดลำดับทายาทโดยธรรม ผู้มีสิทธิรับมรดก ไว้เป็นชั้นต่าง ๆ เพื่อให้การแบ่งทรัพย์สิน เป็นไปอย่างยุติธรรม และเป็นระบบ
ลำดับชั้นทายาทโดยธรรม
มาตรา 1629 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดทายาทโดยธรรมไว้ เป็น 6 ลำดับชั้น ดังนี้:
- ผู้สืบสันดาน คือ บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว และบุตรบุญธรรม รวมถึงหลาน เหลน ที่สืบสายลงมา
- บิดามารดา คือ บิดาและมารดา โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย
- พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน คือ พี่น้องที่มีบิดาและมารดาเดียวกันกับผู้ตาย
- พี่น้องร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน คือ พี่น้องที่มีบิดาเดียวกัน แต่คนละมารดา หรือมีมารดาเดียวกัน แต่คนละบิดากับผู้ตาย
- ปู่ ย่า ตา ยาย คือ ปู่ ย่า ที่เป็นบิดามารดาของบิดาผู้ตาย และตา ยาย ที่เป็นบิดามารดาของมารดาผู้ตาย
- ลุง ป้า น้า อา ปัจจุบันไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมแล้ว เนื่องจากถูกยกเลิกไป ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2513
หลักการรับมรดกตามลำดับชั้น
หลักการสำคัญของการรับมรดก โดยไม่มีพินัยกรรม คือ ทายาทในลำดับชั้นที่อยู่ก่อน จะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนทายาทในลำดับชั้นถัดไป หากยังมีทายาทในลำดับชั้นใดชั้นหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ ทายาทในลำดับชั้นที่ต่ำกว่าลงมา จะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย ตัวอย่างเช่น หากผู้ตายมีบุตร (ผู้สืบสันดาน) บิดามารดา พี่น้อง หรือปู่ย่าตายาย จะไม่มีสิทธิได้รับมรดก
ข้อยกเว้นและกรณีพิเศษ
- การรับมรดกแทนที่: หากผู้สืบสันดานของผู้ตาย เช่น บุตร เสียชีวิตไปก่อนผู้ตาย แต่ยังมีผู้สืบสันดานของบุตรนั้น เช่น หลาน ที่ยังมีชีวิตอยู่ หลานจะเข้ารับมรดกแทนที่บุตรได้ (มาตรา 1639)
- การแบ่งส่วนมรดก ระหว่างทายาทในลำดับเดียวกัน: หากมีทายาทหลายคนในลำดับเดียวกัน มรดกจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ระหว่างทายาทเหล่านั้น (มาตรา 1633) อย่างไรก็ตาม ในกรณีของผู้สืบสันดาน และบิดามารดา อาจมีการแบ่งส่วนที่แตกต่างกัน เช่น ถ้าผู้ตายมีบุตร และบิดามารดา บุตรจะได้รับส่วนแบ่งทั้งหมด
- สามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย: สามี หรือภรรยา ที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่อีกฝ่ายเสียชีวิต จะเป็นทายาทโดยธรรมเสมอ โดยจะได้รับส่วนแบ่งมรดก ร่วมกับทายาทโดยธรรมในลำดับอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด (มาตรา 1635) เช่น ถ้าร่วมกับผู้สืบสันดาน จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากับบุตรหนึ่งคน

ขั้นตอนการจัดการมรดกโดยทั่วไป
สำหรับขั้นตอนการจัดการมรดก อาจจะฟังดูซับซ้อน แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะทำความเข้าใจ ดูลำดับขั้นตอนทีละขั้นได้ ดังนี้
1. รวบรวมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารของผู้ตาย:
- ใบมรณบัตร
- ทะเบียนบ้าน (ฉบับปัจจุบันและฉบับที่ผู้ตายมีชื่ออยู่ก่อนเสียชีวิต)
- บัตรประชาชน
- ทะเบียนสมรส (ถ้ามี) หรือทะเบียนหย่า (ถ้ามี)
- พินัยกรรม (ถ้ามี) ฉบับจริง หรือถ้ามีสำเนา ควรนำมาประกอบด้วย
- เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น โฉนดที่ดิน, หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3, น.ส. 3 ก.), ทะเบียนรถยนต์, สมุดบัญชีธนาคาร, หลักทรัพย์, สัญญาประกันชีวิต, สัญญาเช่าซื้อ ฯลฯ
- เอกสารแสดงหนี้สินของผู้ตาย (ถ้ามี) เช่น สัญญาเงินกู้, ใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต ฯลฯ
เอกสารของทายาท หรือผู้ร้องขอ:
- บัตรประชาชน
- ทะเบียนบ้าน
- เอกสารแสดงความเกี่ยวข้องกับผู้ตาย เช่น สูติบัตร (กรณีบุตร), ทะเบียนสมรส (กรณีคู่สมรส), หนังสือรับรองบุตรบุญธรรม (กรณีบุตรบุญธรรม) ฯลฯ
- ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
2. ตรวจสอบพินัยกรรม (กรณีมีพินัยกรรม)
หากมีพินัยกรรม ต้องตรวจสอบว่า เป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เช่น ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด มีพยานครบถ้วน รวมไปถึง อาจต้องมีการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งรับรองพินัยกรรม โดยเฉพาะพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ หรือพินัยกรรมลับ
3. ยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาล
- ผู้มีสิทธิยื่นคำร้อง ได้แก่ ทายาทโดยธรรม, ผู้รับพินัยกรรม, หรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดก
- ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ในเขตท้องที่ ที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาอยู่ในขณะถึงแก่ความตาย หรือในเขตท้องที่ ที่ทรัพย์มรดกส่วนใหญ่อยู่
- ในคำร้องจะต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ตาย ทายาท หรือผู้รับพินัยกรรม ทรัพย์สิน และหนี้สิน (ถ้าทราบ)
- แนบเอกสารที่รวบรวมไว้ในข้อ 1 ไปพร้อมกับคำร้อง

