การรับรู้ถึงการขยับตัวของทารกในครรภ์ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของลูกน้อย อย่างไรก็ตาม คุณแม่อาจเกิดความกังวลใจเมื่อสังเกตได้ว่าลูกน้อยไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยลงกว่าที่เคย ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะพาคุณแม่ไปสำรวจ สาเหตุลูกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อย เพื่อให้สามารถสังเกตและรับมือได้ทันท่วงทีค่ะ
สาเหตุลูกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อย
ในบางครั้ง การที่ลูกดิ้นน้อยลงไม่ได้หมายความว่ามีสิ่งผิดปกติเสมอไป อาจมีปัจจัยทางธรรมชาติที่ส่งผลต่อความถี่และความแรงของการดิ้นได้ ดังนี้
-
ทารกกำลังหลับ
- ทารกในครรภ์ก็มีวงจรการหลับและการตื่นเหมือนกันค่ะ โดยเฉลี่ยแล้วทารกอาจหลับประมาณ 20-40 นาที และตื่นขึ้นมาเคลื่อนไหวอีกครั้งในช่วงเวลา ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ทารกหลับ คุณแม่อาจจะไม่รู้สึกถึงการดิ้น หรือรู้สึกได้น้อยมาก
- หากคุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง สิ่งแรกที่ควรทำ คือ รอสังเกตอาการต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากอาจเป็นช่วงที่ลูกน้อยกำลังหลับอยู่ หากผ่านไป 1 ชั่วโมงแล้วลูกยังดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้นเลย ควรทำการนับลูกดิ้นอย่างจริงจังตามคำแนะนำของแพทย์ หรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คความปลอดภัยของลูกน้อยค่ะ
-
ทารกตัวใหญ่ขึ้น
- เมื่ออายุครรภ์เข้าสู่ช่วงไตรมาสที่สาม โดยเฉพาะตั้งแต่สัปดาห์ที่ 32 เป็นต้นไป ทารกจะมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นมาก มีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวในมดลูกน้อยลง
- แม้ว่าทารกจะตัวใหญ่ขึ้น แต่มดลูกก็มีขนาดจำกัด ทำให้ทารกไม่สามารถพลิกตัว หรือเคลื่อนไหวแขนขาได้อย่างอิสระเหมือนในช่วงแรกๆ ของการตั้งครรภ์
- แทนที่จะเป็นการดิ้นแบบพลิกตัว หรือเตะแรงๆ คุณแม่อาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวแบบอื่นแทน เช่น การดัน การยืดตัว หรือการโก่งตัว ซึ่งอาจจะไม่ได้รู้สึกชัดเจนเท่ากับการดิ้นในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ยังคงต้องรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
-
ผลกระทบจากยาที่คุณแม่รับประทาน
- ยาบางชนิดที่คุณแม่อาจรับประทานเพื่อบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ หรือยาคลายกล้ามเนื้อ อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้ทารกในครรภ์รู้สึกง่วงซึมและเคลื่อนไหวน้อยลงได้
- คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานยาใดๆ ในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้มั่นใจว่ายาเหล่านั้นปลอดภัยต่อลูกน้อยและไม่มีผลกระทบต่อการดิ้นของทารก หากคุณแม่สังเกตว่าลูกดิ้นน้อยลงหลังจากรับประทานยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนยา หรือหาสาเหตุอื่นๆ ต่อไป

สาเหตุลูกไม่ดิ้น: สัญญาณแบบนี้ผิดปกติ ต้องรีบพบแพทย์
เมื่อลูกน้อยดิ้นน้อยลงอย่างผิดสังเกต หรือมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการดิ้นไปจากเดิม คุณแม่ไม่ควรรอช้าและควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะผิดปกติเหล่านี้ค่ะ
-
ภาวะขาดออกซิเจนของทารก
- ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตและพัฒนาการ สาเหตุอาจมาจากหลายปัจจัย เช่น
- ปัญหาที่รก รกอาจทำงานไม่สมบูรณ์ มีการลอกตัวก่อนกำหนด หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปยังทารก
- ปัญหาที่สายสะดือ การบีบรัด การพัน หรือการกดทับสายสะดือ อาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจน
- ภาวะสุขภาพของคุณแม่โรคประจำตัวบางชนิดของคุณแม่ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือภาวะครรภ์เป็นพิษ อาจส่งผลต่อการลำเลียงออกซิเจนไปยังทารก
- เมื่อทารกขาดออกซิเจน ร่างกายจะพยายามปรับตัวโดยการลดการเคลื่อนไหวเพื่อสงวนพลังงาน ดังนั้น การดิ้นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือการไม่ดิ้นเลย อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่บ่งบอกถึงภาวะนี้ ซึ่งหากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของทารกได้
-
สายสะดือพันคอ
- สายสะดือเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารจากแม่ไปสู่ลูก หากสายสะดือถูกกดทับ หรือสายสะดือพันคอลูก ไม่ว่าจะเป็นจากการเคลื่อนไหวของทารก ท่าทางของคุณแม่ หรือภาวะอื่นๆ จะส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดถูกขัดขวาง ทำให้ทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
- ในบางกรณี การกดทับสายสะดืออาจทำให้ทารกมีการดิ้นที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ดิ้นกระตุกๆ หรือดิ้นแรงๆ ผิดปกติในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะดิ้นน้อยลง หรือหยุดดิ้นไป หากคุณแม่สังเกตเห็นลักษณะการดิ้นที่ผิดปกติเช่นนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
