RSV เมื่อได้ยินชื่อนี้ทำเอาแม่ๆ หลายคนขยาดไปเลย ไวรัส RSV คืออะไร และรุนแรงแค่ไหนในเด็กเล็ก มาทำความรู้จัก RSV ในเด็ก และสังเกต 10 อาการ RSV ในทารก และเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ควรรู้ ทุกบ้านที่มีลูกเล็กต้องรู้จักไวรัสตัวนี้ เพราะเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดอาการหลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เมื่อเด็กเล็กติดเชื้อไวรัส RSV อาจนำไปสู่การติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงได้ คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องสังเกตสัญญาณ และอาการต่างๆ ของ RSV เพื่อจะได้พาลูกน้อยไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ และป้องกันไม่ให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น
ฤดู RSV กำลังมา! 2567 หมอยงเตือนเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ เสี่ยงป่วยรุนแรง
นพ.ยง ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา เผยผ่านเฟซบุ๊คเตือนภัยการระบาดของ RSV ไวรัสร้ายที่ส่งผลต่อเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และผู้สูงอายุ โดยระบุว่า ฤดูกาลของ RSV จะเริ่มในช่วงเดือนกรกฎาคม ไปจนถึงพฤศจิกายน ของทุกปี
RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ในเด็กเล็กอาจมีอาการรุนแรง ไข้ ไอ หอบจนต้องนอนโรงพยาบาล และสามารถติดเชื้อซ้ำได้ โดยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ แทบทุกคนเคยติดเชื้อ RSV
RSV ในทารก คืออะไร
มาเจาะลึกว่าไวรัส RSV คืออะไร และมีผลต่อเด็กอย่างไร RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นโรคติดที่รุนแรงและทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ มักระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เชื้อไวรัส RSV มักพบในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกอายุต่ำกว่า 1 ปีมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อรุนแรง
RSV น่ากลัวไหม
เมื่อเด็กเล็กได้รับเชื้อ RSV อาจทำให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ และรุนแรงถึงขั้น ปอดอักเสบ
ใครมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV
ปัจจัยที่ทำให้ทารกมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ RSV ขั้นรุนแรงเช่น
- ทารกคลอดก่อนกำหนด
- ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน
- มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- มีภาวะโรคหัวใจหรือโรคปอด
ไวรัส RSV คืออะไร
RSV เป็นไวรัสชนิดหนึ่งในตระกูลที่มีเปลือกนอก มีสองสายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B โดยสายพันธุ์ A จะพบได้ทั่วไปและมีความรุนแรงกว่า เชื้อไวรัส RSV สามารถแพร่กระจายโดยตรงผ่านสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ เช่น การสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก และเสมหะของผู้ป่วย และยังสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน
โดยไวรัส RSV สามารถอยู่บนพื้นผิวได้นานหลายชั่วโมงและอยู่บนผิวหนังได้นานถึง 30 นาที ดังนั้นการรักษาสุขอนามัย ล้างมือให้สะอาดจึงมีความสำคัญมากในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ RSV
ระยะฟักตัวของเชื้อ RSV โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 4-6 วันแต่อาจแสดงอาการเร็วที่สุด 2 วันหรือช้าที่สุด 14 วันหลังจากรับเชื้อ และมักหายป่วยภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่อาการบางอย่าง เช่น อาการไอ อาจคงอยู่อีกหลายสัปดาห์
อย่างไรก็ตามผู้ป่วย RSV ยังสามารถแพร่เชื้อได้แม้ว่าอาการจะหายแล้วก็ตาม ดังนั้น ควรรักษาสุขอนามัยอยู่เสมอและหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของ rsv
สาเหตุของ RSV ในทารก
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ทารกมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ RSV ได้แก่ ทารกที่เข้าเนอร์สเซอรี่ หรือ มีพี่น้องที่เข้าโรงเรียนแล้ว
ทารกสามารถติดเชื้อ RSV จากผู้ใหญ่ได้หรือไม่
แน่นอน ทารกสามารถติดเชื้อ RSV จากผู้ใหญ่ได้ และผู้ใหญ่ก็สามารถติดเชื้อจากทารกได้เช่นกัน เพราะเชื้อ RSV สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ำลาย น้ำมูก และเสมหะของผู้ติดเชื้อ และยังสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน
RSV อาจเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับทารกเพราะ ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงมากขึ้น
![อาการ RSV ในทารก](https://static.cdntap.com/tap-assets-prod/wp-content/uploads/sites/25/2024/05/RSV-in-Baby-scaled.jpg?width=700&quality=10)
10 อาการ RSV ในทารก สัญญาณเตือนที่พ่อแม่ควรรู้
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกติดเชื้อ RSV มาดูวิธีสังเกตสัญญาณของ RSV ในทารกกัน อาการทั่วไปของ RSV ในทารกได้แก่
1. คัดจมูก น้ำมูกไหล
ทารกที่ติดเชื้อ RSV อาจมีอาการน้ำมูกไหลหรือคัดจมูก ทำให้ทารกหายใจลำบาก รู้สึกไม่สบายตัว และร้องงอแง คุณพ่อคุณแม่อาจใช้ที่ลูกยางดูดน้ำมูกออกมา หรือหยดน้ำเกลือเพื่อช่วยละลายน้ำมูก เพื่อช่วยให้ลูกหายได้สะดวกขึ้น
2. ไอ
ทารกอาจมีอาการไอเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติที่ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคออกจากทางเดินหายใจ อาการไออาจทำให้ทารกรู้สึกไม่สบายตัว รบกวนการนอนหลับ และรับประทานได้น้อยลง
3. จาม
ทารกอาจจามบ่อยๆ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ช่วยขับเชื้อโรค หรือสิ่งระคายเคือง ออกจากจมูกและทางเดินหายใจ โดยปกติการจามมักจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล แต่คุณพ่อคุณแม่ควรติดตามอาการอื่น ๆ ของทารกเพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยจะไม่เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจที่รุนแรงมากขึ้น และควรปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือบ่อยๆ และปิดปากเมื่อไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของ RSV
4. มีไข้
อุณหภูมิของทารกอาจสูงขึ้นมากกว่าช่วงปกติ ซึ่งบ่งบอกถึงอาการไข้ ไข้เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ และในกรณีของRSV อาจบ่งชี้ว่า ระบบภูมิคุ้มกันของทารกกำลังตอบสนองต่อไวรัส หากลูกมีไข้เล็กน้อยมักไม่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรติดตามวัดอุณหภูมิของทารกและพาไปพบคุณหมอ หากทารกมีไข้สูงหรือมีไข้หลายวัน
5. หายใจเร็วหรือหายใจดังวี้ด
ทารกอาจหายใจเร็วกว่าปกติหรือมีเสียงหายใจดังวี้ด การหายใจเร็วอาจเป็นสัญญาณว่าทารกกำลังดิ้นรนเพื่อรับออกซิเจนที่เพียงพอในขณะที่เสียงหายใจดังวี้ด อาจบ่งบอกถึงทางเดินหายใจที่แคบลงหรืออักเสบ การหายใจเสียงวี้ดและหายใจเร็วอาจทำให้ทารกหายใจลำบาก อ่อนเพลีย หอบเหนื่อย คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปหาหมอเมื่อสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ในทารก
6. หายใจลำบาก
ทารกอาจมีปัญหาในการหายใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจตื้น หรือมีภาวะที่รูจมูกขยายใหญ่ขึ้นขณะหายใจ เป็นสัญญาณของภาวะหายใจลำบาก ในกรณีที่รุนแรงทารกต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการหายใจ อาจทำให้หน้าอกหรือผิวหนังรอบซี่โครงและคอดูเหมือนจะบุ๋มเข้าไปในการหายใจแต่ละครั้ง หายใจลำบากเป็นอาการรุนแรงที่ต้องพบแพทย์ทันที ควรพาลูกไปพบแพทย์ฉุกเฉินหากสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ในทารก
7. ไม่รับประทานอาหารหรือดื่มนม
ทารกอาจมีความอยากอาหารลดลง และปฏิเสธที่จะกินหรือดื่มนมตามปกติ อาจเกิดจากความอึดอัดหรือหายใจลำบาก ทำให้กลืนลำบากตามไปด้วย สิ่งสำคัญคือ ต้องแน่ใจว่าทารกดื่มน้ำหรือนมเพียงพอในช่วงเวลานี้คุณพ่อคุณแม่อาจต้องให้ลูกรับประทานในปริมาณน้อย แต่บ่อยขึ้น
8. งอแง ร้องกวน
ทารกอาจดูงอแง หงุดหงิด หรือกระสับกระส่าย มากกว่าปกติ เนื่องมาจากอาการอื่นๆ ของ rsv เช่น ไอ คัดจมูก หรือหายใจลำบาก ไปรบกวนการนอนหลับของทารก ทำให้ทารกหงุดหงิดหรือกระสับกระส่ายมากขึ้น
9. อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง
ทารกอาจดูเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย และอาจนอนหลับมากกว่าปกติ อาจเป็นเพราะร่างกายของทารกต้องต่อสู้กับไวรัส RSV ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ นอกจากนี้ การหายใจลำบากและความอยากอาหารที่ลดลงทำให้เกิดความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้
10. ภาวะตัวเขียว
ในกรณีรุนแรง ผิวหนังหรือเล็บของทารกอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เนื่องจากขาดออกซิเจนในกระแสเลือดนี่เป็นอันตรายถึงชีวิต ต้องไปพบแพทย์ทันที ภาวะตัวเขียวเป็นสัญญาณว่าทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอและเกิดภาวะหายใจลำบากอย่างรุนแรง