4. กระบวนการพิจารณาของศาล
ศาลจะทำการไต่สวนคำร้อง โดยอาจมีการประกาศหนังสือพิมพ์ เพื่อให้บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหนี้ ได้รับทราบ หากไม่มีผู้คัดค้าน และศาลเห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิ และเหตุผลสมควร ศาลจะมีคำสั่งตั้งผู้ร้อง หรือบุคคลอื่นที่ศาลเห็นสมควร เป็น “ผู้จัดการมรดก”
5. ผู้จัดการมรดกดำเนินการตามหน้าที่
- รวบรวมและจัดการทรัพย์สินมรดกทั้งหมด: ตรวจสอบและครอบครองทรัพย์สินของผู้ตาย
- ชำระหนี้สินของผู้ตาย (ถ้ามี): ดำเนินการชำระหนี้สินจากกองมรดกตามลำดับบุริมสิทธิแห่งหนี้
- ทำบัญชีทรัพย์มรดก: จัดทำรายการทรัพย์สิน และหนี้สินทั้งหมด อย่างละเอียด เพื่อให้ทายาททราบ
- แบ่งปันทรัพย์มรดก: เมื่อชำระหนี้สิน และค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดกแล้ว ผู้จัดการมรดก มีหน้าที่แบ่งปันทรัพย์สินที่เหลือ ให้แก่ทายาทตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด (กรณีไม่มีพินัยกรรม) หรือตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม (กรณีมีพินัยกรรม)
- โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน: ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น ที่ดิน รถยนต์ บัญชีธนาคาร ให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก
6. การจดทะเบียนการรับมรดก
เมื่อมีการแบ่งปันทรัพย์สินแล้ว ทายาทจะต้องนำคำสั่งศาล ตั้งผู้จัดการมรดก และเอกสารการแบ่งปันมรดก ไปดำเนินการจดทะเบียนการรับมรดก ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมที่ดิน (สำหรับที่ดิน), กรมการขนส่งทางบก (สำหรับรถยนต์), ธนาคาร (สำหรับบัญชีเงินฝาก) เป็นต้น
กรณีที่ไม่มีผู้จัดการมรดก:
หากไม่มีผู้ใดร้องขอเป็น ผู้จัดการมรดก หรือไม่มีผู้ใดสามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้ ทายาททุกคน อาจตกลงกันแบ่งปันทรัพย์มรดก โดยไม่ต้องมีผู้จัดการมรดกก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติ อาจมีข้อจำกัดในการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินบางประเภท
ในกรณีที่มีปัญหาความขัดแย้งในการแบ่งมรดก หรือมีเจ้าหนี้ของผู้ตาย ทายาท หรือผู้มีส่วนได้เสีย อาจต้องร้องขอต่อศาล ให้ตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อดำเนินการ
ระยะเวลาในการจัดการมรดก:
ระยะเวลาในการจัดการมรดก จะแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของทรัพย์สินและหนี้สิน จำนวนทายาท และกระบวนการพิจารณาของศาล โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่หลายเดือน จนถึงหลายปี

การจัดการมรดกเมื่อไม่มีพินัยกรรม
เมื่อบุคคลเสียชีวิต โดยไม่มีพินัยกรรม ทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดก จะต้องดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อจัดการทรัพย์สินของผู้ตาย โดยทั่วไปจะต้องมีการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งตั้ง “ผู้จัดการมรดก” ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่รวบรวมทรัพย์สิน และหนี้สินของผู้ตาย ชำระหนี้สิน (ถ้ามี) และแบ่งปันทรัพย์สินที่เหลือให้แก่ทายาทโดยธรรม ตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าหากไม่มีทายาทโดยธรรม ตามลำดับชั้นที่กล่าวมาข้างต้น หรือทายาทโดยธรรมทั้งหมดสละมรดก มรดกของผู้ตายจะตกเป็นของแผ่นดิน (มาตรา 1646) อย่างไรก็ตาม การจัดการมรดก ถือเป็นกระบวนการทางกฎหมาย ที่มีความซับซ้อน การปรึกษาทนายความ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อให้การดำเนินการ เป็นไปอย่างถูกต้อง และราบรื่น
การทำพินัยกรรม เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการวางแผนการจัดการทรัพย์สิน หลังการเสียชีวิต ช่วยให้ผู้ตายสามารถกำหนดเจตนารมณ์ ในการแบ่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นทายาทโดยธรรมหรือไม่ก็ตาม รวมถึงสามารถกำหนดเงื่อนไข หรือวิธีการจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งในการแบ่งมรดก ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทายาทได้นะคะ
ที่มา: สำนักงานกิจการยุติธรรม
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ราชกิจจาฯ ประกาศเกณฑ์ใหม่ อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียน
สิทธิ์เลี้ยงดูลูก เมื่อพ่อแม่แยกทาง พ่อแม่ หย่ากัน ลูกอยู่กับใคร
กฎหมาย ฟ้องชู้ เปิดข้อกฎหมายครอบครัวที่ควรรู้ ไว้สู้กับมือที่ 3
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!