-
ทารกเติบโตช้าในครรภ์
- ทารกที่มีภาวะเติบโตช้ากว่าปกติ ทำให้มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความผิดปกติของรก การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี หรือภาวะสุขภาพของทารกเอง เมื่อทารกได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ ก็จะมีพลังงานน้อยลง ส่งผลให้การดิ้นลดลง
- คุณแม่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าทารกมีภาวะเติบโตช้าในครรภ์ จะต้องติดตามการเจริญเติบโตของทารกอย่างใกล้ชิด รวมถึงเฝ้าระวังการดิ้นของทารกอย่างสม่ำเสมอ
-
ภาวะน้ำคร่ำน้อย
- น้ำคร่ำมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทารกเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หากมีปริมาณน้ำคร่ำน้อยลง ทารกจะมีพื้นที่ในการขยับตัวน้อยลงตามไปด้วย ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง
- ภาวะน้ำคร่ำน้อยอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด ความผิดปกติของไตทารก หรือภาวะสุขภาพของคุณแม่ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในระหว่างตั้งครรภ์และคลอด
-
ความผิดปกติอื่นๆ
นอกเหนือจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ยังมีความผิดปกติอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการดิ้นของทารกได้ เช่น
- ความผิดปกติทางโครโมโซม หรือความพิการแต่กำเนิด ในบางกรณี ความผิดปกติเหล่านี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาของระบบประสาทและกล้ามเนื้อของทารก ทำให้มีการเคลื่อนไหวน้อยลง
- การเสียชีวิตของทารกในครรภ์ เป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด หากทารกเสียชีวิตในครรภ์ก็จะไม่มีการดิ้นใดๆ เกิดขึ้น ดังนั้น หากคุณแม่ไม่รู้สึกถึงการดิ้นของลูกเลย ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนที่สุด

วิธีกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลูกในท้อง
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น โดยเฉพาะหลัง 24 สัปดาห์ คุณแม่จะเริ่มรู้สึกถึงการดิ้นของลูกน้อยชัดเจนขึ้น การกระตุ้นเบาๆ สามารถช่วยให้ลูกน้อยตอบสนองและคุณแม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของลูกได้ค่ะ
- ใช้มือกดลงบนท้องด้านใดด้านหนึ่งเบา ๆ การสัมผัสหน้าท้องเบาๆ เป็นการสื่อสารกับลูกน้อยอย่างอ่อนโยน ลูกน้อยอาจรับรู้ถึงการสัมผัสของคุณแม่และตอบสนองด้วยการดิ้นเล็กน้อย การทำเช่นนี้ยังช่วยให้คุณแม่ได้ทำความคุ้นเคยกับการสัมผัสลูกน้อยผ่านหน้าท้องอีกด้วย
- เปลี่ยนท่าทางการนอน บางครั้งที่ลูกน้อยไม่ดิ้น อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงหลับ หรืออยู่ในท่าทางที่สบายจนไม่ขยับตัว การเปลี่ยนท่าทางการนอน เช่น จากนอนหงายเป็นนอนตะแคง อาจกระตุ้นให้ลูกน้อยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงและเริ่มขยับตัวเพื่อปรับท่าทางใหม่
- หลังรับประทานอาหาร เมื่อคุณแม่ได้รับสารอาหาร โดยเฉพาะน้ำตาล ลูกน้อยก็จะได้รับพลังงานตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าและเริ่มดิ้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับประทานของหวานมากเกินไป เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล
- ดื่มน้ำเย็นจัดๆ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอาจกระตุ้นให้ลูกน้อยรู้สึกตัวและมีการเคลื่อนไหวตอบสนองได้ แต่ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะและไม่บ่อยจนเกินไป เพื่อไม่ให้ร่างกายของคุณแม่ปรับตัวไม่ทัน
- เปิดเพลงที่ลูกคุ้นเคย หรือได้ยินเสียงคุยของคุณพ่อคุณแม่ ทารกในครรภ์สามารถรับรู้เสียงจากภายนอกได้ การเปิดเพลงที่เคยฟังบ่อยๆ หรือการพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยอาจกระตุ้นให้ลูกน้อยตอบสนองด้วยการดิ้นได้ เสียงเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งแวดล้อมที่ลูกน้อยคุ้นเคยและอาจทำให้รู้สึกปลอดภัยและสบาย
หลังจากลองทำวิธีต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว หากคุณแม่ยังรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งในระยะเวลา 2 ชั่วโมง ควรลองทำวิธีเหล่านี้ซ้ำอีกครั้ง และตั้งใจสังเกตการดิ้นอย่างใกล้ชิดนะคะ
หากคุณแม่รู้สึกว่าลูกไม่ดิ้นเลย และเริ่มมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด ปวดท้องรุนแรง หรือมีไข้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
ที่มา : โรงพยาบาลรามคำแหง , โรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ , โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ลูกดิ้นแรง ปกติไหม? เข้าใจการดิ้นของลูกในแต่ละช่วงอายุครรภ์
ลูกดิ้นตอนกี่เดือน รู้สึกอย่างไร? สัมผัสแรกแห่งรักจากลูกน้อยในครรภ์
อย่าละเลย! 9 อาการระหว่างตั้งครรภ์ ลูกอาจเสี่ยงอันตรายถ้าไม่เช็ก
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!