สิ่งสำคัญคือต้องทราบคือ อาการของ RSV อาจแต่ต่างกันไปในเด็กแต่ละคน บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรง และไม่ใช่ว่าทารกทุกคนจะมีอาการเหล่านี้ทั้งหมด นอกจากนี้อาการอาจแสดงแตกต่างกันไปโดยเฉพาะในทารกที่คลอดก่อนกำหนดกับทารกที่มีปัญหาสุขภาพ
ลูกเป็น rsv กี่วันหาย
ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) RSV ในเด็กมักสัมพันธ์กับอาการหวัดเล็กน้อยถึงปานกลางซึ่งสามารถหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วัน ก่อนที่จะเริ่มแสดงอาการป่วย นอกจากนี้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ รวมถึงทารกสามารถแพร่เชื้อไวรัสต่อไปได้เป็นระยะเวลานานถึง 4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการจะบรรเทาลงแล้ว
นอกจากนี้ เป็นที่น่าว่าสังเกตว่า การติดเชื้อ RSV มาก่อน ไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาว การติดเชื้อซ้ำเป็นเรื่องปกติ เด็กที่เคยเป็นแล้วสามารถเป็นซ้ำได้อีก อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของการติดเชื้อมีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่อผู้ป่วยมีอายุมากขึ้น
เมื่อไรควรไปพบแพทย์
อาการหรือสัญญาณอันตรายที่จะต้องไปพบแพทย์ด่วน คือ หายใจลำบาก และมีสัญญาณของอาการตัวเขียว ผิวหนังหรือเล็บเป็นโทนสีน้ำเงิน
สำหรับสัญญาณอื่นๆ ที่ควรไปพบแพทย์เมื่อลูกน้อยมีอาการดังนี้
- มีไข้สูงมากกว่า 38 องศา
- หายใจเสียงดังวี้ด หรือหายใจเร็ว
- ไอหนักขึ้น
- สัญญาณของภาวะขาดน้ำ เช่น ปัสสาวะลดลง หรือปากแห้ง
- ไม่ยอมรับประทานอาหารหรือดื่มนม
- กระสับกระส่ายอย่างมาก หรือร้องงอแงเป็นเวลานาน
- สัญญาณของความง่วง เช่น การตอบสนองลดลงหรือนอนหลับมากกว่าปกติ
นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรเชื่อสัญชาตญาณตัวเองและไปพบแพทย์หากกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกน้อย
การป้องกัน RSV ในทารก
น่าเสียดายที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV แต่หวังว่าจะพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้ โดยข่าวล่าสุดไฟเซอร์ประกาศว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ในสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติวัคซีน RSV สำหรับผู้สูงอายุแล้ว ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนสำหรับเด็กยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ
และขณะนี้ก็ยังไม่มียารักษาการติดเชื้อ RSV จะเน้นการรักษาตามอาการ เช่น ทานยาลดไข้ พ่นจมูก ทานยาแก้ไอละลายเสมหะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
ข้อควรระวังที่สามารถทำได้เพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะติดเชื้อนี้ คือ
- อย่าปล่อยให้คนอื่น แม้ว่าจะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม สัมผัสทารกบริเวณใบหน้า ปาก หรือมือ เนื่องจากเป็นส่วนที่สามารถแพร่เชื้อได้ง่าย และระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อยยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ ร่างกายผู้ใหญ่อาจจัดการกับเชื้อโรคเหล่านี้ได้ง่ายดายแต่ทารกทำไม่ได้
- แนะนำให้ผู้ที่มาเยี่ยมล้างมือหรือฆ่าเชื้อก่อนจับหรือสัมผัสทารก
- หากคุณเป็นหวัดควรหลีกเลี่ยงการจุ๊บลูกน้อยของคุณเช่นกัน และควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายผ่านการไอ จาม
- ไม่พาลูกน้อยไปในที่มีคนพลุกพล่าน
- ไม่อนุญาตให้ใครสูบบุหรี่ใกล้ลูกน้อยของคุณ
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่มักสัมผัสกับมือ เช่น ลูกบิดประตู และก๊อกน้ำ อยู่เสมอ
RSV เป็นเชื้อที่ทำให้ทารกแรกเกิดและเด็กเล็กป่วยหนัก รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากเชื้อลงปอด และมักติดเชื้อจากการสัมผัสของผู้ใหญ่ไปสู่เด็ก ซึ่งมักติดมาจากน้ำลายจากการจูบ นี่คือเหตุผลสำคัญมากสำหรับผู้ปกครองที่จะระมัดระวังการสัมผัสทารก รวมถึงสังเกตอาการ RSV ในเด็ก เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที
ที่มา: sg.theasianparent.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
รวม 4 สาเหตุที่ทำให้ลูกป่วยบ่อย ทำอย่างไรให้ลูกปลอดภัย
ลูกเป็นโรต้า ท้องเสีย มีไข้ เชื้อโรคร้ายที่รุนแรง โรต้าไวรัส (Rotavirus) มีอะไรบ้าง
พ่อแม่เตรียมระวังได้เลย 5 โรคติดเชื้อต้อนรับเปิดเทอม เช็คลูกให้ดีหลังเลิกเรียน
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!